เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 19 เมื่อทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด กับแผนการชั่วร้าย

“ลูกชั่ว!”
คิ้วของมู่เซิ่งขมวดเข้าหากัน ผลักประตูเข้าไปอย่างแรง สายตาจ้องมองไปยังมู่จื่อโหรวที่ล้มอยู่กับพื้นอย่างเดือดดาล “ไม่แปลกเลยที่องค์หญิงใหญ่จะไม่ชอบเจ้า นิสัยเช่นนี้ของเจ้า นางชอบก็นับว่าแปลกแล้ว เข้ามา!พาคุณหนูสามไปยังศาลบรรพชนให้นางได้สำนึกถึงความผิดของตัวเองเสีย”
“เพราะเหตุใดกัน?” มู่จื่อโหรวร้องตะคอกออกมา
หลิ่วเย่ขยิบตาให้กับมู่จื่อโหรว ในขณะที่พูดอ้อนวอนต่อมู่เซิ่ง “นายท่าน มีอะไรก็ค่อยๆ พูดกันเถิด นางยังเด็กอยู่นะเจ้าคะ”
“เด็ก?นางยังโตกว่ามู่อวิ๋นซีตั้งสามวัน เอาตัวไป !”
รอจนมู่จื่อโหรวถูกลากตัวไป มู่เซิ่งถึงค่อยหันไปมองชุนเถายืนอยู่ด้านข้าง “เก็บสัมภาระของคุณหนูเสีย แล้วย้ายไปยังเรือนซือสุ่ยทันที”
“เรือนซือสุ่ย คนจะไปอยู่อาศัยได้อย่างไรเจ้าคะ?ที่นั่น……” หลิ่วเย่กลืนคำวิงวอนนั้นลงไป พลางมองใบหน้าของมู่เซิ่งแล้วพูดต่อ
“ให้นางได้สำนึกผิดเสียหน่อยก็ดีเจ้าค่ะ”
นางชำเลืองสายตามองไปรอบๆ พร้อมลดเสียงลงพูด “แต่ว่า นายท่าน มู่อวิ๋นซีจะปล่อยเอาไว้ไม่ได้เด็ดขาดเจ้าค่ะ”
“นี่ยังจะต้องให้เจ้าพูดอีกรึ?เมื่อวานนี้ข้าได้เชิญนักฆ่ามาจากสำนักอินทรีย์ ก่อนเกิดเรื่องพวกเขายังให้การตอบตกลงอย่างดี แต่ว่าเมื่อเช้าวานนี้ พวกเขากลับนำเงินมาคืน ทั้งยังเตือนข้าด้วยว่า ……”
เมื่อนึกย้อนไปถึงความรู้เย็นวาบเมื่อมีดถูกวางลงบนคอของเขา มู่เซิ่งก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัวและหงุดหงิดข้ามาอีกครั้ง “หลังจากนี้หากว่ายังกล้าไปเชิญพวกเขาอีก พวกเขาก็จะสังหารข้าเสีย”
“เงินที่เอาไปส่งถึงที่ที่ไหนยังมีคนไม่เอาอีกงั้นหรือ” หลิ่วเย่เกิดความรู้สึกไม่คาดฝันขึ้นมา ก่อนจะนึกถึงอีกเรื่องขึ้นมา “ทางฝั่งยายแก่นั่นเล่าเจ้าคะ ?มีท่าทีกับมู่อวิ๋นซีเช่นไรบ้าง?”
“แน่นอนว่าเป็นดั่งสมบัติล้ำค่าอยู่แล้ว” สีหน้าของมู่เซิ่งเย็นชาลง “ไม่เช่นนั้นจะให้จื่อโหรวย้ายออกมาจากลานชิงจื่อได้อย่างไร ?อีกอย่างนางยังมอบไป่หลิงให้กับแพศยาคนนั้นด้วย นั่นเป็นถึงดวงตาที่คอยสอดสองอยู่ข้างกายเด็กแพศยาคนนั้นเชียว”
“ตายยากเสียจริง!” หลิ่วเย่สบถคำต่อว่าออกมา “นายท่านปฏิบัติต่อนางอย่างอารี แต่นางกลับไม่สนใจเลยสักนิด ทั้งที่ตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอด แต่ยังอยากที่จะโต้คลื่นลมอีกหรือ ?”

