เหอะ!
มู่อวิ๋นซีแค่นยิ้มเย็นในใจ ในชาติก่อนนางยังคิดจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนกับมู่เซิ่ง ไม่ได้สังเกตเลยว่ายายหวางกับมู่เซิ่งมาเร็วปานนี้ แทบจะทันทีที่เสียงมู่จื่อโหรวดังขึ้น ทั้งคู่ก็ตามกันมาที่ห้องทันที
นางหลุบตาลงแผ่วเบา หันไปมองมู่เซิ่งที่พุ่งเข้ามาด้วยใบหน้าโกรธขึ้ง พลางถามอย่างสงสัยว่า “ท่านพ่อ? เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ?”
นางกลอกสายตาไปมา มองเหล่ไปทางมู่จื่อโหรวที่ยืนหน้าประตู พลางหลุบตาลง คล้ายกับหวาดกลัวระคนน้อยใจ “ข้าอยู่ที่นี่ทำให้คนอื่นไม่พอใจใช่หรือไม่?”
สีหน้ามู่เซิ่งเปลี่ยนวนไม่หยุด เขาถลึงตาใส่ยายหวางที่ยืนอึ้งอยู่อีกด้าน ก่อนยิ้มให้มู่อวิ๋นซี “พูดจาซี้ซั้วอะไรกัน? เจ้าทุกข์ยากลำบากข้างนอกมาหลายปี พ่อยังไม่รู้จะชดเชยให้เจ้าเยี่ยงไรดี อย่าว่าแต่เรือนหนึ่งเลย เจ้าอยากได้อะไรก็ถือว่าสมควรทั้งนั้น”
ถึงคำพูดจะดูรักใคร่ แต่เมื่อประสานกับน้ำเสียงแห้งแข็งกระด้างของเขากลับดูกระดากไม่น้อย
มู่อวิ๋นซีทำราวไม่สังเกต นางเหลือบตามองมู่เซิ่งที่เตรียมโบกมือไล่คนรับใช้ออกไปด้วยสีหน้าสงสัย “เช่นนั้นท่านพ่อเหตุใดถึงเข้ามาด้วยความโกรธเล่า?”
นางเหลือบตามองห้องโล่ง “แล้วพี่ชายอะไรที่พวกท่านพูดถึง หลานอะไร พูดถึงเรื่องอันใดกัน?”
ไม่รอมู่เซิ่งตอบคำ มู่อวิ๋นซีหันมองยายหวางอีก เหมือนพึ่งสังเกตเห็นว่า “หวางมามา เหตุใดจึงถือไม้กระบองหนาเพียงนั้นมาเล่า?”
“พวกท่าน…” สายตานางจับตามองตั้งแต่ยายหวางไปถึงมู่เซิ่ง และหันไปมองมู่จื่อโหรวที่ยืนหน้าประตูอีก คล้ายกับพึ่งนึกได้ว่า “พวกท่านคงมิใช่มาจับคนร้ายกระมัง? คุณหนูจื่อโหรว แม้ว่าฐานะของท่านจะสูงส่งนัก หากก็มิอาจพูดจาซี้ซั้วได้ ดวงตาข้างไหนของท่านกันหรือที่เห็นข้ายั่วยวนพี่ชายท่าน?”
เหตุที่ว่าอาละวาดใส่มู่จื่อโหรวโดยตรง เป็นเพราะนางรู้ดีว่ามู่จื่อโหรวเอาแต่ใจตัวยิ่งนัก ขอเพียงยั่วยุเล็กน้อยพลันติดไฟฉันนั้น
ตามที่คาดการณ์ไว้ มู่จื่อโหรวเบิกตาถลนแหวกลับว่า “ใครว่าข้าพูดจาซี้ซั้วกัน? ข้าได้ยินเองกับหู บอกมาบัดเดี๋ยวนี้เจ้าเอาเขาไปซ่อนไว้ที่ใดกัน? ท่านพี่!ท่านพี่!ท่านอยู่ไหน? ข้ารู้ว่าท่านอยู่ที่นี่”
ปากว่าพลาง มู่จื่อโหรวพุ่งเข้ามาที่ตู้ไม้จันทน์อันวางติดผนังทันที พลางเปิดประตูตู้ จากนั้นพุ่งไปที่เตียง เลิกผ้าห่มขึ้น และหมุนตัวไปที่โต๊ะ พลางย่อตัวลงดูใต้โต๊ะ
รอยยิ้มบนใบหน้ามู่เซิ่งหายมลายไปสิ้น แค่ชั่วจังหวะอึ้งนี้ มู่จื่อโหรวค้นไปสามที่แล้ว นังโง่นี่ ต้องตามหาด้วยรึ? ดูจากที่มู่อวิ๋นซีแต่งตัวเรียบร้อยรัดกุมเยี่ยงนี้ ก็มิอาจซ่อนคนไว้ได้แล้ว
“จื่อโหรว!” เขาตะคอกดัง “เจ้าทำกระไรกัน?”
“หาพี่ชายข้าอย่างไรเล่า!”
มู่จื่อโหรวหันไปมองมู่เซิ่งด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ “ไม่ใช่ท่านบอกข้าหรือว่านาง…”
“ข้าบอกว่าท่านอาอวิ๋นซีของเจ้าพึ่งกลับมา ให้เจ้าหาเวลาทำความคุ้นเคยกับนางต่างหาก” มู่เซิ่งพูดตัดบทมู่จื่อโหรว มีสมองหน่อยเป็นไร คำพูดเยี่ยงนี้พูดออกมาได้เยี่ยงไรกัน?
มู่จื่อโหรวเบ้ปากราวมิเต็มใจ สายตาวาบขึ้น มองมู่อวิ๋นซีอย่างถือดี “ข้านึกออกแล้ว เมื่อครู่ที่นอกประตูข้าได้ยินเสียงในห้องเจ้า พูด! เจ้ากำลังทำอะไรกันรึ?”
“อวิ๋นซี?” มู่เซิ่งมองมู่อวิ๋นซีด้วยความสงสัย หรือว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะจับผิดอะไรได้ และรีบหนีไป?
“ข้า…” มู่อวิ๋นซีมองทางยายหวางที่กำลังลุกขึ้นจากพื้นด้วยสีหน้าลำบากใจ “เรื่องเกี่ยวพันถึงความบริสุทธิ์ของเข้า ขอยายหวางอภัยในการกลืนคำของข้าด้วย”
นางหันมามองมู่เซิ่ง “เมื่อตอนยายหวางบอกข้าว่าท่านพ่อชอบฟังเพลงหญ้าลอยตามหา ข้าเลยหัดขับร้องอยู่ในห้องเข้าค่ะ”
“ข้าน้อยเปล่านะเจ้าคะ!” พอเห็นมู่เซิ่งถลึงตาใส่ ยายหวางรีบอธิบาย “คุณหนูสาม ท่านอย่าพูดจาเลื่อนเปื้อนสิเจ้าคะ”
“ใช่ใช่ใช่” มู่อวิ๋นซีรีบหันมองมู่เซิ่ง “มิใช่หวางมามาบอกข้า ข้า…ข้าคาดเดาได้เองเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้ ใครเล่าจะเชื่อ?
มู่เซิ่งสายตาคมปลาบประดุจมีด ตวัดสายตาใส่ยายหวาง เขาฉุกใจคิดได้ พลางหันมองมู่อวิ๋นซี “ดูท่าจะเป็นการเข้าใจผิดกัน จริงสิ เจ้าชอบเต้าหู้ผัดหอยเป๋าฮื้อที่ห้องครัวทำให้หรือไม่?”
“อะไรคือเต้าหู้ผัดหอยเป๋าฮื้อเจ้าคะ?” มู่อวิ๋นซีกะพริบตาปริบๆ ถามมู่เซิ่งอย่างสงสัย “เมื่อครู่อาหารที่ยายหวางไม่มีเต้าหู้นี่เจ้าคะ”
“ไม่มีได้เยี่ยงไร?”
ยายหวางตกใจแทบกระโดดขึ้นมา “คุณหนูสาม ท่านอย่าพูดจากลับกลอกไปมาสิเจ้าคะ เมื่อครู่ท่านยังให้ข้าน้อยลองชิมเต้าหู้ผัดหอยเป๋าฮื้อก่อน ท่านถึงจะยอมทานนะ ท่านลืมแล้วหรือไร?”
“หวางมามาพูดเรื่องอะไรกัน?
มู่อวิ๋นซีใบหน้างุนงง “ท่านพ่อให้คนทำอาหารมาให้ข้า ทำไมข้าต้องให้ท่านชิมก่อนด้วย? หรือว่าท่านพ่อจะวางยาพิษข้าได้หรือไรกัน?”
“แต่…ข้าน้อย…” ยายหวางหน้าเขียวสลับม่วง “แต่เมื่อครู่ท่านบอกว่าอาจารย์ท่านสั่งความไว้มิให้ท่านทานอาหารคนเดียว เลยจำต้องให้ข้าน้อยทานก่อนถึงยอมทานนี่เจ้าคะ”
มู่อวิ๋นซีหลุดเสียงหัวเราะพรืด “หวางมามาล้อเล่นกระมัง? อาจารย์ข้ามิมีงานอดิเรกอื่นใด นอกจากชอบทานอาหารเลิศรส อาหารอันใดอร่อยมักชอบแอบซ่อนไว้ทานคนเดียวเสมอ”
“คุณหนูสาม ท่าน…”
“พอได้แล้ว!”
มู่เซิ่งตัดบทคำพูดของยายหวาง หันไปมองมู่อวิ๋นซี “ยามนี้ดึกมากแล้ว เจ้าเองก็เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบเข้านอนพักผ่อนเถิด”
เมื่อออกจากลานชิงจื่อ มู่เซิ่งถึงชะงักเท้ากวักมือเรียกคนรับใช้ “รีบไปดูเร็วว่ามู่จื่อชวนกลับมาแล้วหรือไม่?”
หลังจากนั้นหันไปกับมองยายหวางที่เร่งฝีเท้าตามเขามา สายตาคมปลาบราวใบมีด แทบอยากจะฟันยายหวางออกเป็นชิ้นๆ
“นายท่าน!” ยายหวางขาอ่อนยวบคุกเข่าลง “นายท่านอย่าไปหลงเชื่อคำนังแพศยานั่นนะเจ้าคะ ข้าน้อยเห็นกับตาตัวเองเลยว่านางกินเต้าหู้ผัดหอยเป๋าฮื้อจานนั้นไปกว่าครึ่ง”
มู่เซิ่งหัวเราะพรืด “งั้นเหตุใดนางจึงมิสลบเล่า?”
“ข้าน้อยมิทราบเจ้าค่ะ” ยายหวางสีหน้าเศร้าสร้อย ความคิดในใจวนเวียนไปมา “หรือว่า..หรือว่าร่างกายนางพิเศษ ยาของนายท่านมิมีผลกับนาง?”
“ร่างกายพิเศษ?” มู่เซิ่งยกเท้าถีบเข้าไปที่ร่างยายหวาง “ยายแก่อย่างเจ้า วันๆตะกละก็มิเท่าไหร่ วันนี้รู้ทั้งรู้ว่าข้าจะเล่นงานนังนั่น กลับตะกละกินเต้าหู้ผัดหอยเป๋าฮื้อจานนั้น เจ้ามิกลัวกินแล้วตายหรือไรกัน?”
“มิใช่ มิใช่ข้านะเจ้าคะ!”
ยายหวางรีบลุกขึ้นจากพื้น ไม่กล้าโอดครวญ หน้าซีดเผือดเล่าเรื่องมู่อวิ๋นซีไม่ยอมทานยังไง และยังบังคับนางชิมอาหารก่อนออกมาอีกครั้ง พลางยกมือสาบาน “ขอฟ้าดินเป็นพยาน ข้าน้อยเห็นกับตาตัวเองเลยว่านางกินลงไปแล้ว”
“ได้” มู่เซิ่งยิ้มเย็น “ต่อให้ยาข้าไม่ได้ผล เจ้าพูดเองมิใช่รึว่าฉีกกระชากเสื้อผ้านางหมดแล้ว? เหตุใดชุดนั้นจึงยังอยู่บนตัวนางเรียบร้อยเล่า? ยามนางมาที่จวนนางมาตัวเปล่า”
“เจ้าคงมิใช่จะบอกข้าว่า นางมีวิชาพิเศษ สามารถทำให้เสื้อผ้าที่ขาดไม่มีชิ้นดีกลับคืนสู่สภาพเดิมหรอกนะ? ยังมีหญ้าลอยตามหาอีก หากมิใช่เจ้าพูด นางจะรู้ได้อย่างใดว่าข้าชอบฟังอะไร?”
ใบหน้ายายหวางเขียวคล้ำทันที นี่คือสิ่งที่นางมิเข้าใจ นางฉีกกระชากชุดมู่อวิ๋นซีไม่เหลือชิ้นดีแล้ว เหตุใดจึงยังอยู่สภาพดีบนร่างนางได้อีก? หรือว่าภาพหลอน?”
“พูดสิ!” พอเห็นยายหวางเงียบ มู่เซิ่งโกรธจัด ถีบนางกระเด็นอีก “เจ้ารู้หรือไม่ หากองค์หญิงใหญ่เห็นนางเข้าจะเกิดอะไรขึ้น?”
ยายหวางร้อนรนอย่างที่สุด นางพูดความจริงๆแท้ๆ เหตุใดกลับดูเป็นโกหกไปได้ นางรู้ว่าหากนางยืนกรานต่อไป มีแต่จะทำให้มู่เซิ่งโกรธมากยิ่งขึ้น นางได้แต่กัดฟันกรอด
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว ต่อไปมิกล้าแล้วเจ้าค่ะ นายท่านวางใจได้ ข้าน้อยต้องหาทางทำคุณไถ่โทษแน่นอน”