สำหรับดารานิรันดร์ การสังหารดาวพระเคราะห์นั้นง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ!
ส่วนผู้เยี่ยมยุทธ์ดาราจักร การสังหารดารานิรันดร์…หากใช้คำว่าง่ายราวกับพลิกฝ่ามือมาอธิบายก็คงจะเป็นการให้ค่าดารานิรันดร์สูงไป ถึงแม้ดารานิรันดร์จะแข็งแกร่ง แต่ยิ่งฐานการฝึกฝนลึกล้ำขึ้น ช่องว่างของแต่ละระดับก็ยิ่งมากขึ้น
หากใช้คำว่าพันเท่ามาอธิบายความต่างระหว่างดาวพระเคราะห์กับดารานิรันดร์ เช่นนั้นระหว่างจักรพิภพกับดารานิรันดร์ก็ต้องใช้คำว่าหมื่นเท่าเป็นอย่างน้อย เช่นนี้แล้วสำหรับปรมาจารย์แห่งไฟ เขาไม่จำเป็นต้องปรากฏตัว เพียงแค่เปลวไฟที่แผ่ซ่านออกมาจากจิตใต้สำนึกก็เพียงพอที่จะทำลายดารานิรันดร์แห่งอารยธรรมครามทองคำได้แล้ว
ส่วนร่างจริง…ต่อให้ยืนอยู่ตรงนั้นและปล่อยให้ดารานิรันดร์โจมตี ถึงแม้จะโจมตีจนจักรวาลพังทลาย ปรมาจารย์แห่งไฟก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย เพราะการบาดเจ็บที่เขาโดนยังห่างชั้นกับการฟื้นตัวของร่างกายเขามาก
นี่แหละ…คือความต่างชั้น!
ดังนั้นทันทีที่แส้เปลวไฟซึ่งแปลงมาจากจิตใต้สำนึกของปรมาจารย์แห่งไฟปรากฏขึ้น ก็เรียกว่าได้ตัดสินบทสรุปของสถานการณ์นี้แล้ว และกลายเป็นเพียงเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง
ในชั่วพริบตา…ผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์สองคนที่เรียกได้ว่าอยู่ใต้อำนาจคนเพียงคนเดียวในอารยธรรมครามทองคำยังไม่ทันได้ส่งเสียงกรีดร้องก็ร่างแหลกสลายเป็นผุยผง เลือดเนื้อถูกไฟเผาจนกลายเป็นขี้เถ้า และดวงวิญญาณเทพ…ก็ไม่มีสิทธิ์หลบหนี ถูกทำลายจนสิ้นซาก!
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกฎเต๋าสวรรค์ของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ถึงแม้พวกเขาจะถูกทำลายจนสิ้นซาก แต่ก็ยังคงหลงเหลือร่องรอยไว้ในเต๋าสวรรค์ ในอนาคตจึงยังมีโอกาสฟื้นคืนชีพ แต่นั่นคือ…ก่อนหวังเป่าเล่อจะลงมือ!
เขาอาฆาตดารานิรันดร์สองคนนี้อย่างรุนแรงสำหรับการคุกคามคนของตน คนโหดเหี้ยมอย่างหวังเป่าเล่อย่อมไม่มีทางเห็นใจ อีกทั้งปรมาจารย์แห่งไฟก็อยู่ที่นี่แล้ว เขาจึงไม่ต้องกังวลว่าความลับจะถูกเปิดเผย
ถึงอย่างไร…ปรมาจารย์แห่งไฟก็คงมองความสัมพันธ์ของตนกับเฉินชิงออก และครั้งหนึ่งก็เคยพูดออกมาด้วย เขาไม่จำเป็นต้องปกปิดมันมากเกินไป ดังนั้นแทบจะในทันทีที่ปรมาจารย์แห่งไฟโจมตี ผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์สองคนนั้นก็กลายเป็นผุยผงไปในชั่วพริบตา หวังเป่าเล่อนัยน์ตาสว่างวาบ มือขวายกขึ้น และใช้นิ้วหัวแม่มือไล่กดแต่ละนิ้ว ทันใดนั้นที่ด้านหลังก็ปรากฏดวงเนตรปีศาจขนาดใหญ่ขึ้น!