“นายท่าน!” นางมองไปรอบๆ “ตอนนี้สมบัติทั้งหมดของตระกูลมู่ได้ตกมาอยู่ในนามของนายท่านจนสิ้นแล้ว ปล่อยนางไว้ก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อพวกเราทำมาถึงขนาดนี้แล้วก็จัดการให้มันจบเลยไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ ?”
“เจ้ารู้อะไรด้วย?” มู่เซิ่งชำเลืองตามองหลิ่วเย่ “นางเป็นถึงองค์หญิงใหญ่ มีชีวิตอยู่ก็คงจะไม่เกิดปัญหาอันใด แต่หากว่าเสียชีวิตไปอย่างกะทันหัน ทางพระราชวังจะต้องเข้ามาตรวจสอบแน่นอน”
“อีกอย่าง สมบัติพวกนั้นจะนับเป็นอะไรได้ กองเงินกองทองที่สะสมมาหลายสิบปีของตระกูลมู่ล้วนถูกซ่อนเอาไว้ในลานหย่งเหอทั้งสิ้น จนถึงตอนนี้ข้าเพิ่งจะค้นพบทางเข้าห้องลับได้เท่านั้น แต่ยังหากุญแจไม่เจอ”
“นายท่าน!” หลิ่วเย่ร้องเรียกมู่เซิ่ง “คนเป็นสิ่งมีชีวิต แต่สิ่งของเป็นของตาย ขอเพียงมันอยู่ที่ลานหย่งเหอ ก็ไม่สามารถหนีไปที่ใดได้ ใต้หล้ายิ่งใหญ่เพียงนี้ ท่านจะหาไม่ได้ช่างกุญแจที่จะสามารถมาเปิดกลอนบานนี้ได้เลยหรือ ?”
“ยายคนนั้นต้องการที่จะให้เด็กแพศยาคนนั้นเปิดเผยฐานะต่อทุกคนไม่ใช่รึ?เช่นนั้นพวกเราก็ให้นางได้เปิดเผยดีๆ!ข้าจะนำสองต้น……” หลิ่วเย่โน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูของมู่เซิ่ง
มู่เซิ่งพยักหน้ายิกๆ พร้อมกวักมือเรียกข้ารับใช้คนหนึ่ง “จงไปยังสำนักศึกษาเชิญท่านชายจื่อชวนกลับมา บอกว่าคุณหนูจื่อโหรวต้องการฆ่าตัวตาย ให้เขากลับมาโน้มน้าวนางเสียหน่อย”
“นายท่าน ข้าจะไปกล่าวโน้มน้าวจื่อโหรวสักหน่อยนะเจ้าค่ะ” หลิ่วเย่คว้าโอกาสพูดขึ้นมาทันที
“ฮูหยินเล็กหลิ่วเจ้าค่ะ!” ยายรับใช้ที่เฝ้าทางเข้าประตูศาลบรรพชนเข้าโน้มเคารพหลิ่วเย่
หลิ่วเย่สะบัดมือขึ้นไล่ รอจนกระทั่งยายรับใช้จากไปไกล ถึงค่อยก้าวเท้าเข้าไปในศาลบรรพชน
“เจ้ามาเพื่อสิ่งใด?” มู่จื่อโหรวที่กำลังนั่งกอดเข้าอยู่บนที่นอนพอได้เห็นหลิ่วเย่ ความโกรธก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยว่าเจ้าอย่างได้คิดที่จะให้ข้าเรียกท่านว่าท่านแม่เลย”
“ข้ารู้ ต่อให้ท่านจะไม่ใช่หลานสาวขององค์หญิงใหญ่ แต่ก็ยังเป็นคุณหนูสามแห่งครอบครัวลูกคนที่สอง เป็นเจ้านาย ข้าจะให้ท่านเรียกข้าว่าท่านแม่ได้อย่างไรกัน ?ข้ามาก็เพราะมีเรื่องเดียวที่อยากจะสอบถามเจ้าเท่านั้น” นางนั่งยองๆ ลงต่อหน้าของมู่จื่อโหรว พลางจ้องดวงตากลมโตที่กำลังขุ่นเคืองของนาง “ท่านอยากให้มู่อวิ๋นซีเสียหน้าหรือไม่?อยากให้นางตายหรือไม่?”
