ทันใดนั้นยายรับใช้ที่กำลังทำความสะอาด และสาวใช้ที่เดินผ่านมาก็วิ่งเข้ามาทันที มู่อวิ๋นซีหันหลังไปด้วยความตื่นตะลึง มองไปยังไป่หลิงที่เดินออกมาจากหลังเสากลม “แม่นางไป่หลิง?”
นางรีบสาวเท้าเข้าไปหา “เจ้ารีบไปช่วยคุณหนูจื่อโหรวเร็วเข้า มีงู มีงูเลื้อยเข้าไปในเสื้อผ้าของนางแล้ว”
ไป่หลิงเหลือบมองไปยังมู่จื่อโหรวที่กำลังถูกล้อมตัวเอาไว้ภายในห้อง พลางยกมือขึ้นมาจัดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของมู่อวิ๋นซี “คุณหนูอวิ๋นซีวางใจเถิดเจ้าค่ะ นางไม่เป็นอันใดหรอกเจ้าค่ะ ถึงต่อให้เป็น นั่นก็เพราะนางเป็นคนหาเรื่องใส่ตัวเอง หาเรื่องเองก็ต้องยอมรับเอง”
มู่อวิ๋นซีอึ้ง พลางลดสายตาลงอย่างช้า เมื่อคืนนี้ในตอนที่ไป่หลิงส่งนางกลับมา ระหว่างทางได้พูดถึงเรื่องราวมากมายที่องค์หญิงใหญ่ให้ฟัง นางก็รู้ได้ทันทีเลยว่านางเป็นดังชื่อของตัวเอง เพราะนางเป็นคนปากไวใจซื่อ ไม่สามารถปิดบังความคิดภายในใจได้
“แม่นางไป่หลิง” นางเงยหน้าขึ้นพร้อมร้องขอด้วยเสียงที่กังวลใจ “เรื่องเมื่อสักครู่นี้ เจ้าช่วยเก็บเป็นความลับได้หรือไม่ อย่าได้บอกกับองค์หญิงเด็ดขาด”
“มู่อวิ๋นซี เจ้านังคนแพศยา ข้าจะ……”
คำพูดด่าทอของมู่จื่อโหรวหยุดชะงักลงทันที เมื่อเหลือบเห็นไป่หลิง นางเบะปากแล้วหันหลังวิ่งออกไป โดยมีชุนเถาวิ่งตามหลังไป จากนั้นยายรับใช้ก็นำเอางูที่ตายแล้วออกมา
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายไปหมด ไป่หลิงถึงค่อยหันไปมองมู่อวิ๋นซี “เหตุใดถึงแจ้งเรื่องนี้ให้กับองค์หญิงไม่ได้เจ้าคะ?ท่านไม่อยากให้องค์หญิงช่วยตัดสินแทนท่านงั้นรึ?”
“มีเรื่องน้อยก็จะได้ทุกข์น้อย อีกอย่างข้าเองก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร ก็แค่ไม่อยากให้องค์หญิงกังวลใจก็เท่านั้น”
มู่อวิ๋นซีหันหลังกลับเข้าไปในห้อง พร้อมกับยกเก้าและโต๊ะชาที่ล้มระเนระนาดอยู่บนพื้นขึ้นมา พลางหยิบผ้าปูโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าสีแดงที่ตกอยู่ข้างเบาะรองนั่งกลมขึ้นมา แล้วหันไปมองไป่หลิงอย่างลังเล
“นี่คือผ้าเช็ดหน้าของจื่อโหรว เจ้าช่วยนำมันไปคืนให้นางแทนข้าได้หรือไม่ ?หากนางได้เจอข้า ก็คงจะไม่พอใจอีก”
“คุณหนูช่างนิสัยดีเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” ไป่หลิงรับมาด้วยคิ้วที่ขมวดขึ้น แล้วนำผ้าเช็ดหน้าผืนนั้ยขึ้นมาดม ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที แต่กลับไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา แล้วเก็บเอาผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเข้าไปในแขนเสื้อ “คุณหนูอวิ๋นซี รีบเปลี่ยนชุดแล้วไปกันเถิดเจ้าค่ะ องค์หญิงกำลังรอรับประทานอาหารเช้ากับท่านอยู่นะเจ้าค่ะ”
ภายในลานหย่งเหอ องค์หญิงใหญ่กำลังมองดูแม่นมโจวเอาแป้งม้วน ขนมงา ปลานึ่ง แกงเห็ด แกงเปรี้ยวหวานและของกินอีกมากมายมาจัดไว้เต็มโต๊ะ ก่อนจะชำเลืองสายตาออกไปด้านนอกหน้าต่าง แล้วหันกลับมาแม่นมโจว
“เมื่อคืนนี้ข้านอนคิดทั้งคืนเลย เจ้าว่ามู่เซิ่งดูไม่ออกจริงๆ หรือว่าไม่กล้าที่จะคิดเรื่องนั้นกันแน่ ?”
“อันนี้ ข้าน้อยไม่ทราบเจ้าค่ะ” แม่นมโจวตอบกลับพลางตักแกง “แต่ว่าเมื่อคืนนี้ข้าน้อยได้สอบถามมาแล้วว่าอาหารที่ถูกจัดส่งให้คุณหนูจะต้องผ่านตาของยายหวางก่อนเสมอ มีสาวใช้บางนางบอกด้วยว่ามีหลายครั้งที่นางเห็นยายหวางถุยน้ำลายลงไปในอาหารเหล่านั้นด้วยเจ้าค่ะ”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ?” สีหน้าขององค์หญิงใหญ่คร่ำเคร่งลงทันที “เมื่อวานนี้ปล่อยให้นางตายไปเช่นนั้น ช่างเป็นการดูถูกนางเกินไปแล้วจริงๆ ”
“อีกอย่างเมื่อคืนนี้หลังจากที่ยายหวางมาที่ลานหย่งเหอของเรา ลูกชายปัญญานิ่มของนางก็ตกน้ำเสียชีวิตด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ”
“บังเอิญขนาดนั้นเชียวรึ?” องค์หญิงใหญ่อุทานอย่างประหลาดใจ
แม่นมโจวพยักหน้า “พระองค์คิดว่ายายหวางทำเช่นนั้นเพียงแค่เกลียดชังคุณหนู หรือเพราะเกรงกลัวว่าเรื่องที่ตัวเองเคยก่อไว้จะถูกเปิดเผยเจ้าคะ ?”
“องค์หญิง คุณหนูอวิ๋นซีมาแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงของไป่หลิงดังแทรกขึ้นมาขัดความคิดที่กำลังวุ่นวายขององค์หญิงใหญ่ นางชำเลืองสายตาขึ้นมองไปยังเด็กสาวสวมชุดสีขาวนวล ทรงคิ้วโค้งโก่ง ดวงตาเปล่งประกายดุจหยดน้ำ รูปร่างสะโอดสะองกำลังเดินเข้ามาจากทางประตู ราวกับภาพในตอนนั้นที่ตัวนางได้พบกับมารดาของอวิ๋นซีครั้งแรก
ยายหวางในตอนที่ได้พบนางครั้งแรกแล้วเกิดความกลัวจนกินไม่ได้นอนไม่หลับรึ ?ดังนั้นจึงได้หาวิธีการมาทำร้ายนาง แล้วมู่เซิ่ง ……
องค์หญิงใหญ่ไม่กล้าที่จะคิดไปมากกว่านั้นแล้ว
“อวิ๋นซีน้อมเคารพ……องค์หญิง” มู่อวิ๋นซีเดินเข้าไปโน้มตัวคารวะองค์หญิงใหญ่
“ผิดแล้ว!” ไป่หลิงรีบกล่าวแก้ไขอย่างไม่เกรงใจ “คุณหนูควรเรียกว่าท่านย่าเจ้าค่ะ องค์หญิง ข้าน้อยพูดไม่ผิดใช่หรือไม่เจ้าคะ ?”
องค์หญิงใหญ่ชำเลืองสายตาไปยังไป่หลิง แล้วหันกลับมามองมู่อวิ๋นซี พลางพูดด้วยใบหน้าเอ็นดู “อย่าได้สนใจนางเลย เจ้าอยากจะเรียกอย่างไรก็เรียกเช่นนั้นเถิด”
นางดึงตัวมู่อวิ๋นซีให้ลงมานั่งยังที่นั่งข้างๆ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าชอบทานอะไร จึงได้สั่งให้แม่นมโจวทำอาหารที่บิดามารดาของเจ้าชื่นชอบให้บางส่วน ลองดูว่าเจ้าพอจะชอบหรือไม่? ขนมงาชิ้นนี้ทั้งบางทั้งกรอบ เจ้าลองชิมดูก่อนสิ”
“ขอบพระทัยเจ้าค่ะ……”
มู่อวิ๋นซีหยิบขนมงามาพลางมองหน้าขององค์หญิงใหญ่ ภายในแววตาดุจหยดน้ำประกายความลังเล ความคาดหวัง และความหวาดกลัวขึ้นมา “ข้า……ข้าสามารถเรียกท่านว่าท่านย่าจริงหรือเจ้าคะ?”
องค์หญิงใหญ่ที่ได้ยินถึงกับตะลึงงัน “แน่นอน หากเจ้าเรียกข้าว่าท่านย่าไม่ได้ แล้วผู้ใดจะเรียกเล่า?”
มู่อวิ๋นซีจ้องมองฮูหยินเล็กผู้เป็นที่รักตรงหน้า แล้วนึกถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นของนางเมื่อคืนนี้ แล้วย้อนนึกกลับไปเมื่อชาติที่แล้วตนถูกมู่เซิ่งสั่งให้ดื่มชาพิษจนตาย ภายในใจก็พลันสั่นสะท้านขึ้นมา ชาตินี้นางจะไม่ให้เช่นนี้เกิดขึ้นอีก
การที่นางสามารถเรียกองค์หญิงใหญ่ว่าท่านย่า ก็สามารถปกป้องความสงบของนางได้
“ขอบพระทัยท่านย่าเจ้าค่ะ”
“องค์หญิง!” ในขณะขณะนั้นเอง มีสาวใช้เข้ามากล่าวแจ้ง “คุณหนูจื่อโหรวและท่านรองมู่มาเจ้าค่ะ”
“ท่านย่า!”
องค์หญิงใหญ่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากใดๆ มู่จื่อโหรวก็ร้องไห้โฮเดินเข้ามา ซุกหน้าเข้าไปในอ้อมแขนขององค์หญิงใหญ่ “ท่านย่า ท่านจะต้องช่วยตัดสินให้จื่อโหรวด้วยเจ้าค่ะ !”
“คุณหนูจื่อโหรวเจ้าคะ!” ไป่หลิงที่อยู่ข้างๆ พูดแทรกขึ้นมา “ท่านควรจะเรียกองค์หญิงว่าท่านป้าเจ้าค่ะ”
มู่จื่อโหรวถลึงตาใส่ไป่หลิงอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันสายตามามองยังองค์หญิงใหญ่ พูดด้วยเสียงสะอื้น “ขออภัยเจ้าค่ะ ท่านย่า……ท่านป้า ข้ารู้ว่าตัวเองควรเรียกท่านว่าท่านป้า แต่ข้าเรียกท่านว่าท่านย่ามาสิบหกปีแล้ว ไม่อาจที่จะเปลี่ยนได้ในทันที ท่านป้าได้โปรดอย่าโกรธเคืองเลย”
“เอาเถิด ก็แค่ชื่อเรียกเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร” องค์หญิงใหญ่ยกมือขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของมู่จื่อโหรว “นี่มันอะไรกันถึงได้ร้องไห้โฮตั้งแต่เช้า?”
“ข้าเองก็ไม่อยากจะร้องไห้หรอกเจ้าค่ะ” มู่จื่อโหรวขยี้ตาอย่างแรง “แต่เพราะว่าข้ากลัว อีกนิดเดียวก็จะไม่สามารถมาพบท่านป้าได้อีกแล้ว”
คนชั่วกำลังทำการฟ้อง
แคร็ก!
มู่อวิ๋นซีกัดขนมงาเข้าไปหนึ่งคำ
มู่จื่อโหรวที่เห็นถึงกับใจกระตุก แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของมู่เซิ่ง นางก็รีบพูดทันที “ท่านป้า ท่านจะรับฟังความจากใครบางคนฝ่ายเดียวไม่ได้เจ้าค่ะ เหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่นางพูด ท่านดูตรงนี้ของข้า ……”
นางยกแขนที่มีรอยจุดสีแดงสองจุดขึ้นมา “โชคดีที่พิษของเจ้างูนั่นไม่ได้ร้ายแรงมากนัก ไม่เช่นนั้นต่อให้จื่อโหรวจะมีสิบชีวิตเกรงว่าคงจะไม่พอ ยังมีชุนเถา นางก็ถูกกัดจนได้รับบาดเจ็บด้วยเจ้าค่ะ ถ้าหากเป็นพวกเราที่ปล่อยงูจริงๆ พวกเราจะได้รับบาดเจ็บทั้งสองคนได้อย่างไร ในขณะที่นางกลับไม่เป็นอะไรเลย”
“เจ้ากำลังพูดถึงสิ่งใด?” องค์หญิงใหญ่ที่ได้ยินถึงกับมึนงง “เจ้าถูกงูกัดได้อย่างไร?”
“พี่สะใภ้!”
มู่เซิ่งเดินเข้าไปประสานมือคารวะองค์หญิงใหญ่ พลางเหลือสายตามองไปยังมู่อวิ๋นซีที่กำลังค่อยๆ จิบแกงเห็ดอยู่ “อวิ๋นซีเติบโตมาในหมู่บ้านชนบทตั้งแต่เด็ก ถึงนิสัยจะป่าเถื่อนไปหน่อย แต่ข้าเชื่อว่านางไม่ได้มีความคิดไม่ดี คงจะไม่ใช่เรื่องจงใจ”
“นี่เรียกว่าไม่ได้จงใจ เช่นนั้นสิ่งใดถึงจะเรียกจงใจเจ้าคะ?” มู่จื่อโหรวแย้งกลับ จ้องเขม็งไปยังคนที่ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างมู่อวิ๋นซี
“หรือจะต้องให้ข้าถูกงูกัดตายเสียก่อน ถึงจะเรียกว่าจงใจ ?”
“จื่อโหรว!”
มู่เซิ่งคร่ำครวญออกมา “ข้าเชื่อว่ามู๋อวิ๋นซีไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น ถึงต่อให้พวกเจ้าจะทะเลาะวิวาทกัน นางก็ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้เด็ดขาด เอาเถิด เจ้าเองก็ไม่ได้เป็นอะไรไม่ใช่หรือ ?เรื่องนี้ก็ให้จบลงเท่านี้เถิด”
“อวิ๋นซี” เขากวาดสายตามองไปหามู่อวิ๋นซี แล้วพูดด้วยใบหน้าที่รักและลำเอียง “เจ้าเพียงกล่าวขอโทษต่อจื่อโหรว เท่านี้เรื่องของพวกเราก็จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้แล้ว”