ตูม! ตูมตูม!
หัวใจของมู่อวิ๋นซีเต้นระรัวเหมือนกับตีกลอง เพราะว่านางเต้นรำไม่เป็น
นางกลอกกลิ้งสายตาเบาๆ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณ แม้แต่ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ก็ยังถูกกั้นเอาไว้ด้วยม่านหิมะ จนมองไม่เห็นอย่างชัดเจน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฟิ่งเชียนเย่เลย
แต่ทว่า นางเชื่อใจเขา
นางพ่นลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ แล้วกางแขนออกทั้งสองข้าง และหลับตาลง เกล็ดหิมะลอยละลิ่วลงมาตกอยู่บนขนตายาวๆของนาง จึงทำให้นางรู้สึกเย็นเฉียบขึ้นมาเล็กน้อย
และในเวลานั้นเองก็มีพละกำลังที่ไม่มีรูปร่างมวลหนึ่งตกลงมาบนไหล่ซ้ายของนาง แล้วผลักนางจนโซซัดโซเซ
ก่อนที่เธอจะทันได้ตอบโต้อะไร มือใหญ่ๆที่มองไม่เห็นข้างนั้นก็ตกลงมาบนไหล่ขวาของนางอีกครั้ง แล้วผลักนางจนโซซัดโซเซอีกครั้ง
“เหอะ!”
ภายในห้องโถง มู่จื่อโหรวหัวเราะเยาะออกมาก แล้วพูดว่า “ถ้านี่นับว่าเป็นการเต้นรำ? เช่นนั้นคนขาพิการก็ต้องเก่งกาจที่สุดเป็นแน่”
นางกวาดสายตามองไปทางองค์หญิงใหญ่อย่างเหยียดหยาม แต่กลับเห็นนางลุกขึ้นมาในทันทีทันใด นางจึงหันหน้ากลับมามองภายในลานอย่างรวดเร็ว
ร่างของมู่อวิ๋นซีไม่โซเซอีกต่อไปแล้ว แต่กลับหมุนวนขึ้นมาท่ามกลางหิมะ นางได้เอนเอวที่ดูแข็งทื่อเล็กน้อย แต่ร่างกายดันหมุนวนไปมารอบๆบริเวณอย่างรวดเร็วเสียอย่างนั้น และชุดชุดจันทร์ลอยสีม่วงอมแดงก็ได้ปลิวไสวท่ามกลางสายลมและหิมะ ราวกับดอกเหมยในฤดูหนาวที่บานสะพรั่งท่ามกลางหิมะ
เกล็ดหิมะที่ปลิวว่อน เสียงกลองที่ดังตูมตูม เงาที่กระจัดกระจายไปเป็นแนวทแยง และกลิ่นหอมรวยรินล่องลอยมา
มู่อวิ๋นซีได้กระโดดขึ้นไปหมุนวนไปวนมาทั่วท้องฟ้าท่ามกลางหิมะ โดยปราศจากความอบอุ่นและความอ่อนโยนของฤดูใบไม้ผลิ มีเพียงดุเดือดรุนแรงและไม่ยอมศิโรราบของฤดูหนาวเท่านั้น
นางไม่หวาดหวั่นต่อพายุหิมะ และยืนตระหง่านอย่างทระนงองอาจ
ที่แท้ หญิงสาวผู้นี้ก็สามารถเต้นรำแบบนี้ได้เช่นกัน
ในขณะที่มู่จื่อชวนกำลังมองไปที่หญิงสาวที่เต้นรำอย่างคล่องแคล่วฉับไวอยู่ท่ามกลางหิมะด้วยความตกตะลึงอยู่นั้น ความรู้สึกวุ่นวายใจก็ค่อยๆมั่นคงขึ้นมา
มู่จื่อโหรวโอนเอนจะล้มมิล้มแหล่ ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ว่ามู่อวิ๋นซีจะเต้นรำได้จริงๆหรือนี่?
แล้วผึ้งล่ะ? ทำไมถึงไม่มีผึ้ง หรือว่าจะถูกไฟเผาจนตายไปหมดแล้ว?
มู่จื่อโหรวมองไปทางซ้ายและทางขวา ดวงตาที่บวมเป่งของนางก็เบิกกว้างในทันที และเมื่อเสียงกลองได้จบลง หมอกหิมะก็สลายไป และสุดท้ายก็มีเกล็ดหิมะหลากสีค่อยๆตกลงมาค้างอยู่บนผมและเสื้อผ้าของมู่อวิ๋นซี
“ผีเสื้อ!”
มีฮูหยินคนหนึ่งตะโกนออกมาด้วยความตกใจว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีผีเสื้อในเวลานี้ด้วย”
พอมู่อวิ๋นซีค่อยๆหมุนตัวกลับมา ก็ทำให้ทุกคนในห้องโถงตะโกนขึ้นมาว่า “ดอกเหมยรึ? เมื่อสักครู่นี้คุณหนูอวิ๋นซีไม่ได้ถือดอกเหมยเอาไว้ในมือเลยนะ นี่มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน?”
“ดี!” องค์หญิงใหญ่ปรบมือขึ้นมา
“คุณหนูอวิ๋นซีไม่เพียงแต่มีทักษะการเต้นรำที่โดดเด่นเท่านั้น แต่บุคลิกของนางก็ยังดูล้ำค่าอีกด้วย นี่จึงสามารถดึงดูดผีเสื้อให้บินมากราบกรานท่ามกลางหิมะได้” ฮูหยินลู่กล่าวยกย่องอย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียวเลยแม้แต่น้อย
“ใช่แล้ว ท่าร่ายรำนี้ของคุณหนูอวิ๋นซี ในใต้หล้าเกรงว่าจะไม่มีผู้ใดกล้าพูดว่าตนเองสามารถเต้นได้อีกแล้ว” ฮูหยินติงพูดคล้อยตาม
“องค์หญิงทรงโชคดียิ่งนักเพคะ!” ฮูหยินฉินกล่าวยกย่องอย่างใจจริง
หางคิ้วและหางตาขององค์หญิงใหญ่ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางรับดอกเหมยสีแดงที่มู่อวิ๋นซียื่นมาแล้วมอบให้แม่นมโจว พอจับมือเล็กๆที่เย็นยะเยือกของนาง นางก็พูดด้วยความไม่พอใจว่า “เจ้าเด็กคนนี้นี่ก็จริงๆเลยนะ อากาศข้างนอกหนาวเย็นขนาดนั้น รำแค่ในห้องโถงก็พอแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกเพคะ หม่อมฉันไม่หนาว” นางหันไปมองมู่จื่อโหรวที่กำลังตกตะลึงพรึงเพริด แล้วพูดว่า “จื่อโหรว เต้นรำน่ะ ข้าก็เต้นไปแล้ว เจ้ารีบไปหาหมอเถิด”
“คนโกหก! เจ้ามันคนโกหก! คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเต้นรำได้?”
มู่จื่อโหรวพึมพำกับตัวเอง นางแทบอยากจะพุ่งตัวเข้าไปกัดมู่อวิ๋นซีสักคำ
หลิ่วเย่กลัวว่ามู่จื่อโหรวจะหุนหันพลันแล่นอีก จึงจับข้อมือของนางเอาไว้แน่นอย่างสุดชีวิตไปพลาง และขยิบตาให้มู่เซิ่งไปพลาง
“พี่สะใภ้!”