“เจ้ามีแผนการงั้นรึ?” มู่จื่อโหรวถามอย่างรู้สึกสงสัย
“แน่นอนอยู่แล้ว ทั้งยังเป็นแผนการที่แม้แต่ผีสางเทวดายังไม่สามารถรับรู้ได้อีกด้วย” มุมปากของหลิ่วเย่ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันที “ปีนี้ช่างดอกไม้ของแปลงดอกไม้พวกเราบังเอิญได้เพาะปลูกดอกโบตั๋นสามสีสองดอก ดอกนั้นไม่ใช่เพียงสวยงามเท่านั้น แต่ยังหอมดึงดูดมากด้วย”

“แล้วสิ่งนี้เกี่ยวข้องอะไรกับการทำให้มู่อวิ๋นซีเสียหน้า ?” มู่จื่อโหรวเกิดความสงสัยอีกครั้ง “เจ้าคงจะไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรจะพูดแต่แสร้งทำเป็นหาเรื่องพูด เพื่อต้องการกระชับความสนิทสนมกับข้าหรอกนะ ?”
หลิ่วเย่ตอบกลับด้วยใบหน้าเอ็นดู “ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อน ฟังข้าพูดก่อน เดิมที ในห้องดอกไม้มีผึ้งอยู่ด้วยกันสองฝูง ทุกๆ วันผึ้งจะตอมลงไปในดอกไม้ต่างๆ แต่หลังจากที่โบตั๋นสองดอกนั้นเบ่งบาน ผึ้งนี้ก็บินไปตอมเพียงเถาม่วงอย่างเดียวเท่านั้น”
“หมายความว่าอย่างไร?เจ้าช่วยพูดภาษามนุษย์ได้หรือไม่” มู่จื่อโหรวพูดขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ
“ก่อนที่จะกลับมา ข้าได้จัดเตรียมเสื้อผ้าให้แก่มู่อวิ๋นซี ซึ่งส่งกลิ่นเดียวกันกับเถาม่วง เพียงแค่นางสวมชุดนั้นเข้าไป และเข้าไปอยู่ในห้องเดียวกันกับดอกโบตั๋นสามสีนั่น ก็จะสามารถดึงดูดฝูงผึ้งนับไม่ถ้วน และเมื่อถึงตอนนั้น ……”
“แล้วนางก็จะถูกผึ้งต่อยจนกลายเป็นหัวหมู เช่นนั้นก็ดีเกินไปแล้ว!” มู่จื่อโหรวรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น “ไป พวกเราไปส่งชุดให้นางกันเถิด”
“อย่ารีบร้อน สามวันข้างหน้า องค์หญิงใหญ่จะให้มู่อวิ๋นซีได้ทำความรู้จักกับวงศ์ตระกูล ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยให้นางเสียหน้า” หลิ่วเย่สะกดมู่จื่อโหรวเอาไว้
“ทำความรู้จักกับวงศ์ตระกูล?” ความตื่นเต้นบนใบหน้าของมู่จื่อโหรวชะงักลงทันที “เพราะเหตุใดกัน?นางไม่คู่ควร!”
“ถูกต้อง!นางไม่คู่ควร!” หลิ่วเย่พูดอย่างเห็นด้วย “ท่านวางใจ เรื่องนี้ไม่มีทางสำเร็จแน่นอน”
“จริงรึ?”
“แน่นอน แต่ว่าแผนการของพวกเราคงต้องให้ท่านแสดงท่าทีช้ำใจไปอีกสองวัน ท่านรองได้ส่งคนให้ไปยังสำนักศึกษาเพื่อเรียกตัวมู่จื่อชวนแล้ว อีกสักเดี๋ยวท่าน ……”

หลิ่วเย่ลดเสียงเบาลง
ในเวลาเดียวกัน มู่อวิ๋นซีที่ไม่ได้พบกับมู่จื่อชวนก็เดินทางออกมาจากลานหย่งเหอพร้อมกับไป่หลิง
“ท่านชายก็จริงๆ เสียเลย สำนักศึกษามีเรื่องสำคัญอะไรกัน แม้แต่เวลากลับมาทานอาหารยังไม่มีเลย” ไป่หลิงบ่นออกมาอย่างอดไม่ได้ พลางหันสายตามองไปยังมู่อวิ๋นซี “คุณหนู!ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ?”
“ตามใจเจ้าเลย”
“คุณหนู ถ้าหากไม่กลัวหนาว ข้าน้อยก็จะพาท่านไปยังสวนดอกไม้เจ้าค่ะ” ไป่หลิงครุ่นคิด “ที่นั่นมีแต่คนทำงานหนัก ไม่ได้มีความสำคัญอันใด หากว่าคุณหนูเห็นแล้วถูกใจ สามารถเลือกสักสองสามคนกลับไปไว้ที่ลานชิงจื่อได้เจ้าค่ะ แบบนี้พวกนางจะรู้สึกขอบคุณคุณหนูแน่นอน”
“ได้ เช่นนั้นก็ไปสวนดอกไม้”
สวนดอกไม้มีแต่ความว่างเปล่า ดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนเหลือเพียงแต่ก้านที่ตั้งตรงอยู่บนพื้น จนไม่รู้ว่าเป็นดอกอะไร
เพียงมองไปมุ่อวิ๋นซีก็เห็นเข้ากับกลุ่มคนที่กำลังยืนล้อมกับอยู่หน้าประตูห้องดอกไม้ ไม่รู้ว่ากำลังวิวาทอะไรกันอยู่
นางหันไปสบตากับไป่หลิง ก่อนที่ทั้งสองจะสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“ใครใช้ให้เจ้าซุ่มซ่ามกัน ข้าจะตีนังตัวดีอย่างเจ้าให้ตายเสีย!” ยายรับใช้นางหนึ่งกำลังถือพรวนขุดดินทุบตีไปยังเด็กสาวที่กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้น
“มามาไว้ชีวิตด้วย โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย !” สาวใช้ไม่กล้าที่จะหลบ จึงได้เพียงคุกเข่าเอาคำนับศีรษะลงร้องขอชีวิต
“อะแฮ่ม!” ไป่หลิงกระแอมขึ้นมา
“แม่นางไป่หลิง!” ยายรับใช้ทิ้งพรวนในมือลง รีบเดินเข้าไปโน้มคำนับ “เหตุใดแม่นางถึงได้มายังที่เช่นนี้ด้วยตัวเองเล่าเจ้าคะ ?หากองค์หญิงอยากได้ดอกอะไร ท่านส่งคนมาแจ้งก็พอแล้ว ข้าจะส่งไปให้ท่านเอง”
“นี่คือคุณหนูรอง!” ไป่หลิงมองไปยังมู่อวิ๋นซี “องค์หญิงให้รับสั่งว่าจากนี้ไปหากมีดอกไม้หายาก ให้ส่งไปยังลานชิงจื่อให้กับคุณหนูรองทันที”
“ลานชิงจื่อไม่ใช่……”
“นี่นางทำอะไรรึ?” มู่อวิ๋นซีขัดจังหวะความสงสัยของยายรับใช้แล้วมองไปยังสาวใช้คนนั้น

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset