“ทำไมคุณดื้อรั้นแบบนี้ โม่หานทำร้ายคุณ ทำร้ายเราจนย่อยยับยังไม่พอใช่ไหม?ยังเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่าคุณหลอกล่อโม่หาน พวกเขายังพยายามแบ่งหุ้นของตระกูลโม่ และบอกว่าเสี่ยวโยวไม่ใช่ลูกของตระกูลโม่ ความอับอายขายหน้าเช่นนี้ หรือว่าคุณจำไม่ได้แล้ว?”
“การงานก็ไม่มี ผู้หญิงคนหนึ่งกับลูก ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปทุกหนทุกแห่ง มู่เฉียว คุณคิดว่าตนเองยังน่าเวทนาไม่พอใช่ไหม?”
มู่เฉียวนำเสี่ยวโยววางลง “เสี่ยวโยว ไปเล่นของเล่นทางนั้นก่อนนะ”
เสี่ยวโยวพยักหน้า เพิ่งจะหัดเดิน ยังคงเดินเตาะแตะๆ
มู่เฉียวพาแม่นั่งลงบนโซฟา “แม่ คุณอย่าโกรธไปก่อนเลย ฉันแค่พาเสี่ยวโยวไปดูเขา ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อของเสี่ยวโยว”
“พ่อของเสี่ยวโยวเหรอ?เสี่ยวเอ๋อ แม่ไม่อนุญาตให้คุณติดต่อกับคนตระกูลโม่อีก แม่ไม่อนุญาต” แม่พูดถึงประโยคสุดท้าย ก็นั่งเช็ดน้ำตาอยู่บนโซฟา
อารมณ์ของแม่ฮึกเหิมอย่างมาก มู่เฉียวรู้ว่า เธอกลัวและกังวลใจแทนเธอจริงๆ
ตลอดหนึ่งปีนี้ สำหรับครอบครัวหนึ่งมันเป็นเหมือนฝันร้าย
ความขยันหมั่นเพียรของพ่อแม่ทั้งชีวิต แต่เป็นเพราะเธอ ชื่อเสียงจึงได้พังทลายลง ยังถูกชี้หน้าว่าสั่งสอนคนอื่นได้ แต่สอนลูกสาวตนเองไม่ได้
หนึ่งปีก่อนหน้านี้ การผ่าตัดของโม่หานล้มเหลว ต่อมาถูกส่งตัวไปรักษาที่ต่างประเทศ จากนั้นคนตระกูลโม่ก็ได้นำเถ้ากระดูกของโม่หานกลับมา จากนั้นมีคนและสื่อมารายงานข่าว บอกว่าที่เธอบริจาคไขกระดูกในตอนแรก จงใจที่จะล่อหลอกโม่หาน ยังให้โม่หานเป็นพ่อของลูกในท้อง
อำนาจของสื่อ ทำให้เธอกลายเป็นคนที่น่าสมเพชเวทนา เธอพยายามอธิบายแล้ว เธอจึงพบว่าไม่สามารถปิดปากคนที่พูดไปเรื่อยเปื่อยได้
จากนั้น หลังจากที่บริษัทให้เงินเดือนเธอสามเท่า ก็ยกเลิกสัญญาการจ้างงานเธอ
หุ้นส่วนที่โม่หานให้เธอ ก็ถูกหลอกให้โอนคืนกลับไป
คู่สามีภรรยาตระกูลโม่ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ได้สนใจไถ่ถามเรื่องของตระกูลโม่อีก
และตอนนี้คนที่ควบคุมอำนาจของตระกูลโม่ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นคนรักของแม่โม่หาน ซึ่งตอนที่พ่อของโม่หานยังมีชีวิตอยู่ คุณนายโม่ก็มีคนรักอยู่แล้ว
ตอนที่รู้ข่าวนี้ มู่เฉียวก็ตกตะลึง และยิ่งสงสารโม่หาน ฉับพลันเธอก็รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้ทุ่มเทขนาดนั้น แน่นอนว่าเขารู้ทุกอย่างหมดแล้ว รู้ว่าต้องจากไปจึงได้ทำทุกอย่างไว้มากมายไว้เพื่อโม่กรุ๊ป จากนั้นโม่กรุ๊ปก็ได้เปลี่ยนคนในองค์กรครั้งใหญ่ มู่หยิงในฐานะผู้ช่วยของโม่หาน เป็นธรรมดาที่จะถูกให้ออกเป็นคนแรก
เพราะตอนนั้นเป็นปัญหาใหญ่มาก ทำให้พ่อแม่ต้องตกงานมาหลายปี ในที่สุดมู่หลิงก็ได้รับการว่าจ้างจากบริษัท แต่ก็ถูกไล่ออกอีกครั้ง พวกเขาถูกบังคับให้อยู่บ้านของย่าที่ชนบท จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เรื่องราวค่อยๆเพลาลง พวกเขาจึงกลับเข้าเมือง
แต่ในบางครั้ง มู่เฉียวยังคงถูกนินทาอยู่
พ่อรับไม่ได้ที่เธอถูกปฏิบัติเช่นนี้ ไม่กี่วันก่อน บ้านที่เคยอยู่อาศัยมาหลายปีก็ถูกขายทิ้งไป
มู่หลิงได้งานในเมืองB ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์ ตามที่บอกมาก็ค่อนข้างดีเลยทีเดียว เลยเสนอให้พวกเขาไปที่นั่น เมือง B กับเมือง Aไม่ต่างกัน เจริญรุ่งเรืองใหญ่โตมาก
เพียงแค่นึกถึงพ่อแม่ที่เป็นเพราะเธอ
มองออกว่าเธอเศร้าใจ แม่จึงนำเธอมาไว้ในอ้อมกอด “เอาล่ะ อย่าร้องไห้เลย เราต้องไปกันแล้ว ไปยิ่งไกลยิ่งดี พอถึงที่ของน้องชายคุณแล้ว เราจะได้เริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง”
มู่เฉียวพยักหน้า ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ เธอคิดไม่ออกจริงๆว่าตนเองจะสามารถมีชีวิตที่ดีต่อไปได้อย่างไร
คำพูดกระทบกระเทียบที่ไม่น่าฟังของคนเหล่านั้น ความอาฆาตในใจ ทำให้ครึ่งปีมานี้ ฝันร้ายตลอด ยากที่จะนอนหลับได้ลง
น่าตลกที่ว่าตัวการที่ก่อหายนะในตอนแรกอย่างมู่หยิง ที่ได้ยกย่องว่า”จิตใจดีมีเมตตา” “นิสัยดี” แม้จะเทียบไม่ได้กับโม่หานในตอนนั้นเลย แต่เมื่อเทียบกับความจนตรอกของเธอแล้ว มันดีกว่าอย่างมาก
เธอถามแม่ ไม่ใช่เคยบอกว่า คนทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วหรอกเหรอ?แล้วทำไมเธอทำเรื่องดีๆ แต่กลับต้องตกอยู่สถานการณ์เช่นนี้ด้วยล่ะ
นั่งรถไฟไปเมืองB เสี่ยวโยวนั่งครั้งแรก ตื่นเต้นอย่างมาก ปากน้อยๆที่ยังพูดไม่คล่อง แต่ก็พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดหย่อน
นั่งไปเป็นเวลาเจ็ดชั่วโมงกว่า เมื่อถึงเมืองB มู่หลิงก็เข้ามารับพวกเขา เสื้อสูทรองเท้าหนัง ดูเป็นผู้ใหญ่อย่างมาก เมื่อเห็นเธอ ก็ยิ้มๆ รับมู่เสี่ยวโยวไปจากมือของเธอ ตระกูลโม่ไม่ยอมรับโม่เสี่ยวโยว ดังนั้น จึงตัดชื่อของพวกเขาออก ดังนั้น จึงตัดชื่อพวกเขาออก มู่เฉียวทำได้เพียงให้โม่เสี่ยวโยวใช้นามสกุลตามเธอ เปลี่ยนเป็นมู่เสี่ยวโยว
“คุณน้า” ขณะเดินทาง พ่อแม่พูดถึงมาตลอดทาง มีผลพวง ทำให้เอ่ยปากเรียก
มู่หลิงจูบลงบนใบหน้าของเธอ “เสี่ยวโยว ตอนเดินทางมาร้องไห้งอแงหรือเปล่า?”
เสี่ยวโยวส่ายหน้า
“พ่อ แม่ พี่ ไปกันเถอะ”
คนสามสี่คนเดินทางไปยังบ้านที่มู่หลิงเช่าอยู่ ที่ชานเมืองแห่งหนึ่ง บ้านสองชั้น มีสวนหย่อมเล็กๆอยู่ตรงกลาง
“พี่ คุณกับเสี่ยวโยว แล้วก็พ่อกับแม่พักที่ชั้นสองนะ ด้านหน้าห้องหนึ่งด้านหลังห้องหนึ่ง มีสองห้องพอดี”
“แล้วคุณล่ะ?”
“แล้วคุณล่ะ?”
พ่อแม่และมู่เฉียวเอ่ยปากพร้อมกัน
“ฉันนอนห้องรับแขก ฉันเป็นผู้ชาย นอนที่ไหนก็ได้”
มู่เฉียวเม้มปาก มองๆสถานที่ที่ยืนอยู่ บ้านนี้แบ่งหน้าหลังเป็นสองส่วน ตรงกลางมีบันไดเล็กๆ ด้านหลังเป็นห้องครัว ตรงกลางใต้บันได มีห้องน้ำเล็กๆห้องหนึ่ง ด้านหน้านี้ที่บอกว่าเป็นห้องรับแขก คาดว่าน่าจะมีพื้นที่ไม่ถึง10ตารางเมตร
มีโซฟาที่เรียบง่ายวางอยู่หนึ่งตัวแล้วก็ไม่มีพื้นที่พอสำหรับสิ่งอื่น
เห็นมู่เฉียวขมวดคิ้ว มู่หลังก็เดินเข้ามา ดึงโซฟาที่เรียบง่ายตัวนั้นมาด้านหน้า กลายเป็นเตียงใหญ่หนึ่งหลังขนาดประมาณ1.5เมตร
“เป็นอย่างไรบ้าง?ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ?”
มู่เฉียวเจ็บแปล๊บที่หัวใจ น้องชายคนนี้ เมื่อไรกันที่ต้องเจอเรื่องลำบากแบบนี้ ถึงแม้ตระกูลมู่จะไม่ได้ร่ำรวย แต่ตั้งแต่เกิดมา พ่อแม่ต่างก็เป็นคนมีงานทำ เมื่อเทียบกับเด็กในครอบครัวที่ไม่ร่ำรวย พวกเขาก็ถือว่าเป็นครอบครัวที่มีอันจะกิน มีกินมีใช้มาจนโต
“เอาล่ะ รีบเก็บของ พักผ่อนสักครู่หนึ่ง แล้วทำอาหารสักหน่อย เสี่ยวโยวนั่งรถไฟมาไม่ได้ทานอะไรเลย เดี๋ยวจะหิวเอาได้”
มู่เฉียวพยักหน้า “พ่อแม่ พวกคุณนั่งพัก แล้วดูเสี่ยวโยว ฉันกับมู่หลิงจะไปเก็บของชั้นบนหน่อย”
พูดจบ คนทั้งสองก็ยกกระเป๋าขึ้นไปชั้นบน
ถึงแม้ว่าบ้านจะเล็ก แต่ก็สะอาด มู่เฉียวยกสัมภาระของพ่อแม่มาถึงด้านหน้า ด้านหน้านี้มีระเบียงเล็กๆระเบียงหนึ่ง บางครั้งมีแสงอาทิตย์ส่องมาเล็กน้อย ค่อนข้างดีต่อสุขภาพของพ่อแม่
“พี่ เสี่ยวโยวยังเล็ก ไม่อย่างนั้น…….”
“ไม่เป็นไร ฉันพาเธอไปรับแสงแดดด้านล่างบ่อยๆก็เหมือนกันแหละ” พูดจบ ก็จัดเก็บข้าวของ แต่เห็นมู่หลิงมองเธออยู่ ไม่พูดจา
“ทำไมเหรอ?”
“คือฉันที่ไม่มีความสามารถ ถ้า…..”
มู่เฉียวปิดปากมู่หลิง ส่ายหน้า “คุณรู้ไหมที่คุณเป็นแบบนี้ พี่ต้องเจ็บปวดใจมากแค่ไหน?คือฉันที่ทำร้ายคุณ ทำร้ายพ่อแม่” น้ำตาที่อดกลั้นมาตลอดหนึ่งปี ในที่สุดก็ไหลออกมา หนึ่งปีนี้ ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องราวอะไรก็ตาม เธอจะบอกตัวเองเสมอว่าอย่าร้องไห้ อย่าแสดงความอ่อนแอให้คนเหล่านั้นเห็นเป็นตัวตลก
แต่เวลานี้ เธอร้องไห้ไม่หยุด
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอปรารถนา ล้วนเป็นเพียงความฝัน