มู่จื่อชวนตกตะลึง และมองไปทางมู่จื่อโหรวที่คำรามใส่เขาอยู่ตรงหน้าอย่างงุนงง แล้วพูดอย่างอ้ำๆอึ้งๆออกมาว่า “เจ้า……เจ้ากำลังพูดถึงอะไร?ข้าจะวางยาพิษท่านย่าได้อย่างไร?”
“เรื่องไร้สาระ!” มู่เซิ่งมองไปยังมู่จื่อโหรวด้วยสีหน้าที่โกรธเกรี้ยว
“ที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริงนะเจ้าคะ” มู่จื่อโหรวจับปกคอเสื้อของมู่จื่อชวนเอาไว้แน่น “เขาบอกกับข้าเอง เขาบอกว่าเขาจะปฏิบัติต่อข้าเหมือนเป็นน้องสาวตลอดไป และจะไม่ยอมให้ใครมารังแกข้า แม้แต่มู่อวิ๋นซีก็ไม่ได้ เขาบอกว่า เขาจะต้องให้บทเรียนมู่อวิ๋นซีอย่างแน่นอน และยังบอกให้ข้ารอชมการแสดงดีๆในวันนี้อีกด้วย”
“แต่ข้า……” นางค่อยๆกรอกสายตามองไปที่มู่จื่อชวน แล้วพูดว่า “ข้าก็ไม่เคยคิดเลยว่า บทเรียนที่เขาสอนให้มู่อวิ๋นซีจะเป็นการวางยาพิษองค์หญิง ท่านพี่ ทำไมท่านถึงได้โง่เขลาขนาดนี้ล่ะ?”
มู่จื่อชวนมองมู่จื่อโหรวที่ดวงตาปูดบวมและยังมีรอยนิ้วมือห้านิ้วบนแก้มที่บวมเป่งด้วยความตกใจ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือน้องสาวที่เขาปกป้องมานานกว่าสิบปี “เจ้า เจ้าพูดเยี่ยงนี้ได้อย่างไร? เจ้าพูดเยี่ยงนี้ จะให้ทุกคนคิดอย่างไร?”
ความสับสนวุ่นวายได้แวบผ่านเข้ามาในดวงตาของมู่จื่อโหรว แต่เมื่อแสงที่อยู่ตรงมุมตาของนางกระทบกับมู่อวิ๋นซีที่เซื่องซึมอยู่เข่า ความสับสนวุ่นวายก็กลายเป็นความแน่วแน่ในชั่วพริบตา
องค์หญิงใหญ่สิ้นพระชนม์แล้ว ถ้าหากเกิดเรื่องกับมู่จื่อชวนอีก เช่นนั้นมู่อวิ๋นซีก็จะไม่เหลือใครแล้วจริงๆ ถึงเวลานั้น นางอยากจะให้นางรอดนางก็รอด นางอยากจะให้นางตายนางก็ตาย อย่างมากก็แค่ รอให้นางทรมานมู่อวิ๋นซีจนพอแล้ว ค่อยปล่อยตัวมู่จื่อชวนออกมาก็เท่านั้นเอง
ด้วยเหตุนี้ นางจึงทำตามคำแนะนำของหลิ่วเย่แล้วพูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้นต่อไปว่า “ท่านพี่ ทั้งหมดเป็นเพราะข้ามันไม่ดีเอง ข้าไม่ควรพูดคำพูดที่เสียหายเกี่ยวกับมู่อวิ๋นซีให้คุณฟังเลย”
“ข้าไม่ควรบอกท่านว่านางรังแกข้า และไม่ควรบอกท่านว่านางวาดรูปของข้าให้เจ้าคนโง่นั่น ข้าไม่ควรบอกท่านว่านางปล่อยให้งูกัดข้า ข้าไม่ควรบอกท่านว่านางโกหกท่านย่า และแย่งชิงลานชิงจื่อของข้าไปแล้ว เป็นเพราะข้ามันไม่ดีเอง ทั้งหมดเป็นเพราะข้าไม่ดีเองเจ้าค่ะ”
“แต่ถึงแม้ว่าท่านอยากจะออกหน้าเพื่อข้าแค่ไหน ก็ไม่สามารถเอาความปลอดภัยของท่านย่ามาล้อเล่นได้นะ” นางกวาดสายตามองดูทุกคนด้วยสีหน้าท่าทางที่ซับซ้อน