ดวงตาปีศาจนี้ต่างจากในตอนอยู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะ ถึงแม้จะมีเพียงข้างเดียว แต่ภายในกลับมีถึงสิบวง ทำให้ดวงตาปีศาจนี้ดูแปลกมาก ดาวพระเคราะห์เพียงเหลือบมองต่างก็สัมผัสสวรรค์สั่นคลอนไปตามๆ กัน
“กลืน!” ทันทีที่ดวงตาปีศาจปรากฏขึ้น หวังเป่าเล่อก็เอ่ยเสียงเข้ม ทันใดนั้นดวงตาสีดำด้านหลังก็เปล่งลำแสงชั่วร้ายออกมา อีกทั้งข้างในก็มีเพลิงดำที่มองไม่เห็น ในชั่วพริบตาก็ดูดซับร่องรอยของดารานิรันดร์เข้าไปและทำลายทิ้ง!
แล้วร่างกายหวังเป่าเล่อก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พลังดวงวิญญาณเทพจากดารานิรันดร์สองคนจำนวนมากส่งผ่านมาทางดวงตาปีศาจ ทำให้ฐานการฝึกฝนของเขาค่อยๆ เพิ่มขึ้น
จักรวาลสั่นสะเทือนราวกับสายฟ้าพาดผ่าน ปรมาจารย์แห่งไฟได้เป็นประจักษ์พยานในฉากนี้ แต่ไม่ได้พูดอะไร อีกทั้งยังแผ่ทะเลเพลิงออกมาจากกระแสน้ำวนมากขึ้น ปิดกั้นทั่วทั้งดาราจักรดวงเนตรสวรรค์ ขณะเดียวกันก็ห่อหุ้มฟองอากาศที่มีเจ้าเยี่ยเหมิงรวมถึงเจ้าลาน้อยและอู๋น้อย กลายเป็นปราการคุ้มกัน ขณะเดียวกันเสียงของเขาก็ดังสะท้อนไปรอบตัวดาวพระเคราะห์ทั้งเก้าและผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วน
“ศิษย์เอ๋ย อยากให้อาจารย์ช่วยเจ้ากวาดล้างทุกสิ่งที่นี่หรือไม่”
คำว่าศิษย์เอ๋ยนี้ ปรมาจารย์แห่งไฟตะโกนออกมาอย่างภาคภูมิใจ ยามที่มันลอยเข้าหูหวังเป่าเล่อ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจ แต่ที่มากกว่านั้นคือความซาบซึ้ง ถึงอย่างไรการโจมตีของปรมาจารย์แห่งไฟครั้งนี้ก็สำคัญกับหวังเป่าเล่ออย่างยิ่ง
นี่ไม่เพียงคลี่คลายวิกฤติในครั้งนี้ให้เขาได้ เรื่องดาวเคราะห์เต๋าของเขาก็ยังได้รับความช่วยเหลือ ความเมตตาเช่นนี้ทำให้หวังเป่าเล่อซาบซึ้งมาก ในใจก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าการคำนับอาจารย์ครั้งนี้…ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร เขาก็จะเดินหน้าต่อไป!ไอรีนโนเวล
ดังนั้นเขาจึงไม่มีพิธีรีตองมากนักและกำมือคำนับอาจารย์ ก่อนจะเอ่ยด้วยความเคารพ
“จิตใจศิษย์อัดแน่นด้วยไอสังหาร หากไม่ระบายออกมาคงไม่ได้ ดังนั้นส่วนที่เหลือศิษย์จัดการเองได้ขอรับ และขอให้อาจารย์โปรดช่วยขัดขวางภัยจากทุกทิศทาง ปกป้องบ้านเกิดข้าให้ปลอดภัยด้วยเถิดขอรับ!”
“ได้!” ปรมาจารย์แห่งไฟหัวเราะเสียงดัง และดวงเทพจิตของเขาก็ปิดลงและหายไป!
ถึงแม้ขณะที่ปรมาจารย์แห่งไฟหัวเราะ ดวงจิตเทพจะจากไปแล้ว แต่เปลวไฟ ณ ที่แห่งนี้ยังคงอยู่และปิดผนึกที่แห่งนี้ไว้ ทำให้ผู้ฝึกตนหลายแสนคนรวมถึงดาวพระเคราะห์ทั้งเก้าต่างตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว สายตาจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างดุเดือด โดยเฉพาะพวกปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่ในสายตาแห่งความสิ้นหวังยังมีความบ้าคลั่งทะลุออกมาด้วย
พวกเขาได้เห็นและได้ยินอย่างชัดเจนแล้วว่าเหตุผลที่หวังเป่าเล่อไม่ยืมพลังแห่งไฟมากวาดล้างทุกสิ่ง ก็เพราะต้องการสยบและทำลายทุกอย่างด้วยมือตนเอง
แต่ในมุมของพวกเขา นี่มันอวดดีเกินไป!
ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีกันเก้าคน โดยเฉพาะปรมาจารย์มหาทัณฑ์และมือดีจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นดาวพระเคราะห์ชั้นปลาย ถึงแม้ว่าแรงกดดันจากปรมาจารย์แห่งไฟจะทำให้พวกเขาไม่สามารถแสดงพลังต่อสู้ออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่เก้าคนร่วมมือกัน…สู้กับคนที่เพิ่งจะได้เลื่อนขึ้นเป็นดาวพระเคราะห์เพียงคนเดียว ต่อให้อีกฝ่ายจะหลอมรวมกับดาวเคราะห์เต๋า พวกเขาก็ยังมีโอกาสชนะ
เพียงแต่ว่า…เรื่องที่เห็นได้ชัดเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่คิดว่าหวังเป่าเล่อจะไม่รู้ ดังนั้นจึงต้องมีความลับอื่นอยู่เป็นแน่ ทุกคนตกอยู่ในความกังวล และเมื่อปรมาจารย์มหาทัณฑ์กำลังจะเอ่ยปากพูด หวังเป่าเล่อก็ก้าวออกมาจากเรือดาวตกแล้ว!
“ไม่ทันรู้ตัวเลยว่ามาอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้หลายปีแล้ว…” หวังเป่าเล่อเอ่ยเบาๆ ขณะเดิน
“ในบรรดาพวกเจ้ามีบางคนที่ข้ารู้จัก และมีบางคนที่ข้าไม่คุ้นเคย ตอนนี้ทุกอย่างกำลังจะจบลงแล้ว…เพื่อตอบแทนสิ่งที่พวกเจ้าทำ ข้าแซ่หวังคิดว่า…มีเรื่องหนึ่งที่ต้องแจ้งให้พวกเจ้ารู้” หวังเป่าเล่อพูดถึงตรงนี้ก็เดินออกมาพ้นเรือดาวตกแล้วและกำลังยืนอยู่กลางอากาศ เขามองไปยังพวกมหาทัณฑ์ที่หน้าเปลี่ยนสี
“ตัวข้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเจ้าเป็นแค่…ร่างแยก!” เมื่อประโยคนี้ลอยเข้าหูพวกเขาก็เหมือนกับสายฟ้าพาดผ่าน ไม่รอให้พวกเขาได้ตกใจ มือข้างขวาของหวังเป่าเล่อก็ยกขึ้นชี้ไปยังดาวเอกดวงเนตรสวรรค์และเอ่ยอย่างสงบ
“ร่างจริง กลับมา!”
ทันทีที่พูดประโยคนี้ ดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ก็ส่งเสียงคำรามสะเทือนฟ้าและเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน!
ในเวลาเดียวกันที่นอกระบบสุริยะที่อยู่ห่างไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ กลางจักรวาลที่ปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่งที่สุดของอารยธรรมครามทองคำคนนั้นอยู่
เดิมทีปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของอารยธรรมครามทองคำผู้นี้กำลังหลับตาอยู่ จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็คือต้องการใช้ที่นี่บีบบังคับหวังเป่าเล่อให้ส่งดาวเคราะห์เต๋าให้ ตอนนี้สิ่งที่รอคือข่าวจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ข่าวที่รอคอยยังไม่มาถึง สิ่งที่มาถึงกลับเป็นอาการใจสั่นหวิว
ในพริบตาเดียวที่ร่องรอยพลังของปรมาจารย์แห่งไฟกำเนิดขึ้น เขาก็หน้าเปลี่ยนสี ลมหายใจถี่กระชั้น ดวงตาเบิกโพลง เขาจ้องเขม็งไปยังจักรวาลเบื้องหน้า ในไม่ช้าเขาก็เห็นว่าในจักรวาลเบื้องหน้ามีทะเลเพลิงกว้างใหญ่ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ ทะเลเพลิงนี้ใหญ่จนแทบจะไร้พรมแดน ใหญ่ยิ่งกว่าดาราจักรหนึ่งเสียที!