มู่เซิ่งก็กลัวว่ามู่จื่อโหรวจะเป็นบ้าจนทำเรื่องโง่ๆอะไรขึ้นมาอีกเช่นกัน เขาจึงรีบก้าวไปข้างหน้าทันที แล้วทำความเคารพองค์หญิงใหญ่ “ฤกษ์งามยามดีมาถึงแล้ว ให้อวิ๋นซีได้ทำความเคารพบรรพบุรุษและกลับสู่ตระกูลเดิมเถิดพะย่ะค่ะ”
องค์หญิงใหญ่พยักหน้า ตบมือของมู่อวิ๋นซีเบาๆแล้วปล่อยมือของนาง หลังจากนั้นก็หันหลังกลับไปนั่งที่ที่นั่งของประธานในพิธีอีกครั้ง และมองไปที่ฮูหยินสามสี่ท่านที่อยู่ภายในห้องโถง แล้วพูดว่า “วันนี้ที่ข้าเชิญทุกท่านที่อยู่เบื้องหน้ามา ก็เพื่อจะให้มาเป็นพยาน นับจากวันนี้เป็นต้นไป มู่จื่อโหรวกับครอบครัวลูกคนโตตระกูลมู่ของข้าจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกันอีกมู่อวิ๋นซี จึงเป็นหลานสาวทางสายโลหิตของข้า และเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่แท้จริงของลูกชายข้า”
“องค์หญิงวางพระทัยเถิดเพคะ หม่อมฉันจะตั้งใจแน่วแน่ที่จะแจ้งเรื่องนี้ให้สาธารณชนได้รับทราบ และจะไม่ปล่อยให้คนอื่นเข้าใจคุณหนูอวิ๋นซีผิดอีกเป็นอันขาดเพคะ”
“ต้องขอรบกวนแล้ว!” องค์หญิงใหญ่มองไปทางมู่เซิ่งที่กำลังยืนถือป้ายวิญญาณของมู่เชียนอยู่ข้างๆนาง แล้วพูดว่า “เริ่มพิธีเถิด”
“ขอรับ พี่สะใภ้”
มู่เซิ่งจ้องมองมู่อวิ๋นซี แล้วพูดว่า “นี่คือป้ายวิญญาณของพี่ใหญ่ของข้า พ่อของเจ้า เจ้าแสดงความเคารพและยกน้ำชาให้เขากับองค์หญิงก่อน หลังจากนั้นค่อยตามข้าไปที่ห้องโถงบรรพบุรุษเพื่อจุดธูปเคารพพ่อกับแม่ของเจ้า”
ในเวลานั้นเองก็มีสาวใช้คนหนึ่งถือเบาะรองนั่งมาวางไว้ข้างหน้ามู่อวิ๋นซี จากนั้นนางก็คุกเข่าลงอย่างช้าๆ แล้วก้มศีรษะคำนับองค์หญิงใหญ่และป้ายวิญญาณของมู่เชียน
“ท่านชายเจ้าคะ!”
จินซิ่งกำลังถือถาดเคลือบสีแดงเดินมาหามู่จื่อชวน “คุณหนูใหญ่ไม่ได้กลับมา น้ำชาที่คุณหนูจะต้องถวายให้องค์หญิง ต้องรบกวนคุณชายรินให้เสียแล้วเจ้าค่ะ”
มู่จื่อชวนพยักหน้า แล้วยกกาน้ำชาขึ้นมา เทชาหลงไปในถ้วยหยกขาวหนึ่งถ้วย และยกไปให้มู่อวิ๋นซีที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ “อวิ๋นซี”
มู่อวิ๋นซีเงยหน้าขึ้นมา ในขณะที่กำลังจ้องมองถ้วยหยกขาวที่อยู่ในมือของมู่จื่อชวนอารมณ์ของนางก็ถาโถมขึ้นมาอย่างรุนแรง
ในชาติที่แล้ว มู่เซิ่งให้นางถวายน้ำชาให้องค์หญิงใหญ่โดยใช้ถ้วยหยกขาวนี้เช่นกัน
แต่ทว่าน้ำชาถ้วยนั้น กลับคร่าชีวิตพวกนางทั้งสองคน
“อวิ๋นซี?”
มู่อวิ๋นซีรู้สึกตัวกลับมา แล้วรับถ้วยหยกขาวด้วยมือทั้งสองข้าง
“มู่อวิ๋นซี!” มู่เซิ่งเอ่ยปากพูดขึ้นมา “นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือคุณหนูรองแห่งครอบครัวลูกคนโตแล้วนะ ต่อไปจะต้องกตัญญูต่อท่านย่า และผูกสมัครรักใคร่พี่สาวกับพี่ชายของเจ้า เข้าใจไหม?”
“เจ้าค่ะ!” มู่อวิ๋นซีตอบรับ และยกถ้วยหยกขาวขึ้นเหนือศีรษะด้วยมือทั้งสองแล้วยื่นให้องค์หญิงใหญ่ “ท่านย่า เชิญดื่มชาเจ้าค่ะ”
“ตกลง!” องค์หญิงใหญ่รับถ้วยหยกขาวมา ดื่มชาในถ้วยให้หมดในครั้งเดียว แล้วลุกขึ้นมาประคองมู่อวิ๋นซีขึ้น “เด็กดี นับจากนี้เป็นต้นไปเจ้า……เจ้า……”
ร่างกายขององค์หญิงใหญ่โอนเอนไปมา แล้วล้มลงบนเก้าอี้ จากนั้นเลือดสีดำก็ทะลักออกมาจากมุมปากของนาง
“พี่สะใภ้!” มู่เซิ่งตกใจเป็นอย่างมาก ป้ายวิญญาณที่อยู่ในมือก็ตกลงบนพื้นเสียงดังปัง “ทหาร หมอหลวง รีบไปเชิญหมอหลวงมาเร็วเข้า!”
“กรี๊ด องค์หญิง!”ฮูหยินที่อยู่ในห้องโถงกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว
“ท่านย่า!” มู่จื่อชวนร้องเรียกด้วยความตื่นตระหนกตกใจ แล้วพุ่งตัวมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว “ท่านย่า ท่านเป็นอะไรไปขอรับ?ท่านย่า?”
“ท่านชาย หลีกทางให้หมอหลวงจ้าวดูสักหน่อยเถิดขอรับ”
มู่เซิ่งลากมู่จื่อชวนออกไป แล้วยกตำแหน่งให้กับหมอหลวงจ้าวที่ถูกกั้นเอาไว้ให้เข้ามาแทน
หมอหลวงจ้าวยกมือขึ้นเพื่อตรวจดูชีพจรขององค์หญิงใหญ่ และเปิดเปลือกตาของนางดูแล้วดูอีก แล้วมองทุกคนที่อยู่ในห้องโถงด้วยสีหน้าที่หนักใจ และพูดว่า “องค์หญิงถูกวางยาพิษที่ลึกล้ำมาก เกรงว่า……จะไม่ทันกาลแล้ว”
“ถูกวางยาพิษรึ? ทำไมถึงถูกวางยาพิษได้ล่ะ?” มู่เซิ่งพดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก แล้วหันหลังมาทำความเคารพฮูหยินฉินและอีกสองสามคน “เพื่อหลีกเลี่ยงความระแวงสงสัย ขอรบกวนฮูหยินทุกท่านเป็นพยานด้วย และขอรบกวนหมอหลวงจ้าวช่วยตรวจดูสักหน่อยว่าแท้ที่จริงแล้วองค์หญิงถูกวางยาพิษได้อย่างไร?”
“ท่านรองมู่เข้มงวดมากขอรับ” หมอหลวงจ้าวรีบลงมือตรวจสอบขึ้นมาในทันที และไม่นานมากก็ได้ข้อสรุปแล้ว
“ยาพิษ ถูกวางเอาไว้ในถ้วยหยกขาวใบนี้ขอรับ แต่ถ้าถึงขั้นที่ชี้ชัดว่าเป็นพิษอะไร ยังต้องตรวจสอบกันต่อไปขอรับ”
“ถ้วยหยกขาวอย่างนั้นรึ?” มู่เซิ่งกวาดสายตามองดูทุกคนที่อยู่ในห้องโถง
จินซิ่งตัวสั่นไม่หยุด
“เจ้าเป็นคนวางยาพิษรึ?” สักพักหนึ่งมู่เซิ่งก็ได้พบความผิดปกติของจินซิ่ง
จินซิ่งขาอ่อนจึงคุกเข่าลงไป “ไม่ ไม่ใช่ข้าน้อยเจ้าค่ะ! ท่านรองมีทัศนะที่เฉียบแหลมยิ่งนัก”
“ถ้าไม่ใช่เจ้า แล้วเจ้าตัวสั่นทำไม? เจ้าก็รู้ว่าการวางแผนประทุษร้ายองค์หญิงใหญ่สมควรจะได้รับโทษอย่างไร? นั่นก็คือการประหารชีวิตเก้าชั่วโคตรเชียวนะ” มู่เซิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
จินซิ่งก้มศีรษะคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วพูดว่า “ไม่ใช่ข้าน้อยเจ้าค่ะ ไม่ใช่ข้าน้อยจริงๆเจ้าค่ะ”
“ถ้าไม่ใช่เจ้า แล้วจะเป็นใคร?” มู่เซิ่งค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ๆจินซิ่ง แล้วพูดว่า “พูดมา!”
จินซิ่งค่อยๆเงยหน้าขึ้น แล้วกวาดสายตาที่หวาดกลัวไปที่มู่อวิ๋นซีอย่างรวดเร็ว แล้วหลับตาลงอีกครั้ง