บทที่ 174 สอนด้วยตนเองอีกครั้ง
หลิงตู้ฉิงซึ่งตอนนี้ผ่านประสบการณ์มีภรรยา 3 คนแล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องให้เหลียงเฟ่ยเอ๋อสอนเรื่องอย่างว่าอีกต่อไป
ที่จริงแล้วเมื่อเขาเข้าใจเรื่องอะไร เขามักจะทำได้ดีกว่าคนส่วนใหญ่เสมอ
หลังจากเปลี่ยนสถานะเหลียงเฟ่ยเอ๋อให้เป็นผู้หญิงของตัวเองได้สำเร็จ วันรุ่งขึ้นเหลียงเฟ่ยเอ๋อก็ออดอ้อนหลิงตู้ฉิงทันทีโดยขอให้เขาชี้แนะการบ่มเพาะของนาง
“ข้าจะถ่ายทอดเทคนิคการบ่มเพาะกายาปฐพีให้เจ้า” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “แต่ก่อนที่เจ้าจะมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะปกป้องตัวเองได้ อย่าอยู่ห่างจากข้า ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจถูกคนลักพาตัวไปได้ง่าย ๆ”
เหลียงเฟ่ยเอ๋อยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องห่วงหรอกสามี ข้าจะอยู่กับท่านทุกวันไม่ห่างไปไหนแน่นอน!”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ถึงต่อให้เจ้าจะอยู่ข้างกายข้าทุกวัน แต่เจ้าก็ต้องฝึกฝนเทคนิคการบ่มเพาะกายาปฐพีร่วมกับกายาแก่นแท้ปฐพีของเจ้าเป็นประจำ หากเจ้าตั้งใจฝึกฝนมันอย่างหนัก ไม่เพียงแต่มันจะทำให้รากฐานการบ่มเพาะของเจ้าแข็งแกร่งมากขึ้นแล้วมันจะทำให้เจ้าสามารถบ่มเพาะไปได้ถึงขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 12 ได้โดยไม่เผชิญกับอุปสรรคใด ๆ เลย”
“แต่จริง ๆ แล้วข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถตั้งใจฝึกฝนจนไปถึงขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 13 ได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าอาจจะถูกทิ้งห่างจากคนอื่น ๆ และโดยเฉพาะถ้าหากเจ้าต้องการที่จะติดตามข้าไปทุกที่ในอนาคตเจ้าควรพยายามอย่างเต็มที่”
เหลียงเฟ่ยเอ๋อพยักหน้าอย่างจริงจังและพูดว่า “ข้าจะไม่ทำให้สามีผิดหวังแน่นอน ข้าจะฝึกฝนจนถึงขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 13 ”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “เอาล่ะ พวกเรากำลังจะไปที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์! เพื่อรอเจ้า ข้าได้เลื่อนการบรรยายไปกว่าครึ่งเดือนแล้ว นักศึกษาของข้าตอนนี้เหลือเวลาเพียงไม่ถึง 1 เดือนในการทำความเข้าใจบทเรียนและฝึกฝน สำหรับพวกเขานี่เป็นเรื่องเร่งด่วนยิ่งกว่า”
เหลียงเฟ่ยเอ๋อเดินออกจากห้องโดยเกาะแขนหลิงตู้ฉิงไว้ เมื่อนางเห็นจ้าวเหมิงลู่ นางร้องเรียกจ้าวเหมิงลู่ว่าพี่สาวด้วยความรักใคร่
สำหรับมี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ย แม้ว่าเหลียงเฟ่ยเอ๋อจะมีสถานะจะเป็นองค์หญิง แต่เนื่องจากอายุน้อยกว่าและเป็นผู้เข้ามาที่คฤหาสน์ที่หลัง นางจึงให้เกียรติมี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยโดยการเรียกคำแทนตัวพวกนางว่าพี่สาวเช่นกัน
เมื่อทักทายกันจนเสร็จ ทั้งครอบครัวขึ้นรถม้าและรีบไปที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์ทันที
วันนี้มีผู้คนจำนวนมากอยู่ในลานบรรยายของศาลาศักดิ์สิทธิ์ไม่เพียงแต่อาจารย์เกือบทั้งหมดของสถาบันจะมาเท่านั้น แม้แต่หลิงฉุยฟงและคนอื่น ๆ ที่อยู่ในคฤหาสน์สราญรมย์ก็มาด้วย
ส่วนบรรดาทหาร 750 คนเหล่านั้น หากเขาปรากฎตัวให้ผู้คนภายนอกเห็นในตอนนี้มันจะดูโดดเด่นเกินไป หลิงตู้ฉิงจึงทำได้เพียงแค่สั่งให้พวกเขาอยู่และปกป้องคฤหาสน์สราญรมย์
สำหรับหลิงเจิ้งสงและมี่ตั้วตั้ว นั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึงพวกเขาแม้แต่น้อย พวกเขามาถึงก่อนเวลาเสียอีก
เมื่อข่าวของหลิงตู้ฉิงที่พาบรรดาทุกคนที่อยู่ในคฤหาสน์สราญรมย์ไปยังศาลาศักดิ์สิทธิ์ แทบทั้งหมด เหล่ากลุ่มคนที่ช่างสอดรู้สอดเห็นบางคนก็เริ่มอดใจไม่ไหว จนมีผู้ลองของคือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราลึกลับผู้หนึ่งที่ปกปิดใบหน้าของตนเองอย่างมิดชิดได้ลอบเข้าไปใกล้คฤหาสน์สราญรมย์อย่างเงียบ ๆ
เนื่องจากตอนนี้คฤหาสน์สราญรมย์กลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม หลาย ๆ คนจึงอยากรู้ว่าอันที่จริงภายในคฤหาสน์ต้องห้ามแห่งนี้นั้นมีความลับอะไรซ่อนไว้อยู่บ้างกันแน่ และตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดในคฤหาสน์สราญรมย์ได้จากไปแล้วจึงเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการค้นหาความลับ
เมื่อผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดารามองลงมาจากท้องฟ้าและพบว่าเขามองไม่เห็นทัศนียภาพภายในคฤหาสน์เลย สิ่งที่เขาเห็นจะมีเพียงหมอกมายาที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณคฤหาสน์ ดังนั้นเขาจึงค่อย ๆ ลดระดับความสูงลงมาจนถึงระดับความสูงเหนือพื้นราว 20 เมตร ซึ่งอยู่ในอาณาเขตของหมอกมายานั้นพอดี ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็แข็งเกร็งขึ้นและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป
หากคนนอกมาเห็นภาพของเขาในตอนนี้นั้นก็เหมือนกับว่าเขาเป็นเหมือนแมลงตัวเล็ก ๆ ที่ติดอยู่บนใยแมงมุมที่รอการถูกเขมือบ
บรรดาผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ที่ดูสถานการณ์อยู่รอบนอกในระยะไกล เมื่อพวกเขาได้เห็นว่าจู่ ๆ ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราผู้นั้นได้หายไปหลังจากเข้าไปในหมอกมายาที่ลอยอยู่เหนือคฤหาสน์สราญรมย์โดยไร้สุ้มเสียงและไม่กลับออกมาอีก พวกเขาจึงตระหนักได้ทันทีว่าต่อให้หลิงตู้ฉิงจะไม่อยู่ที่คฤหาสน์ แต่พื้นที่นี้ก็ยังเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่พวกเขาไม่สามารถย่างกรายเข้าไปได้อยู่วันยังค่ำถ้าหากไม่ได้รับการอนุญาตจากหลิงตู้ฉิง!
ในเวลานี้ภายในศาลาศักดิ์สิทธิ์ หลิงตู้ฉิงเริ่มชั้นเรียนของเขา “เกือบทุกคนที่นี่ได้เริ่มต้นเส้นทางแห่งการบ่มเพาะไปแล้ว ซึ่งมันคือจุดเริ่มต้นของการตระหนักรู้”
หลิงตู้ฉิงพูดช้า ๆ ว่า “เส้นทางการบ่มเพาะของเรานั้นจะเป็นตัวกำหนดว่าเราควรจะทำอะไรต่อในการบ่มเพาะไปยังเส้นทางของเรา แต่หลังจากที่เรารู้แล้วว่าควรจะทำอะไรต่อ เราจะเผชิญกับคำถามสำคัญอีกคำถามหนึ่ง คือเราควรจะเดินตามเส้นทางการบ่มเพาะนั้นอย่างไร ซึ่งคำตอบของคำถามนี้นั้น คือสิ่งที่เรียกว่าการบรรลุไปให้ถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘เจตจำนง’ ”
“ ‘เจตจำนง’ คือแก่นแท้หลักที่เราต้องไปถึงในเส้นทางการบ่มเพาะทุก ๆ แขนงของการบ่มเพาะ ยกตัวอย่างเช่น ดาบมีเจตนงแห่งดาบ กำปั้นมีเจตจำนงของหมัด…”
เช่นเดียวกับครั้งที่แล้วแม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะพูดช้ามาก แต่ผู้คนด้านล่างก็เริ่มปิดตา
พวกเขาเริ่มดื่มด่ำกับเนื้อหาในการบรรยายของหลิงตู้ฉิง พวกเขาจมเข้าไปในโลกแห่งเส้นทางการบ่มเพาะของตนเองและเริ่มเข้าสู่สภาวะหยั่งรู้
ครั้งนี้หลิงตู้ฉิงพูดมากขึ้นและนานขึ้น เขาพูดนานกว่าครึ่งชั่วยามก่อนที่จะหยุด
เมื่อจบการบรรยาย หลิงตู้ฉิงนั่งลงและมองดูบรรดาผู้คนที่อยู่ในลานบรรยายอย่างเงียบ ๆ คอยดูปฏิกิริยาของพวกเขา
ไม่นานนัก นักศึกษา 2-3 คนก็ลืมตาขึ้นมาก่อน หลังจากที่ลืมตาพวกเขายังคงนั่งนิ่งและเริ่มกระบวนการทำจิตให้ว่างเปล่าราวกับว่าพวกเขากำลังเหม่อลอย
หลิงตู้ฉิงโบกมือให้หลิงจู้ในมือของเขาแยกทุกคนที่นั่งเหม่อออกจากคนอื่นเพื่อไม่ให้ใครรบกวน
ผ่านไปสักพัก บรรดาอาจารย์หลายคนที่อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณได้ลืมตาขึ้นเช่นกัน หลังจากพวกเขาตื่น พวกเขาได้ทำความเคารพหลิงตู้ฉิงและจากไปทันที พวกเขาต้องกลับไปจัดระเบียบความเข้าใจของตัวเองตามลำพัง ไม่นานต่อมาอาจารย์ในขอบเขตรวมแสงดาราก็ตื่นขึ้นมาและโค้งคำนับให้หลิงตู้ฉิงก่อนจะจากไป
หลังจากนั้นชายชรา 2-3 คนจากสถาบันการศึกษาอื่นก็พยักหน้าให้หลิงตู้ฉิงแล้วจากไปเช่นกัน พวกเขารู้ว่าหลิงตู้ฉิงไม่สนใจพิธีรีตองใด ๆ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่พวกเขาจะต้องทำเรื่องไร้สาระเหล่านั้น
ตอนนี้จึงเหลือเพียงคนใกล้ชิดของหลิงตู้ฉิงเท่านั้นที่ยังคงนั่งอยู่และทำความเข้าใจบทเรียนอย่างเงียบ ๆ
หลังจากที่พวกเขาลืมตาขึ้น พวกเขาก็เข้าสู่สภาวะนั่งเหม่อลอยเช่นกัน
แน่นอนว่ายังมีคนที่ยังไม่ลืมตา เช่นลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิงอีก 2-3 คน โม่หยูถังและเสี่ยวเยว่เฟิง
ครู่ต่อมาโม่หยูถังก็ลืมตาขึ้นและพูดกับหลิงตู้ฉิงด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่าน ข้าอยากเก็บตัวบ่มเพาะสัก 2 วันครับ”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพยักหน้า จากนั้นโม่หยูถังก็รีบบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้าเสี่ยวเยว่เฟิงก็ตื่นขึ้น นางกล่าวขอกับหลิงตู้ฉิงว่าต้องการแยกไปเก็บตัวบ่มเพาะสัก 2-3 วันเช่นกัน ซึ่งหลิงตู้ฉิงก็เห็นด้วย
นี่เป็นเพราะเขาแน่ใจว่าทั้งสองจะต้องรู้แจ้งอะไรบางอย่างและจำเป็นต้องทดสอบการรู้แจ้งนั้นออกมา แต่เนื่องจากพวกเขาทั้งสองเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภา การทดสอบที่พวกเขาจำเป็นต้องสำแดงมันจะรุนแรงและอันตรายเกินไปหากจะทำในเขตเมืองซึ่งมีผู้คนมากมาย
ไม่นานหลังจากโม่หยูถังและเสี่ยวเยว่เฟิงจากไป เด็ก ๆ ที่เหลือก็ตื่นขึ้น แต่เมื่อพวกเขาตื่น พวกเขาก็ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเริ่มฝึกตามที่ตัวเองเคยฝึกต่อไป
หลิงตู้ฉิงยิ้มและมองไปที่คนอื่น ๆ ที่ยังนั่งเหม่อลอยพยายามเข้าใจบทเรียน ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงดังสนั่น เขาโบกหลิงจู้อย่างเร่งรีบและแยกมี่ไลออกมา
มีใครบางคนถูกรบกวนด้วยเสียงคำรามดังสนั่นนี้
โชคดีที่หลิงตู้ฉิงทำหน้าที่ได้ทันเวลา ดังนั้นผลที่ตามมาจึงไม่ร้ายแรงอะไร
หลังจากมองไปรอบ ๆ เขาก็เดินไปที่ด้านข้างของมี่ไลและรู้สึกได้ว่ามีลมพัดอ่อน ๆ และสายฝนตกลงมา
ไม่นานมี่ไลก็ตื่นขึ้น เมื่อเห็นหลิงตู้ฉิงยืนอยู่ตรงหน้า นางก็กระโดดขึ้นด้วยความตื่นเต้น นางกอดหลิงตู้ฉิงและตะโกนอย่างมีความสุข “นายท่าน ข้าเพิ่งบัญญัติท่าไม้ตายของข้าได้ 2 แบบแล้ว!”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ดีมาก! ข้าเห็นแล้ว ด้วยท่าไม้ตายทั้งสองนี้ ความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้หากเผชิญกับผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดที่อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณ เจ้าจะสามารถเอาชนะพวกเขาได้โดยไม่ยากเย็นอะไร และในเมื่อเจ้าฉลาดเช่นนี้ต่อไปข้าจะสอนหนึ่งในเคล็ดจตุฤดูถัดไปให้กับเจ้า เคล็ดวิชานี้เรียกว่า ‘วิชาเกล็ดน้ำค้างสารทฤดู’ ”
“ขอบคุณนายท่าน!” มี่ไลพูดอย่างมีความสุข