อีกทั้งเมื่อมันปรากฏขึ้น เปลวไฟภายในก็ม้วนตัวก่อตัวขึ้นเป็นศีรษะขนาดใหญ่ ศีรษะนี้ใหญ่โตไร้ที่สิ้นสุด เส้นผมของมันพลิ้วไหวราวกับทางช้างเผือก มันจ้องมองปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของอารยธรรมครามทองคำตรงหน้าอย่างเย็นชา
ระหว่างทั้งสองดูเหมือนฟ้ากับดิน เมื่อเทียบกับศีรษะนั้น ปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของอารยธรรมครามทองคำเทียบไม่ได้แม้แต่มดด้วยซ้ำ
เพียงแค่สายตาก็ทำให้ดวงดาวในร่างปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของอารยธรรมครามทองคำเหี่ยวเฉาไปในทันที มันกลายเป็นเถ้าถ่านราวกับถูกไฟไหม้ ส่วนร่างกายเขาก็สั่นสะท้านจากการจ้องมองนี้ ขณะที่ใบหน้าขาวซีด ตัวสั่นเทิ้ม พายุก็โหมกระหน่ำอยู่ในใจจนต้องคุกเข่าลง
“ผู้น้อยเจว๋หมิง ศิษย์ในนามสำนักสวรรค์ลึกลับแห่งแก่นเต๋า เป็นเกียรติที่ได้พบ…ปรมาจารย์แห่งไฟ!” ดารานิรันดร์ที่แข็งแกร่งที่สุดของอารยธรรมครามทองเอ่ยคำเสียงสั่นเครือ ความรู้สึกถูกบีบเค้นอย่างรุนแรง ทำให้เขารู้ว่าเพียงแค่อีกฝ่ายคิด ตนคงถูกทำลายจนสิ้นซากเป็นแน่
เพราะ…สิ่งที่ปรากฏขึ้นที่นี่คือร่างที่แท้จริงของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพ ไม่ใช่จิตใต้สำนึก จึงอาจเกิดฉากบดขยี้อะไรพวกนั้นได้จริง
และเขายังตระหนักได้อีกว่าการที่ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพคนหนึ่งปรากฏร่างจริงนั้น หมายความว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ที่มาที่นี่และต้องยิ่งใหญ่มาก โดยเฉพาะความไร้ปราณีที่เห็นได้ชัด ทำให้เขาตึงเครียดถึงขีดสุด ดังนั้นตอนที่เอ่ยปากเขาจึงไม่ได้พูดถึงอารยธรรมครามทองคำ แต่เป็นอีกตัวตนหนึ่งแทน
สำนักสวรรค์ลึกลับเป็นสำนักแรกของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย และยังเป็นสำนักของผู้ฝึกตนผู้สง่างามในสุสานดวงดาราคนนั้นด้วย แก่นเต๋าที่พูดถึงก็คือหนึ่งในเขตแดนทั้งเก้าในจักรวาล!
เพียงแต่สำหรับปรมาจารย์แห่งไฟแล้ว แม้แต่ตระกูลไม่รู้สิ้นเขายังกล้ายั่วยุ จึงย่อมไม่สนใจแก่นเต๋าอะไรนั่น เขาเอ่ยอย่างเย็นชาราวกับออกคำสั่งสามประโยค
“หวังเป่าเล่อคือศิษย์เอกของข้า!”
“ข้าให้เวลาหนึ่งเดือน จงส่งของกำนัลไถ่โทษมา!”
“ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”
…………………………………….