เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 24 รำเอวเขียว ผึ้ง

มู่จื่อโหรวเบ้ปาก และกำลังคิดจะพูดถากถางสักสองประโยค กลับเห็นถุงหอมดอกเบญจมาศที่ห้อยอยู่ที่เอวของมู่อวิ๋นซี คำพูดถากถางจึงได้แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มในทันที “ใช่แล้ว ช่างเป็นสาวงามที่ในหนึ่งศตวรรษยากที่จะพบพานและทำให้ผู้คนที่พบเห็นจดจำจนยากที่จะลืมเลือนเสียจริงๆ”
หลิ่วเย่เหลือบมองมู่จื่อโหรว แล้วทำความเคารพมู่อวิ๋นซี “ข้าต้องไปตรวจดูห้องโถงใหญ่ว่าเตรียมการเหมาะสมเรียบร้อยแล้วหรือไม่ คงไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนคุณหนูอวิ๋นซีแล้ว”
มู่จื่อโหรวทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา แล้วเดินตามหลิ่วเย่ไปด้วยท่าทางที่เย้อหยิ่ง
“ท่านดูนางสิเจ้าคะ ไม่มีท่าทางที่อยากจะอยู่ร่วมกันกับคุณหนูอย่างกลมเกลียวเลยสักนิด น่าผิดหวังนะเจ้าคะที่ท่านชายพูดแต่เรื่องดีๆให้นางตั้งมากมายขนาดนั้น” ไป่หลิงพูดด้วยความโมโห
มู่อวิ๋นซียิ้มอ่อน รอยยิ้มของนางเปรียบเสมือนแสงอาทิตย์ที่อยู่ในทุ่งหิมะ ผ่านไปชั่วครู่เดียวอุณหภูมิก็หายไปแล้ว “ไปกันเถิด ในเมื่อตรงนี้ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเรา เราก็ไปหาท่านชายกันเถิด”
ตอนที่มู่อวิ๋นซีกับมู่จื่อชวนมาถึงห้องโถงใหญ่ของลานหย่งเหอด้วยกัน ภายในห้องโถงก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างต่อเนื่อง
ทันทีที่สาวใช้รายงานออกไปสักพัก มู่จื่อโหรวที่สวมชุดชุดผ้าดิ้นแบบรัดเอวสีเขียวก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับอย่างสนิทใจ “จื่อชวนอวิ๋นซี ทำไมพวกท่านเพิ่งมาล่ะ? องค์หญิงรอตั้งนานแล้วนะ”
ในขณะที่กำลังพูดอยู่ นางก็ดึงแขนของมู่อวิ๋นซีเอาไว้อย่างใกล้ชิดสนิทสนม แต่สายตากลับมองไปที่มู่จื่อชวนที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดโดยลดสุ้มเสียงให้แผ่วเบาลงว่า “ท่านพี่ ทำไมท่านเพิ่งมาล่ะเจ้าคะ หากมาช้าอีกนิดเดียว ท่านก็อาจจะไม่ได้เห็นข้ารำเอวเขียวแล้วนะเจ้านะ”
รอยยิ้มที่อ่อนโยนได้ปรากฏขึ้นมาที่มุมปากของมู่จื่อชวน “ข้าไม่ดีเองที่มาช้าไป”
มู่จื่อโหรวถอนสายตากลับด้วยความพึงพอใจ แล้วชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย และฝีเท้าของมู่อวิ๋นซีที่ถูกดึงก็ชะลอลงเช่นกัน
“มู่อวิ๋นซี” นางลดสุ้มเสียงให้แผ่วเบาลงและแช่งชักหักกระดูกออกมาว่า “เจ้ามันช่างน่าไม่อายจริงๆ แย่งท่านย่าของข้าไปไม่พอ ยังคิดจะแย่งท่านพี่ของข้าไปอีกคน ข้า ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้เลยนะ ว่าไม่มีทางเสียหรอก! มู่จื่อชวนพูดเอาไว้แล้ว ว่าเขาจะปฏิบัติต่อข้าให้เป็นเหมือนน้องสาวและจะปกป้องดูแลข้าตลอดไป”
พูดจบ นางก็หันสายตาไปมององค์หญิงใหญ่แล้วหัวเราะเสียงดังขึ้นมาและพูดว่า “องค์หญิงเพคะ อวิ๋นซีบอกว่านางก็อยากจะรำถวายให้แก่พระองค์สักเพลงเพคะ เพื่อเป็นการโยนอิฐล่อหยก เช่นนั้นจื่อโหรวก็ขอแสดงฝีมือที่ยังต่ำต้อยอยู่มากก่อนนะเพคะ”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูด และปล่อยมือออกจากมู่อวิ๋นซี ก็มีเสียงขลุ่ยเนิบๆดังขึ้นมาอย่างคล้ายจะมีแต่กลับไม่มี
เมื่อมู่จื่อโหรวหมุนตัว ก็ดูประหนึ่งหน่ออ่อนของหญ้ากำหนึ่งที่กำลังโผล่ขึ้นมาจากใต้พื้นดินในยามเมื่ออากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว
พอเสียงขลุ่ยค่อยๆดังขึ้น เอวบางๆที่หมุนอย่างช้าๆของมู่จื่อโหรวก็ยิ่งหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ เร็วขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งนกขมิ้นตัวเล็กที่บินอยู่ท่วมกลางทุ่งหญ้าและดึงเอาต้นหลิวอ่อนออกมาอย่างบ้าคลั่งในฤดูใบไม้ผลิ แม้ว่าเอวของนางจะเพรียวบางแต่กลับอ่อนช้อยและยืดหยุ่นเหนือคำบรรยาย

“ลักษณะการรำของคุณหนูจื่อโหรว เกรงว่าทั่วทั้งเมืองหลวงจะไม่มีใครสามารถเทียบเทียมได้เลยนะเจ้าคะ” ฮูหยินลู่อดไม่ได้ที่จะกล่าวชมเชย
“อย่าว่าแต่ในเมืองหลวงเลย เกรงว่าจะเป็นเลิศในใต้หล้าล่ะ” ฮูหยินติงพูดคล้อยตาม
“องค์หญิงทรงมีวิธีอบรมสั่งสอนที่ดีต่างหากล่ะ!” ฮูหยินฉินทอดถอนใจ
เมื่อได้ยินผู้คนต่างกล่าวชื่นชมไม่หยุดปาก บนใบหน้าขององค์หญิงใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะสีหน้าที่ชื่นชมยินดีปรากฏขึ้นมาเช่นเดียวกัน
ความภาคภูมิใจก็ได้คืบคลานขึ้นไปอยู่บนหางตาและหางคิ้วของมู่จื่อโหรวเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่หางตาของนางเหลือบมองไปเห็นถุงหอมที่อยู่หว่างเอวของมู่อวิ๋นซี นางภูมิใจจนแทบหัวเราะออกมาดังๆเลยทีเดียว
หึ่งหึ่งหึ่ง!
ความภาคภูมิใจที่อยู่บนใบหน้าของมู่จื่อโหรวแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง ไม่รอให้นางพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด ใบหน้าของนางก็มีอาการปวดขึ้นมาอย่างกะทันหันแล้ว
“โอ๊ย!”
นางเอามือปิดแก้ม เอวที่เพรียวบางที่กำลังหมุนวนไปมาก็ถูกหน่วงเหนี่ยว และเสียการทรงตัวในทันที จนทำให้นางล้มลงกับพื้นเสียงดังตูม
หึ่งหึ่งหึ่ง!
ผึ้งนับไม่ถ้วนเป่าเสียงสัญญาณไปทั่วบริเวณและพุ่งเข้าไปหามู่จื่อโหรว
“กรี๊ด! ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย!”
ในขณะที่มู่จื่อโหรวกำลังกรีดร้องอยู่นั้นนางก็เอามือข้างหนึ่งปิดหน้าและมือข้างหนึ่งโบกไปมาอีกตามอำเภอใจ และเท้าคู่หนึ่งก็ทั้งถีบทั้งเตะ
หลิ่วเย่หน้าซีด แล้วตะโกนเรียกสาวใช้กับยายรับใช้ที่มัวตะลึงงันอยู่ว่า “ยังมัวทำอะไรกันอยู่? เร็วเข้า รีบไปช่วยคุณหนูสามเร็วเข้า! ถ้าคุณหนูสามเป็นอะไรไป พวกเจ้าก็อย่าคิดว่าจะมีใครได้อยู่ดีมีสุขเลย”
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

องค์หญิงใหญ่ลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนกตกใจ และพึมพำกับตัวเอง แล้วมองไปทางมู่อวิ๋นซีทันที “อวิ๋นซี เร็วเข้า มาอยู่ทางนี้กับย่า”
ทันทีที่มู่อวิ๋นซีเพิ่งจะยืนอยู่ข้างๆองค์หญิงใหญ่ ก็เห็นมู่จื่อชวนกระโจนเข้าไปหามู่จื่อโหรว แล้วเอามือข้างหนึ่งกดใบหน้าของนางเอาไว้ในอ้อมแขน และ โบกสะบัดแขนเสื้อที่กว้างใหญ่เพื่อไล่ผึ้งที่โอบล้อมนางออกไป
เฮ้อ!
มู่อวิ๋นซีถอนหายใจอย่างเงียบๆ สายตาของนางสับสนวุ่นวายเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็ยังร้องเตือนออกไปว่า “ไฟ! รีบใช้ไฟเร็ว!”
“ถูกต้องๆ ผึ้งกลัวไฟ” ฮูหยินฉินพูดคล้อยตาม
ในขณะนั้นเองก็มีสาวใช้กับยายรับใช้กำลังถือฟืนที่ติดไฟหรือใช้ที่คีบเหล็กหนีบถ่านไฟมาไล่ผึ้งออกไป อีกทั้งบ่าวรับใช้ผู้ชายก็นำคบไฟมาจากด้านนอกประตูด้วย
หลังจากที่เหตุการณ์วุ่นวายผ่านไปสักพักใหญ่ ในที่สุดห้องโถงที่วุ่นวายก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง มีเพียงมู่จื่อโหรว คนเดียวเท่านั้นที่ยังคงหลับตากรีดร้องวนไปวนมาอยู่ในห้องโถง
“พอแล้ว จื่อโหรว ไม่เป็นไรแล้วนะ” มู่จื่อชวนปลอบใจนางด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ “เจ้าลองลืมตาขึ้นมาดูสิ”
พอมู่จื่อโหรวลืมตาขึ้นมา ก็เห็นผึ้งอยู่บนพื้นเต็มไปหมด แล้วจึงกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง แต่ทันใดนั้น นางก็เอามือปิดปากเอาไว้ แล้วยกนิ้วมือชี้ไปทางมู่จื่อชวน “ตา……ตา……ตาของท่าน”
หนังตาข้างขวาของมู่จื่อชวนปูดบวมขึ้นมาจนเกือบจะปิดดวงตาทั้งดวง เหมือนกับถูกใครสักคนต่อยมาหนึ่งหมัดอย่างไรอย่างนั้น ส่วนบนแก้มซ้ายก็มีปุ่มนูนขึ้นมาปุ่มหนึ่งอีกด้วย
“ข้าไม่เป็นไร แค่โดนผึ้งต่อยครั้งเดียวเอง” มู่จื่อชวนยิ้มอย่างไม่ใส่ใจอะไร แล้วยกมือขึ้นมาหยิบผึ้งตัวหนึ่งที่ตายอยู่บนหัวของมู่จื่อโหรวด้วยการเคลื่อนไหวที่อ่อนโยน

“ข้า……แล้วข้าล่ะ?” ในเวลานั้นเองมู่จื่อโหรวจึงได้รู้สึกว่าหนังตาของตัวเองก็หนักอึ้งเป็นอย่างมากเช่นกัน ประหนึ่งเอาของหนาๆมาแปะทับเอาไว้อีกหนึ่งชั้น พอยกมือขึ้นมาสัมผัส ก็รู้สึกเจ็บปวดจนหายใจลำบากในทันที “แย่แล้ว หน้าของข้า……”
“ไม่เป็นไรนะ ผ่านไปไม่กี่วันก็หายดีแล้ว……”
“ไปให้พ้น!” มู่จื่อโหรวผลักมู่จื่อชวนจนล้มลง “ท่านไม่ได้บอกว่าจะปกป้องข้าเป็นอย่างดีหรอกรึ? ท่านปกป้องข้าแบบนี้เองรึ? เฝ้าดูข้าโดนผึ้งต่อยจนกลายเป็นคนโง่เซ่อซ่าแบบนี้น่ะรึ? เจ้าไม่สมควรที่จะเป็น…..”
“จื่อโหรว!”
หลิ่วเย่พูดขัดคำพูดของมู่จื่อโหรว แล้วรีบเดินเข้าไปจับไหล่ของมู่จื่อโหรวและหมุนตัวนางกลับมา “เจ้า เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นไร ท่านเห็นว่าข้าเป็นแบบนี้เหมือนว่าจะไม่เป็นไรอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?” มู่จื่อโหรวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แม้ว่านางจะมองไม่เห็นเลยนะของตัวเอง แต่นางกลับรู้ดีว่าหน้าตาของนางในตอนนี้จะต้องแย่กว่ามู่จื่อชวนเป็นร้อยเท่าพันเท่าอย่างแน่นอน!
แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะการให้ความกรุณาช่วยเหลือของหลิ่วเย่ทั้งสิ้น
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห นางจึงยกมือขึ้นไปทักทายใบหน้าของหลิ่วเย่
ทันใดนั้นสายตาของหลิ่วเย่ก็จมลึกลง และรีบคว้ามือของมู่จื่อโหรวเอาไว้ แล้วพูดว่า “ทำให้คุณหนูต้องเป็นห่วงแล้ว ข้าไม่เป็นไร”
นางกำข้อมือของมู่จื่อโหรวเอาไว้แน่น แล้วดึงนางเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง และกระซิบข้างๆหูของนางว่า
“เจ้าบ้าไปแล้วรึ? องค์หญิงใหญ่ และยังมีคนอีกมากมายกำลังเฝ้ามองอยู่ ถ้าเจ้าตบฝ่ามือนี้ลงไป พวกเราจะมองเจ้าอย่างไร? มู่จื่อโหรว เจ้าจำเอาไว้นะ ไม่ว่าตัวจะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม ข้าก็เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดเจ้า ถ้าเจ้าตบแม่ของตัวเอง ชื่อเสียงของเจ้าก็จะไม่เหลือเลยนะ”
“ชื่อเสียงรึ? ข้ายังมีชื่อเสียงด้วยรึ?” มู่จื่อโหรวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เป็นนาง ที่สาบานเป็นแม่นมั่นว่าวันนี้จะทำให้มู่อวิ๋นซีอับอายและจะทำให้นางโดนผึ้งต่อยจนกลายเป็นคนโง่ให้ได้ แต่บัดนี้ คนที่ถูกผึ้งต่อย จนกลายเป็นคนโง่กลับเป็นนางเสียเอง!
คนโกหก! คนขี้โกหก!
ผ่านไปสักพักใหญ่ มู่จื่อโหรวก็ยังสลัดตัวออกจากหลิ่วเย่ไม่ได้ นางจึงถือโอกาสเอียงศีรษะไปกัดที่ไหล่ของหลิ่วเย่อย่างแรงหนึ่งทีให้รู้แล้วรู้รอดเสียเลย จากนั้นปากและจมูกของนางก็เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดในทันที
ร่างกายของหลิ่วเย่สั่นเทาด้วยความเจ็บปวด แต่กลับไม่กล้าที่จะแสดงอะไรออกมาทางใบหน้าเลยแม้แต่น้อย และแม้แต่เสียงพูดก็ไม่มีพิรุธอะไรเลยเช่นกัน “อย่ากลัวไปเลย คุณหนูไม่ต้องกลัวนะ ทุกอย่างมันผ่านพ้นไปแล้ว”
หางตาของนางกวาดสายตามองไปทางถุงหอมดอกเบญจมาศที่มู่อวิ๋นซีกำลังแขวนเอาไว้ที่เอว ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ คงไม่ใช่ว่าถุงหอมของนางกับมู่จื่อโหรวได้สลับกันแล้วหรอกนะ?

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset