เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 10 ผลลัพธ์มิตรงดั่งตั้งใจ ปาน

มู่อวิ๋นซีตะลึง ในใจสับสนไปหมด
นับแต่วันที่ก้าวเท้าเข้าตระกูลมู่ นางอยากพิสูจน์กับองค์หญิงใหญ่ว่ามู่จื่อโหรวมิใช่หลานสาวแท้ๆของนาง หากมิเคยคิดจะพาตนเองไปนับญาติกับนางต่อหน้าเลย
เพราะนางไม่แน่ใจว่าพวกเขาต้องการหลานสาวอย่างนางหรือไม่
และยิ่งไม่แน่ใจว่า พวกเขาจะทำกับนางเช่นที่มู่เซิ่งทำหรือไม่
“ไม่ล่ะ” มู่อวิ๋นซีดึงแขนออกจากการเกาะเกี่ยวของมู่จื่อโหรว “ข้ายังไม่สบายอยู่ เกิดไปทำให้องค์หญิงใหญ่ไม่สบายตามไปด้วยจะยิ่งแย่”
“เจ้าไม่สบายตรงไหนกัน? เมื่อครู่ตอนเจ้าผลักข้า เรี่ยวแรงมากนัก”
มู่จื่อโหรวไม่ยอม รั้งข้อมือมู่อวิ๋นซีเข้ามาพลางเกลี้ยกล่อม “ไปเถอะ ไปกับข้าเถอะ เจ้ากลับมาตั้งนานแล้ว ยังไม่เคยเจอท่านย่าข้าเลย ไม่ว่ายังไงนางก็เป็นท่านป้าของเจ้า ควรไปคารวะสักหน่อย”
“แต่ว่าท่านพ่อ…”
“เจ้าวางใจเถิด” มู่จื่อโหรวเผยยิ้มมุมปาก “ท่านปู่น้อยดีกับข้าที่สุด ถึงเวลานั้นข้าจะบอกเขาว่าข้าพาเจ้าไปเอง เขาไม่ต่อว่าเจ้าแน่ เอาล่ะๆ รีบไปเถิด หากยังช้าอยู่ ท่านย่าคงเข้านอนแล้ว”
นางดูออกว่ามู่เซิ่งไม่ชอบมู่อวิ๋นซีซึ่งเป็นบุตรสาวเลย มิอย่างนั้นคงไม่คิดร้ายนางอยู่หลายครั้ง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาต้องพอใจมากที่จะเห็นมู่อวิ๋นซีรับเคราะห์แทนตนเป็นแน่ ถึงเวลาองค์หญิงใหญ่เห็นชัดว่าหญิงในภาพมิใช่นาง มู่เซิ่งยืนยันอีกผู้หนึ่งว่าหญิงในภาพคือมู่อวิ๋นซี กระนั้นมู่อวิ๋นซีจะกลายเป็นเมียคนโง่อย่างหวางเอ้อร์
คิดได้ดังนี้ มู่จื่อโหรวกอดแขนมู่อวิ๋นซีแน่นขึ้น แทบจะลากนางไปลานหย่งเหอที่กักบริเวณองค์หญิงใหญ่อยู่
มู่อวิ๋นซีถูกมู่จื่อโหรวลากเกือบล้มลุกคลุกคลาน คล้ายกับชาติก่อนครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่นางไปพบองค์หญิงใหญ่
สิ่งที่ต่างกันคือ ชาติก่อนทางตอนนี้นางเดินอยู่เต็มๆสองปี หากครั้งนี้เพียงแค่ครึ่งเดือน นางยังไม่ตกนรก เท้านางยังดีอยู่
“ท่านย่า!”

คล้ายกับกลัวมู่อวิ๋นซีเปลี่ยนใจหนีไป พึ่งเดินถึงหน้าประตู มู่จื่อโหรวพลันตะโกนดังว่า “ท่านดูสิเจ้าคะข้าพาใครมาพบท่าน อวิ๋นซี…ท่านอาอวิ๋นซีเจ้าค่ะ”
ภายหลังลากมู่อวิ๋นซีเข้าไปในห้อง มู่จื่อโหรวถึงคลายมือออก พุ่งเข้าหาองค์หญิงใหญ่ที่นั่งอยู่บนตั่งนอนไม้ม่วงทอง เบ้ปากโอดครวญว่า “ท่านย่า! ท่านต้องช่วยจื่อโหรวนะเจ้าคะ!”
“เจ้านี่”
องค์หญิงใหญ่ถอนหายใจคล้ายกับหน่ายใจ “ที่ผ่านมามีแต่เจ้ารังแกผู้อื่น ยังจะให้ข้าช่วยเจ้าเรื่องอันใดกันรึ?”
“ท่านย่า!” มู่จื่อโหรวโอดครวญอย่างมิพอใจ ยื่นภาพยับยู่ยี่ใบนั้นต่อหน้าองค์หญิงใหญ่ “พวกนางหาว่าคนในภาพเป็นข้า ท่านย่าดูสิ เหมือนกับข้าที่ไหนกัน?”
องค์หญิงใหญ่มองภาพยับยู่ยี่นั่นเขม็ง เมื่อเห็นรอยแผลบนไหล่ของหญิงในภาพ สายตาพลันเคร่งขรึม “ภาพนี้มาจากที่ใดกัน? ข้าจะดูสิว่าใครกันที่บังอาจวาดภาพเจ้าโดยพลการ”
“ท่านย่า มิใช่ข้าเจ้าค่ะ!”
มู่จื่อโหรวผลุดลุกขึ้น ชี้ไปที่รอยแผลบนไหล่ของหญิงในภาพ “ท่านดู บนไหล่นางมีรอยแผล น่าเกลียดยิ่งนัก ข้ามิมีรอยแผลอันใดเลย”
ระหว่างพูด นางแหวกชุดสีแดงซากุระออก เผยให้เห็นไหล่ซ้าย ผ่องใสกระจ่าง อย่าแต่รอยแผลเลย แม้แต่ไฝสักเม็ดก็มิมี
“ท่านย่า ท่านดูสิ ไม่ใช่ข้าเจ้าค่ะ?” มู่จื่อโหรวยื่นไหล่ซ้ายเข้าใกล้องค์หญิงใหญ่ หากมิได้สังเกตว่าร่างองค์หญิงใหญ่พลันชะงักไป สายตาแข็งค้างตะลึง
ผ่านไปเนิ่นนาน นางจึงยื่นมือไปแตะไหล่ของมู่จื่อโหรว ถามว่า “รอยแผลล่ะ? รอยแผลตรงนี้ล่ะ?”
“หายดีนานแล้วเจ้าค่ะ!”
มู่จื่อโหรวไม่พอใจกับท่าทีองค์หญิงใหญ่อย่างมาก ไหล่พลันกระตุก สะบัดมือนางลงไป สวมใส่เสื้อผ้าดังเดิม สายตาฉายแววมาดร้าย ชี้ไปทางมู่อวิ๋นซีที่ยืนหลุบตามองต่ำอยู่เงียบๆที่หน้าประตูนับแต่เข้ามา “หญิงในภาพคือนาง มู่อวิ๋นซี”
มู่อวิ๋นซีที่โดนกล่าวถึงอึ้ง เหลือบตาขึ้นมองมู่อวิ๋นซี
องค์หญิงใหญ่ในเวลานี้หันไปตามทิศที่มู่จื่อโหรวชี้ไป พลางลุกขึ้น “เจ้า… เจ้า…”

“นางคือมู่อวิ๋นซี คุณหนูสามของเรือนรอง ที่อาศัยอยู่ด้านนอกคนนั้นเจ้าค่ะ” มู่จื่อโหรวแนะนำนางให้กับองค์หญิงใหญ่ “ในภาพคงเป็นนางทำเรื่องน่าอัปยศด้านนอกนั่นเป็นแน่”
“เจ้าเข้ามาใกล้ข้า!” สีหน้าองค์หญิงใหญ่กลับคืนดุจเดิม หากน้ำเสียงดูร้อนรน “ให้ข้าดูละเอียดสักหน่อย”
“ไม่ต้องดูเจ้าค่ะ เป็นนางแน่นอน” มู่จื่อโหรวมองมู่อวิ๋นซีอย่างสาแก่ใจ
มู่อวิ๋นซีหลุบตาลง จ้องมองพรมผ้าที่ปักรูปดอกโบตั๋นใต้ฝ่าเท้า พลางก้าวเท้าเข้าไปทีละก้าว ทีละก้าว ฝ่าเท้านางหนักอึ้ง ในใจพลันรู้สึกสับสนยิ่งนัก
องค์หญิงใหญ่เห็นปานที่ไหล่นาง จะยอมรับนาง หรือจะแสร้งทำเป็นมิมีอะไรเกิดขึ้น? หรือว่าจะหาทางลอบฆ่านาง ทำผิดต่อไป?
“คารวะองค์หญิงเพคะ!”
“ไม่ต้องมากพิธีไป!” องค์หญิงใหญ่ค่อยๆนั่งลง “เจ้าคือลูกสาวของมู่เซิ่งและหลิวเย่? กลับมาตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“เรียนองค์หญิงใหญ่ อวิ๋นซีกลับมาครึ่งเดือนแล้วเพคะ หากแต่มิค่อยสบายเท่าไรนัก ดังนั้นเลยมิได้มาคารวะองค์หญิงใหญ่”
“มิเป็นไรดอก ในจวน…”
“ท่านย่า!” มู่จื่อโหรวพรวดเข้าไปนั่งที่ข้างตัวองค์หญิงใหญ่ เขย่ามือนางพลางว่า “ท่านดูชัดเจนดีหรือยังเจ้าคะ หญิงในภาพเป็นนางใช่หรือไม่?”
องค์หญิงใหญ่ลังเลเล็กน้อย หันมองอวิ๋นซีพลางว่า “ให้ข้าดูไหล่ซ้ายเจ้าได้หรือไม่?”
มู่จื่อโหรวอึ้ง พลางเขย่ามือองค์หญิงใหญ่ “รอยแผลน่าเกลียดเยี่ยงนั้นมีสิ่งใดน่าดูกันเจ้าคะ อีกอย่าง มีรอยแผลหรือไม่มิสำคัญ ท่านย่าท่านเป็นถึงองค์หญิงใหญ่ของเป่ยฮั่น ท่านให้นางมี นางมีหรือ…”

องค์หญิงใหญ่พลันลุกขึ้น ตัดบทคำพูดของมู่จื่อโหรว
มู่จื่อโหรวอึ้ง และมองตามสายตาองค์หญิงใหญ่ กลับเห็นมู่อวิ๋นซีที่มิรู้เมื่อใดแหวกชุดสีขาวดุจแสงจันทร์ออก เผยให้เห็นไหล่ซ้าย
ใสกระจ่างดุจหยกชั้นดี มิมีรอยแผลใด กลับมีปานรูปกลีบดอกไม้หนึ่งดอก ราวกับดอกเหมยแดงผลิบานกลางหิมะขาว
“เจ้า…”
มือขององค์หญิงแตะไหล่มู่อวิ๋นซีอย่างสั่นเทา “ใช่ รอยปานนี้ เจ้าคือ…”
“องค์หญิงใหญ่ ท่านรองมู่มาเจ้าค่ะ!”
เสียงร้องบอกของสาวใช้ยังมิทันจบ มู่เซิ่งผลุนผลันเข้ามาอย่างโกรธจัด ตะคอกดังใส่มู่อวิ๋นซี “มู่อวิ๋นซี ใครเห็นชอบให้เจ้ามาลานหย่งเหอ?”
เขาร้อนตัวยิ่งนัก
มู่อวิ๋นซีหันหลังให้มู่เซิ่ง ในใจยิ้มเย็น มือกลับจัดชุดให้เข้าที่ ถึงหมุนตัวหันไปมองเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว “คุณหนูจื่อ…”
“ยังไม่รีบไสหัวกลับไปอีก!”
มู่เซิ่งชี้ไปที่ด้านนอกประตู ยามได้ยินคนรับใช้รายงานว่ามู่จื่อโหรวพามู่อวิ๋นซีมาที่ลานหย่งเหอ เขาตกใจแทบวิญญาณหลุดออกจากร่าง รีบวิ่งมาที่นี่ในทันใด
เขาพยายามหนักหนามิให้มู่อวิ๋นซีพบหน้ากับองค์หญิงใหญ่ เพราะมู่อวิ๋นซีมีใบหน้าคล้ายคลึงกับมารดาที่ถึงแก่กรรมไปแล้วของนางยิ่งนัก มิคิดเลยว่านังโง่มู่จื่อโหรวจะกล้าพานางมาพบองค์หญิงใหญ่
“มู่เซิ่ง!” องค์หญิงใหญ่ยิ้มเย็นมองมู่เซิ่ง “เจ้ากลัวนางพบข้าเพียงนี้เชียวรึ?”
“พี่สะใภ้เข้าใจผิดแล้ว!”
มู่เซิ่งร้อนใจยิ่งนัก คำนับองค์หญิงใหญ่ “หากเพราะนังหนูนี่มิใคร่สบายมาตลอด ข้าหวั่นนางจะพลอยทำให้พี่สะใภ้มิสบายไปด้วยขอรับ”
“เป็นไปได้เยี่ยงไร?” มู่จื่อโหรวเบ้ปาก “แรงนางมากมายนัก ไหนเลยจะมีท่าทีมิใคร่สบาย ท่านปู่น้อย ดูสิเจ้าคะ!”
นางยื่นภาพใบนั้นไปที่หน้ามู่เซิ่ง “นี่คล้ายกับมู่อวิ๋นซีหรือไม่?”

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset