ร่างมู่อวิ๋นซีพึ่งลับไป ร่างของมู่จื่อโหรวกับมู่เซิ่งและยายหวางก็ปรากฏกายขึ้นในทางเดินเล็กนี่
“นังแพศยานั่นหน้าตางดงามเย็นชา ไม่คิดว่าจะแพศยาปานนี้ ไม่สงวนตัวมิพอ ยังกล้าทำเรื่องแบบนี้ภายใต้สายตาข้า อยู่ที่นั่น…เอ๋?”
มู่จื่อโหรวส่งเสียงสงสัยออกมา หิมะบนพื้นเบื้องหน้ามีร่องรอยสับสนอลหม่าน แต่กลับไร้เงาร่างมู่อวิ๋นซี มีเพียงร่างลูกชายโง่เขลาของยายหวางนอนสลบบนพื้นเท่านั้น
“หวางเอ้อร์! นางล่ะ?” ยายหวางรีบวิ่งเข้าไปเขย่าปลุกหวางเอ้อร์ให้ตื่น
“ใครที่ไหน?” หวางเอ้อร์ลุกขึ้นจากพื้น มองหน้ายายหวางอย่างงุนงง ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ “ท่านแม่ เมียข้าล่ะ? ข้ายังมิได้หลับนอนกับนางเลย…”
“เจ้าคนไร้น้ำยาเอ๋ย โง่จริงๆ!”
มู่จื่อโหรวสบถออกมา หันไปมองมู่เซิ่ง “ท่านปู่ ต้องเป็นนังแพศยานั่นได่ยินว่าพวกเรามาแล้ว จึงตีหวางเอ้อร์จนสลบ และหลบหนีไปแน่เทียว”
“นายท่าน!” ยายหวางน้ำตาคลอเบ้า “ถ้าเป็นเยี่ยงนี้ นังแพศนานั่นต้องไม่ได้หนีไปไกลแน่ พวกเรารีบออกตามหากันเถิดเจ้าค่ะ”
มู่เซิ่งผงกหัว “ใครก็ได้ ค้นหาซะ จะต้อง…”
“ท่านพ่อ!”
มู่อวิ๋นซีที่เดินอ้อมหลังดอกเหมยแดงต้นหนึ่งจากในดงออกมามองพวกมู่เซิ่งอย่างสงสัย “พวกท่านตามหาข้าด้วยเหตุอันใดกัน?”
“มู่อวิ๋นซี เจ้าไปไหนมา?” มู่จื่อโหรวถลึงตาใส่ “รีบพูดมา เจ้ากับหวางเอ้อร์ทำอะไรกัน?”
“หวางเอ้อร์?” มู่อวิ๋นซียิ่งสงสัยหนัก “ผู้ใดคือหวางเอ้อร์?”
นางชูกิ่งก้านดอกเหมยช่อใหญ่ในมือขึ้น “เจ้าให้ข้าไปเด็ดดอกเหมยมิใช่รึ? ดูสิ เหมยแดง เหมยเขียวล้วนครบครัน”
“เจ้า…”
มู่จื่อโหรวโกรธจัด “เจ้าอย่ามาทำไขสือ! เจ้าต้องได้ยินว่าพวกเรามาแล้วเลยรีบหนีไป มู่อวิ๋นซี นังโง่ เจ้าวิ่งหนีไปมีประโยชน์อันใด หวางเอ้อร์ยังอยู่”
“เขาคือหวางเอ้อร์?” มู่อวิ๋นซีอุ้มช่อดอกเหมยเดินไปยืนข้างมู่จื่อโหรวมองไปทางหวางเอ้อร์อย่างสงสัย
“เขาเป็นลูกชายข้าน้อยเองเจ้าค่ะ” ยายหวางเหลือบตาขึ้นมองมู่อวิ๋นซี สายตาสาแก่ใจ พลางหันไปคุกเข่าก้มหัวใส่นางทันที “คุณหนูสาม ลูกชายข้าน้อยสมองไม่ดี หากล่วงเกินคุณหนูไป ขอท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย”
ระหว่างพูด นางหันไปกระชากหวางเอ้อร์ที่นั่งอยู่บนพื้น “ยังไม่รีบขอขมาคุณหนูสามอีกรึ?”
“ช่างเถิด!” มู่อวิ๋นซีใจกว้าง “เขามิได้ล่วงเกินข้า”
“หน้าด้าน! ยังจะเสแสร้งอีกรึ?” มู่จื่อโหรวเยาะหยัน มองหวางเอ้อร์ “พูด! เมื่อกี้ใครอยู่กับเจ้า?”
“คุณหนูจื่อโหรว!”
มู่อวิ๋นซีดูจะร้อนใจขึ้นมา “หวางมามายังบอกเลยว่าเขาโง่ คำพูดคนโง่จะเชื่อได้เยี่ยงไร?”
มู่จื่อโหรวแค่นเสียงเยาะ “มู่อวิ๋นซี จะพูดเยี่ยงนั้นได้เยี่ยงไร เพราะว่าเขาโง่ ดังนั้นคำพูดของเขาถึงน่าเชื่อถือ” หล่อนหันมองมู่เซิ่ง “ท่านปู่ ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่?”
มู่เซิ่งผงกหัว “เป็นเยี่ยงนั้นจริงๆ” เขาหันมองมู่อวิ๋นซีด้วยใบหน้าตึงเครียด “ถึงเจ้าจะเป็นบุตรสาวแท้ๆของข้า หากกระทำการอะไรน่าอับอาย พ่อก็ไม่มีทางละเว้นโทษให้เจ้าแน่”
เขาหันไปทางหวางเอ้อร์ที่โดนยายหวางดึงให้คุกเข่าด้วยพลางว่า “เห็นแก่มารดาเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ข้าจะไม่โทษเจ้า พูดเถิด เมื่อครู่เจ้าอยู่กับใคร”
หวางเอ้อร์เหลือบตามองมู่อวิ๋นซี “เมียข้า”
“มู่อวิ๋นซี!”
มู่เซิ่งชี้หน้ามู่อวิ๋นซีด้วยความโกรธจัด “นังลูกไม่รักดี คนโง่ยังไม่เว้น!”
“ไร้ยางอาย!” มู่จื่อโหรวสีหน้าเยาะหยัน
“นายท่าน เป็นความผิดของลูกชายข้าน้อยเองเจ้าค่ะ!” ยายหวางกระพือไฟใส่เพิ่ม “แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ขอนายท่านยกคุณหนูสามให้ลูกชายข้าน้อยดีหรือไม่เจ้าค่ะ?”
ชิ้ง!
มู่อวิ๋นซีแทบกัดลิ้น หวางเอ้อร์พึ่งจะพูดออกมาคำเดียว พวกเขาแต่ละคนต่างพร้อมเพรียงกันตัดแบ่งนางชิ้นๆลงหม้อต้ม หากนางไม่ผิดสังเกตพิรุธในถุงมือหนังกวางคู่นั้น หรือไม่มียาถอนพิษที่อาจารย์ให้มา ไม่มีเฟิ่งเชียนเย่ ประวัติศาสตร์ดูท่าจะซ้ำรอยแล้วกระมัง?
“หวางเอ้อร์!” นางหันมองหวางเอ้อร์ท่ามกลางสายตาพร้อมจะกินเลือดกินเนื้อของหลายคน “เมียเจ้าชื่อว่ากระไร?”
“มู่จื่อโหรว!” หวางเอ้อร์ยิ้มบอกหน้าซื่อ
มู่เซิ่งสีหน้าแข็งค้าง มู่จื่อโหรวกระโดดพรวดทันที “ไอ้โง่อย่างเจ้าพูดอะไรกัน?”
ยายหวางหน้าซีดเผือด ตบกะโหลกหวางเอ้อร์หนึ่งฉาด “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร?”
“ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล!” หวางเอ้อร์จ้องมู่อวิ๋นซีคอแข็ง “เมียข้าชื่อว่ามู่จื่อโหรว ข้าจำได้ ท่านย่าของนางยังเป็น…เป็น…เป็นองค์หญิงใหญ่”
เพียงเพราะในเวลานี้มู่อวิ๋นซียืนคู่กับมู่จื่อโหรว ด้วยเหตุนี้สายตาหวางเอ้อร์ที่มองมา มู่จื่อโหรวจึงเข้าใจว่ากำลังมองนาง
“ไอ้โง่!”
สีหน้านางแดงก่ำ โกรธจนตัวสั่น “หากพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะสั่งให้คนตัดลิ้นเจ้า”
“หวางมามา!” มู่เซิ่งพูดทีละคำ ใบหน้าบิดเบี้ยวแทบจะกลั่นน้ำออกมาได้
ยายหวางอยากตายในบัดดล ยกมือตบกะโหลกหวางเอ้อร์เข้าอีกฉาด “หากพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะไม่ให้เนื้อเจ้ากิน”
“ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล!” หวางเอ้อร์ลุกขึ้นยืน เขาจ้องมู่อวิ๋นซีคอแข็ง ยกมือชี้ไปที่ไหล่ตน “ตรงนี้ของเมียข้ามีรอยแผล เป็นแผลโดนไฟไหม้ เมียจ๋า ข้าไม่รังเกียจเจ้า พวกเราหลับนอนกันเถอะ”
“โฮ! เจ้า พวกเจ้า…เรื่องนี้ไม่จบเพียงเท่านี้แน่” มู่จื่อโหรวร้องไห้โฮ หมุนตัววิ่งหนีไป
“หวางมามา!”
มู่อวิ๋นซีพุ่งเข้าหน้ายายหวางด้วยความโกรธ “มันเกินไปแล้วนะ เจ้าจะถือว่าลูกชายตนโง่แล้วให้เขาพูดจาเหลวไหลอย่างนี้เรื่อยไปไม่ได้จริงหรือไม่? ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ต่อไปจื่อโหรวจะแต่งงานได้อย่างไร?”
นางพูดเสียงต่ำว่า “ลูกชายเจ้านี่เชื่อฟังจริงๆ”
ไม่รอยายหวางได้สติกลับมา นางหันไปทางมู่เซิ่ง “ท่านพ่อ! คำพูดของคนโง่เชื่อไม่ได้ ข้าไปปลอบจื่อโหรวดีไหมเจ้าคะ?”
มู่เซิ่งกำลังงุนงงไม่รู้จะจัดการเยี่ยงไร ตอนนี้เห็นมู่อวิ๋นซีพูดแบบนี้ มีหรือจะไม่เห็นด้วย เขารีบบอก “ลูกพ่อ เจ้าพูดถูก รีบไปเถอะ อย่าให้จื่อโหรวถือสาอะไรกับคนโง่คนหนึ่ง”
“เมียจ๋า! เมียจ๋าอย่าไปสิ!”
มองดูมู่อวิ๋นซีเดินจากไป หวางเอ้อร์ร้องตะโกนตาม หลังจากร้องไปสองคำ มิเห็นมู่อวิ๋นซีหยุดฝีเท้าลง เลยหันมาเขย่ายายหวางต่อว่า “ท่านแม่ มู่จื่อโหรวไปแล้ว เมียข้า…”
“เพี๊ยะ!” ยายหวางยกมือตบเข้าไปอีกฉาด และคุกเข่าลงต่อหน้ามู่เซิ่งที่โกรธหน้าดำ “นายท่าน เข้าใจผิดกัน เข้าใจผิดกันทั้งนั้น!”
“เข้าใจผิด?”
มู่เซิ่งแค่นยิ้ม ถีบยายหวางกระเด็น “ข้าว่าเจ้าจงใจมากกว่ากระมัง? มิเช่นนั้นเหตุใดต้องให้จื่อโหรวไปเชิญมู่อวิ๋นซี? เจ้าคนบังอาจ เมื่อก่อนข้ามองไม่ออก ว่าเจ้าจะกล้ามากเพียงนี้?”
“นายท่านใจเย็นนะเจ้าคะ! เป็นการเข้าใจผิดจริงๆ!” ยายหวางโขกหัวคำนับไม่หยุด “นังแพศยานั่นหลอกใช้ลูกชายโง่ของข้าน้อย เมื่อครู่นางยังข่มขู่ข้าน้อย”
มู่เซิ่งอึ้ง ยิ่งโกรธหนักขึ้น ยกเท้าถีบยายหวางอีกครั้ง “ข่มขู่? เจ้าเห็นข้าเป็นไอ้โง่ด้วยหรือไร? ต่อให้มู่อวิ๋นซีบอกชื่อจื่อโหรวกับเขาจริง เหตุใดนางจึงรู้เรื่องไหล่ของจื่อโหรวมีแผลเล่า?”