“เดิมที ข้าไม่อยากจะพูดคำพูดเหล่านี้หรอกนะเจ้าคะ แต่ตอนนี้เกิดเรื่องกับองค์หญิงใหญ่แล้ว ต่อให้ข้าไม่พูด ศาลต้าหลี่ก็จะต้องตรวจสอบออกมาได้อย่างแน่นอน”
“ท่านพี่” นางจับมือของมู่จื่อชวนเอาไว้ แล้วค่อยๆคุกเข่าลง และพูดวิงวอนขอร้องว่า “สารภาพมาแล้วโทษจะได้กลายเป็นเบา ท่านยอมรับมาเถิดนะ ถึงเวลานั้นข้าจะไปขอความเมตตาแทนท่านเอง ไม่แน่ว่าท่านอาจจะไม่ต้องชดใช้ให้องค์หญิงใหญ่ด้วยชีวิตก็ได้ ท่านพี่ ความผิดพลาดนับพันนับหมื่นนี้ล้วนเป็นความผิดของข้าทั้งสิ้น แต่ตอนนี้ถ้าท่านไม่พูดออกมาอีก เกรงว่าจะต้องถูกเพิ่มโทษอีกขั้นหนึ่งนะเจ้าคะ!”
“จื่อชวน!”
หลิ่วเย่ก้าวมาข้างหน้า แล้วเช็ดดวงตาที่แดงก่ำและพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ากับจื่อโหรวมีความรู้สึกที่ดีต่อกันเสมอมา แต่……แต่เจ้าก็ตามใจนางมากเกินไปแล้ว เจ้าวางยาพิษย่าแท้ๆของตัวเองได้อย่างไรล่ะ?”
“ใช่แล้วจื่อชวน เจ้าทำให้ปู่ผิดหวังมากเกินไปแล้ว!” มู่เซิ่งถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ไม่…..ไม่ใช่ข้านะขอรับท่านปู่” มู่จื่อชวนดึงมือของตัวเองออกมาจากในมือของมู่จื่อโหรว แล้วหันไปมองมู่เซิ่ง “ท่านต้องเชื่อข้านะขอรับ ข้าจะทำเรื่องพรรค์นี้ออกมาได้อย่างไร?”
“ปู่ก็อยากจะเชื่อเจ้านะ แต่จินซิ่ง……” มู่เซิ่งมองไปที่จินซิ่ง แล้วพูดด้วยสีหน้าที่ดุร้ายว่า “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ถ้าเจ้าพูดโกหกแม้แต่คำเดียว เจ้าจะไม่รอด และคนในครอบครัวของเจ้าก็จะไม่มีใครรอดแม้แต่คนเดียวเช่นกัน มู่จื่อชวนเป็นคนวางยาพิษองค์หญิงใหญ่ใช่ไหม?”
จินซิ่งเหลือบมองมู่จื่อชวนปราดเดียว ยกมือขึ้นแล้วสาบานว่า
“ทุกคำที่ข้าน้อยพูดเป็นความจริง ถ้ามีคำหนึ่งคำใดที่เป็นเท็จ ก็ขอให้ข้าและคนในครอบครัวล้วนไม่ตายดี ยาพิษนั่น ท่านชายเป็นคนวางจริงๆ แต่ท่านชายกลับไม่เคยมีเจตนาที่จะประทุษร้ายองค์หญิงใหญ่เลย เขาก็แค่อยากจะลงโทษคุณหนูอวิ๋นซีเท่านั้น คาดว่าตัวเขาเองก็คงคิดไม่ถึงว่าเรื่องมันจะกลับกลายมาเป็นแบบนี้เช่นกันเจ้าค่ะ”
มู่เซิ่งกรอกสายตาขึ้นมาเหลือบมองมู่จื่อชวนอย่างลึกซึ้ง ส่ายศีรษะเบาๆและคุกเข่าลงหน้าพระศพขององค์หญิงใหญ่ แล้วน้ำตาร่วงพรูออกมา “พี่สะใภ้ เมื่อท่านไปสัมปรายภพแล้ว ท่านอย่าได้ถือโทษจื่อชวนเด็ดขาดนะ เขากตัญญูต่อท่านมาโดยตลอด เขาจะทำร้ายท่านได้อย่างไร? เขาไม่ได้ตั้งใจ นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น”
ปัง!
มู่เซิ่งกระแทกศีรษะให้องค์หญิงใหญ่อย่างแรงหนึ่งครั้ง
ปัง!
มู่จื่อชวนขาอ่อนจนล้มลงไปนั่งบนพื้น การกระทำนี้ของมู่เซิ่งคือการบอกกับทุกคนว่า เขาเชื่อคำพูดของจินซิ่งกับมู่จื่อโหรว และเชื่อว่าเขาปลงพระชนม์องค์หญิงใหญ่ไปแล้ว
เขากรอกตาอย่างช้าๆ มู่เซิ่งกระแทกศีรษะให้องค์หญิงใหญ่เสียงดังปังปังด้วยสีหน้าที่เศร้าอาดูรและเงียบขรึม หลิ่วเย่กำลังมองเขาอย่างซับซ้อน และก็เชื่ออย่างไม่ต้องสงสัยไปแล้วว่าเขาวางยาพิษปลงพระชนม์องค์หญิงใหญ่
แก้มของมู่จื่อโหรวบวมเป่งมาก เขามองความคิดของนางไม่ออก แต่กลับสามารถมองเห็นว่านางกำลังจ้องเขม็งมองมู่อวิ๋นซีที่กำลังลู่สายตาลงต่ำอย่างสุดชีวิต
หมอหลวงจ้าวกับฮูหยินฉินต่างก็ก้มหน้าก้มตาลง ไม่รู้ว่ากำลังรู้สึกเศร้าเสียใจและเจ็บปวดต่อการจากไปขององค์หญิงใหญ่ หรือว่ากำลังรู้สึกปลงอนิจจังและคาดไม่ถึงว่าเขาจะวางยาพิษสังหารย่าแท้ๆของตัวเอง
ภายในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความขมขื่นที่อธิบายไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่มีใครเชื่อว่าเขาบริสุทธิ์และไม่มีใครพูดอะไรเพื่อเขาเลยสักคน
ท่านย่า!
สายตาของเขาจับจ้องไปที่องค์หญิงใหญ่ที่ไม่เคลื่อนไหว ความเศร้าโศก ความน้อยใจ ความเจ็บปวดรวดร้าวและความจนใจได้คลุกเคล้าเข้าด้วยกัน แล้วหลอมละลายกลายเป็นกริชที่แหลมคมเล่มหนึ่ง และได้ทิ่มแทงหัวใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เขารู้สึกเศร้าโศกเสียใจจนหัวใจแทบจะสลายและสูญเสียความหวังไปจนหมดสิ้น
“ทุกท่าน!”
มู่เซิ่งลุกขึ้น แล้วมองไปทางฮูหยินฉินและคนอื่นๆในขณะที่บนหน้าผากที่มีเลือดไหลซึมออกมา และพูดว่า “พวกท่านก็ได้ทราบกันแล้วว่า ถึงแม้ว่าข้ามู่เซิ่งจะเรียกองค์หญิงใหญ่ว่าพี่สะใภ้ แต่ความจริงแล้วข้ากลับถูกนางเลี้ยงดูมาจนโตกับมือ ในหัวใจของข้า นางก็คือแม่ของข้า”
“ดังนั้น การตายของนางข้าไม่อาจไม่สนใจได้ แม้ว่าฆาตกรจะเป็นหลานชายของนาง และเป็นหลานชายของข้า ข้าก็ไม่สามารถปฏิบัติต่อเขาด้วยความเมตตาได้ แต่……”
เขาเหลือบมองมู่จื่อชวนด้วยความเศร้าโศกและเจ็บปวดใจ “ถึงอย่างไรเขาก็เป็นหลานชายขององค์หญิง ดังนั้น ถึงเวลานั้นข้าจะขอให้ทุกท่านช่วยเป็นพยานให้กับเขาด้วย ว่านี่เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น เขามิได้จงใจวางอุบายประทุษร้ายองค์หญิงเลย ข้า ขอร้องทุกท่านด้วย!”
มู่เซิ่งคุกเข่าลงให้ทุกคนด้วยสีหน้าท่าทางที่เศร้าโศกเสียใจและไม่มีทางเลือก
“ท่านรองมู่รีบลุกขึ้นเถิด” ฮูหยินลู่กวาดตามองดูคนไม่กี่คนนั้นแล้วเอ่ยปากพูดออกมา “คิดๆดูแล้วองค์หญิงเองก็คงไม่ยินยอมให้ท่านชายชดใช้ด้วยชีวิตหรอก ข้ารับปากท่านก็ได้”
มู่เซิ่งพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง และเหลือบมองมู่จื่อชวนอีกครั้ง แล้วพูดเสียงดังขึ้นมาโดยไม่หันหน้าไปมองว่า “ทหาร มัดมู่จื่อชวน แล้วส่งตัวไปที่ศาลต้าหลี่!”
“ข้าคอยดู ว่าใครจะกล้า?”
มู่อวิ๋นซีก้าวออกไปหนึ่งก้าวและสกัดกั้นอยู่ข้างหน้ามู่จื่อชวนเอาไว้
ในขณะนั้นเอง นางก็ได้ครุ่นคิดจนเข้าใจอย่างถี่ถ้วนแล้ว
การที่องค์หญิงใหญ่โดนวางยาพิษในวันนี้ มันไม่ใช่แค่เพื่อโยนความผิดใส่ร้ายนาง แต่เพื่อโยนความผิดให้มู่จื่อชวนตั้งแต่แรก
ในชาติก่อน สาเหตุที่มู่เซิ่งแบกรับข้อหาวางยาพิษองค์หญิงใหญ่ให้นาง นั่นก็เพราะว่าตอนที่นางออกมาจากคุกใต้ดิน มู่จื่อชวนก็ได้เสียชีวิตจากการป่วยแล้ว และพี่สาวคนโตที่นางไม่เคยพบหน้า ก็ไม่อยู่ในโลกนี้แล้วเช่นกัน นางจึงเป็นทายาทเพียงคนเดียวของครอบครัวลูกคนโต
สำหรับจุดประสงค์ที่มู่เซิ่งใส่ร้ายว่านางสมคบคิดกับมู่จื่อชวนก่อนหน้านี้ ไม่ใช่แค่เพื่อทำลายชื่อเสียงของนางเท่านั้น แต่เพื่อทำลายมู่จื่อชวนอีกด้วย
นางกล้าสรุปได้เลยว่า หลังจากที่เกิดเหตุก่อนหน้านี้ขึ้น มู่เซิ่งจะต้องบอกมู่จื่อชวนอย่างแน่นอนว่านางคือน้องสาวร่วมสายเลือดของเขา ดังนั้นจึงทำให้มู่จื่อชวนรู้สึกกลัดกลุ้มระทมทุกข์อยู่ในใจ และอาการเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆก็ได้คราชีวิตของเขาไปเสียแล้ว
ในชาตินี้ นางกับมู่จื่อชวนบริสุทธิ์ไร้ราคี และมีความสัมพันธ์กันกับองค์หญิงใหญ่ จึงทำให้แผนการของมู่เซิ่งยุ่งเหยิงวุ่นวายขึ้นมาในทันที ดังนั้น เขาจึงจำเป็นต้องตัดสินใจแก้ปัญหาที่ยุ่งเหยิงนี้อย่างรวดเร็วและเฉียบขาด และเตรียมที่จะกำจัดองค์หญิงใหญ่และมู่จื่อชวนในคราวเดียว
ถ้าหากพวกเขาทั้งสองคนตายไปแล้ว เด็กสาวตัวเล็กๆที่เพิ่งจะกลับมาอยู่ที่จวนตระกูลมู่อย่างนางก็จะไม่เป็นที่น่าหวาดหวั่นไปโดยปริยาย
แท้ที่จริงแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบ มู่เซิ่งไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตาเลย
“อวิ๋นซี?” มู่เซิ่งมองไปทางมู่อวิ๋นซีด้วยความตื่นตระหนกตกใจ “นี่เจ้ากำลังทำอะไร?”