บทที่ 161
ลูกเขยสองคน
“ขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อวานด้วยนะ!” เขาเป็นผู้ชาย เรื่องแบบนี้เขาทนได้! อีกอย่างมู่หรงเสวี่ยก็กำลังมองอยู่ด้วย
“ฮึ!” โม่อ้ายลี่ยังไม่หายโกรธเขา ท่าทางของเมื่อวานกับวันนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
มู่หรงเสวี่ยมองคนทั้งสองอย่างปวดหัว เดิมทีเธออยากที่จะทำให้สองคนนี้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแต่ไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ “อ้ายลี่ พี่ชูก็ขอโทษแล้ว ยกโทษให้เขาเถอะนะ…ฉันคิดว่าเขาไม่ได้ตั้งใจหรอก…”
“เห็นแก่หน้าของเสี่ยวเสวี่ย ฉันจะไม่ถือสาเรื่องนายแต่ก็ยังเกลียดนายอยู่ เรื่องนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง!” นี่เป็นครั้งแรกที่เธอถูกคนโง่แบบนี้ดูถูก
ชูอี้เสิ่นสีหน้าเคร่งขรึม เขาก็ไม่ได้อยากให้เธอมาชอบเหมือนกัน!!! แต่ก้าวแรกที่จะเข้าไปอยู่ในวงล้อมของเพื่อน เสี่ยวเสวี่ยก็สูญเปล่าไปแล้ว เขาไม่มีทางเลือกนอกจากยิ้ม “เป็นความผิดฉันเอง…”
“ได้เวลาที่เราต้องไปสนามบินแล้วนะ เดี๋ยวจะสายนะ…”
โม่อ้ายลี่ดึงแขนเสื้อมู่หรงเสวี่ยแล้วพูดออกมา “เสี่ยวเสวี่ยเราจะกลับบ้านกัน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย?”
มู่หรงกำลังที่จะตอบ ชูอี้เสิ่นก็พูดออกมาก่อน “ฉันเป็นแฟนของเสี่ยวเสวี่ย เราจะกลับไปเจอคุณลุงกับคุณป้าด้วยกัน!”
ทันทีที่โม่อ้ายลี่หยิบแอปเปิ้ลขึ้นมากัด เธอก็ต้องตกใจกับคำตอบ แอปเปิ้ลหล่นลงพื้น สักพักเธอก็เบิกตากว้างและเขย่าหู “นี่ฉันได้ยินเรื่องโกหกหรือฝันไปหรือเปล่าเนี่ย?”
มู่หรงเสวี่ยไม่มีทางเลือกนอกจากยิ้ม “พี่ชู…” เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทำเป็นแกล้งเป็นเพื่อนกัน
ชูอี้เสิ่นหัวเราะออกมาตรงๆ “มีอะไรเหรอ ฉันกำลังพูดความจริงนิ…”
โม่อ้ายลี่มองไปที่คิ้วของคนทั้งสองแล้วทันใดนั้นก็สะดุ้งขึ้นมา จับที่ไหล่ของมู่หรงเสวี่ยด้วยมือทั้งสองข้างและเขย่าอย่างสิ้นหวัง “เสี่ยวเสวี่ย นี่เธอสมองกระทบกระเทือนหรือไง?!! ทำไมถึงไปคบกับผู้ชายแบบนี้ได้?!! ฉันต้องกลับไปเจอพ่อแม่เธอซะแล้ว”
มู่หรงเสวี่ยถูกเขย่าจนเวียนหัว ใครก็ช่วยหยุดเด็กสาวคนนี้ที
ชูอี้เสิ่นยื่นมือออกไปดึงโม่อ้ายลี่ แล้วดึงมู่หรงเสวี่ยเข้ามาในอ้อมแขนเขา
เพียงแค่พริบตามู่หรงเสวี่ยก็หายไปจากมือทั้งสองข้าง หลังจากที่ได้เห็นว่าเป็นฝีมือของชูอี้เสิ่น เธอก็ยิ่งโกรธขึ้นไปอีก “นายจะทำอะไร?!!”
มู่หรงเสวี่ยกะพริบตา พยายามที่จะขัดขืนอยู่สักพักแต่ก็ดิ้นไม่หลุด
“ไม่เห็นหรือไงว่าเขย่าจนมู่หรงเสวี่ยเวียนหัวแล้วน่ะ?! เมื่อวานเธอเพิ่งได้รับบาดเจ็บมานะ แล้วก็ยังไม่หายดีด้วย แค่ยืนเฉยๆแธอก็ปวดหัวแล้ว…” ชูอี้เสิ่นโกรธ
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเธอแค่ล้อเล่น แต่เขาก็รู้สึกเครียดเพราะสีหน้าที่ซีดเผือดของเสี่ยวเสวี่ย อีกอย่างเมื่อวานเธอก็เพิ่งได้รับบาดเจ็บมาแม้แต่แค่ยืนเฉยๆเธอยังตัวสั่นเลย
“เสี่ยวเสวี่ย เธอบาดเจ็บเหรอ ทำไมเธอไม่บอกฉันล่ะ?” โม่อ้ายลี่รีบเดินเข้ามาทันทีและแตะที่มู่หรงเสวี่ย
อะไรกันเนี่ย?! มู่หรงเสวี่ยพยายามที่จะดิ้นออกจากแขนของชูอี้เสิ่นและก็หยุดมือของโม่อ้ายลี่ พูดออกมาเสียงเบา “ไม่เป็นไร โอเค ไม่ต้องห่วงนะ…”
“เมื่อกี้ไม่ได้ทำให้เธอเจ็บใช่ไหม?! ฉันขอโทษนะ ฉันไม่รู้เลย…” โม่อ้ายลี่พูดอย่างรู้สึกผิด
มู่หรงเสวี่ยหยิกหน้าเธอและพูดออกมา “ไม่ต้องห่วงนะ ไม่เป็นไรแล้วจริงๆ และความสัมพันธ์ของฉันกับพี่ชูก็ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดด้วย…”
“มู่หรงเสวี่ย ได้เวลาที่เราจะไปกันแล้วนะ จะไม่ทันแล้ว!” ทันใดนั้นชูอี้เสิ่นก็เปิดปากเพื่อหยุดคำอธิบายของมู่หรงเสวี่ยทันที
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่นาฬิกาข้อมือและมันก็เกือบจะถึงเวลาแล้วจริงๆด้วย “ไปกันเถอะ” เธอดึงมือข้างหนึ่งของโม่อ้ายลี่และเดินออกไปด้วยกัน ชูอี้เสิ่นเองก็เดินตามไปด้วยเช่นกัน
ในที่สุดเธอก็มาถึงจังหวัด A ที่ที่จากไปนาน มู่หรงเสวี่ยรู้สึกถึงอากาศที่แสนสบายที่เธอคิดถึง ไม่ว่าเธอจะไปอยู่ที่ไหนมาก็มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่เป็นบ้าน เธอรู้สึกสบายใจอย่างมาก ราวกับว่าร่างกายปลอดโปร่งและปัญหาทั้งหมดก็อยู่ห่างไกลมาก
โม่อ้ายลี่อยากที่จะกลับไปที่ตระกูลโม่ในจังหวัด A ดังนั้นเธอจึงนัดกับมู่หรงเสวี่ยให้ไปเจอคุณปู่เธอในอีกสองวัน เธอต้องกลับไปที่จังหวัด Aเพื่อเจอกับคุณปู่ของเธอ ที่เมืองหลวงเธอต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหามากมาย ถึงแม้เธอจะบอกคุณปู่ว่าเธอไม่กลัวเรื่องปัญหา คุณปู่ก็มักจะพูดเสมอว่าเธอยังเด็กและจะไม่ถูกเปิดเผยจนกว่าเธอจะโต
ทั้งมู่หรงเสวี่ยและชูอี้เสิ่นไม่ได้เอากระเป๋าเดินทางมามากนัก แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกเหนื่อยหลังจากที่บินมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะกลับไปที่อพาร์ทเม้นท์ของพวกเขาก่อนแล้วค่อยไปที่บ้านของตระกูลมู่หรง มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะกลับบ้านเลยแต่พี่ชูบอกว่ามันดูไม่ดีที่จะไปเจอพ่อแม่เธอด้วยท่าทางเหนื่อยแบบนี้
วันต่อมาหลังจากที่ได้นอนหลับพักผ่อนแล้ว อากาศก็ดีและมู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกอารมณ์ดีจึงลุกมาทำอาหารเช้า
“ก๊อกๆ!” มีเสียงเคาะที่ประตู
มู่หรงเสวี่ยเดินไปเปิดประตูและก็ต้องตัวแข็งนิ่ง
ชูอี้เสิ่นดูเหมือนจะแตกต่างไปจากทุกๆวัน ใบหน้าของเขายังคงเหมือนเดิมแต่เสื้อผ้าของเขาดูประณีตอย่างมาก แม้แต่ทรงผมก็ยังถูกแต่งมาอย่างดีมากๆ
“เป็นอะไรเหรอ? มัวยืนนิ่งทำอะไรล่ะ?” ชูอี้เสิ่นหยิกไปที่หน้าเธอและรู้สึกมีความสุขเล็กน้อย เธออึ้งไปเลย ภาพลักษณ์ของเขาเข้าไปอยู่ในสายตาของเธอแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกขอบคุณพ่อแม่ของเธอที่ทำให้เขาได้แต่งตัวดีๆ
“พี่ชู ทำไมพี่ช่าง…”
ชูอี้เสิ่นหมุนรอบตัวอยู่ตรงหน้ามู่หรงเสวี่ยแล้วถามออกมาว่า “เป็นไง? หล่อไหมล่ะ? ฉันแต่งตัวหล่อขนาดนี้…” เขาเป็นกังวลอยู่ทั้งคืน ครั้งนี้พ่อแม่ของเสี่ยวเสวี่ยคือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับเสี่ยวเสวี่ย
“พี่ชูดูดีมากเลยและใส่ชุดไหนก็ดูดีทั้งนั้นแหละ แต่แค่ไม่ค่อยได้เห็นพี่ชูแต่งตัวหล่อแบบนี้…” มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม
“แน่นอนอยู่แล้ว ยังไงซะฉันก็อยากที่จะเจอพ่อแม่เธอ” ชูอี้เสิ่นพูดจริงจัง
“เข้ามาก่อนเถอะ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จเราค่อยไปกัน” มู่หรงเสวี่ยพูด
หลังจากที่พวกเขากินข้าวเสร็จ ชูอี้เสิ่นก็ยืนยันที่จะซื้อของขวัญก่อนที่จะไปบ้านมู่หรง ถึงแม้เสี่ยวเสวี่ยจะคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่เธอก็เถียงพี่ชูไม่ได้ สุดท้ายเสี่ยวเสวี่ยก็เลือกไวน์ต่างประเทศของโปรดของพ่อและสร้อยคอหยกที่แม่ชอบ เดิมที มู่หรงเสวี่ยคิดว่าเธอจะเลือกของขวัญง่ายๆธรรมดาๆแต่พี่ชูกลับเลือกชิ้นที่แพงๆ อย่างไรก็ตามเธอก็ทำได้เพียงเลือกสร้อยชิ้นที่มีราคากลางๆแต่ดูดีเพื่อให้พี่ชูหยุด
เมื่อเขามาถึงประตูหน้าบ้านมู่หรง ชูอี้เสิ่นอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วก็จัดชุดสูทเพื่อไม่ให้มีรอยยับ สุดท้ายเขาก้ถามมู่หรงเสวี่ยอย่างเป็นกังวล “ฉันดูเป็นไงบ้าง?”
มู่หรงเสวี่ยหัวเราะเบาๆ “พี่ชู วันนี้พี่เป็นอะไรเนี่ย?! พ่อแม่ฉันเข้ากับคนง่ายแล้วพวกท่านก็ไม่กัดพี่หรอกน่า ไม่ต้องห่วง อีกอย่างมันก็เป็นเรื่องปกติมากๆที่เพื่อนจะมาเยี่ยมบ้านเพื่อนกันใช่ไหม?”
“ดีใจนะที่ทำให้เธอหัวเราะได้…” ชูอี้เสิ่นเองก็รู้สึกว่าตัวเองกังวลมากไปเหมือนกัน เขาหัวเราะช้าๆ ลงจากรถและเปิดประตูให้เสี่ยวเสวี่ยแล้วเดินไปหยิบของขวัญจากในรถ “ไปกันเถอะ!”
แม่บ้านของมู่หรงเห็นพวกเขาทั้งสองด้วยสายตาที่แหลมคมและรีบวิ่งเข้ามาหาพวกเขา แล้วก็ยังมีพวกคนข้างในที่คอยรายงานอีก
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เห็นผู้ชายที่ไม่ควรจะมาที่นี่ ร่างของมู่หรงเสวี่ยก็นิ่งไปทั้งตัว สีหน้าของเธอเปลี่ยนไป สายตาก็เบิกกว้าง เธอจับมือชูอี้เสิ่นแล้วก็หยุด
ชูอี้เสิ่นเองก็เห็นว่าฮวงฟูอี้มาปรากฏตัวที่บ้านเสี่ยวเสวี่ย เขาอยากที่จะทำอะไร?!!!
“เสี่ยวอี้…” มู่หรงเสวี่ยพึมพำ
ฮวงฟูอี้เดินเข้ามาและออกแรงดึงมือมู่หรงเสวี่ยมาแล้วกอดที่เอวเธอ
“เสี่ยวเสวี่ย ฉันรอเธออยู่ตั้งนาน ทำไมถึงเพิ่งกลับมา…” สายตาของเขาแวบประกายเย็นชาไปที่ชูอี้เสิ่น
ชูอี้เสิ่นไม่รู้ตัวอยู่ชั่วขณะ เขาดึงเสี่ยวเสวี่ยเพียงแค่อยากที่จะดึงเธอให้เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนเขา มู่หรงเซออกมาสองสามก้าว แล้วก็หยุด เขาเองก็แวบประกายเย็นชาในสายตาเช่นกัน บ้าจริง เขาคิดว่าเขาจากไปแล้วไม่คิดว่าจะมารออยู่ที่บ้านของ เสี่ยวเสวี่ยแบบนี้
หลังจากนั้นสักพัก มู่หรงเสวี่ยก็หายจากอาการตกใจและค่อยๆเดินออกมาจากอ้อมแขนของฮวงฟูอี้ เธอคิดว่าการที่เธอกับเขาจะได้กลับมาเจอกันอีกมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ทันทีที่จางเข่อเหรินเห็นมู่หรงเสวี่ย เธอจิ้มนิ้วชี้มาที่หัวของมู่หรงเสวี่ย
“แม่หนู กลับมาแล้วทำไมยังอยู่สร้างปัญหาข้างนอกนี่อีก…” เธอสอนบทเรียนให้ลูกสาว ในช่วงเวลาปกติเธอก็เป็นกังวลมากพอแล้ว อย่างไรก็ตามเธอเห็นว่าเสี่ยวเสวี่ยมีแฟนเมื่อสองสามวันก่อน เป็นลูกชายคนโตของตระกูลชูแห่งเมืองหลวง
ถ้ามันเป็นแค่นั้นมันก็คงจะโอเค แต่เมื่อวานกลับมีผู้ชายที่หล่อราวเทพบุตรมาบอกว่าเขาเป็นสามีในอนาคตของ เสี่ยวเสวี่ยแล้วก็เอาของขวัญราคาสูงมามากมายมาให้ด้วย นิสัยของเขาดีมากจนคู่สามีภรรยามู่หรงที่อยากจะโมโหปฏิเสธไม่ลงและยอมให้อีกฝ่ายพักค้างคืนที่บ้านด้วย เหตุผลก็เพราะเทพบุตรคนนี้บอกว่าเขาไม่คุ้นเคยกับจังหวัด A เขายังบอกอีกว่าเขาตามหาเสี่ยวเสวี่ยมานานมากแล้ว เขาอยากที่จะเจอเสี่ยวเสวี่ยโดยเร็ว เขาเองคิดว่าจะนอนในรถอยู่ข้างนอกบ้านมู่หรงเพื่อรอเสี่ยวเสวี่ย
มู่หรงเฟิงหัวและภรรยาใจอ่อนขึ้นมาทันที เขาไม่ควรที่จะปล่อยให้คนที่ชอบลูกสาวเขานอนข้างนอกบ้าน อีกอย่างของขวัญที่อีกฝ่ายเอามาฝากก็แพงมากๆด้วยและท่าทางของเขาก็ดูเหมือนไม่ใช่คนธรรมดาด้วย พวกเขาจึงดูแลฮวงฟูอี้อย่างดีตามธรรมเนียมของตระกูลมู่หรงสักหนึ่งคืนแล้วก็มีเหตุการณ์แบบเช้านี้
“แม่คะ อย่าพูดแบบนี้สิ มีคนอื่นอยู่ด้วยนะไว้หน้าหนูบ้างสิคะ…” มู่หรงเสวี่ยอ้อนวอน
“รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ…” จางเข่อเหรินที่ยังระบายไม่พอและรู้สึกยังอยากที่จะพูดต่อ แต่เมื่อเห็นชายทั้งสองที่อยู่ข้างๆเธอ บางทีเขาอาจจะเป็นสามีของเสี่ยวเสวี่ย แล้วเธอจะไม่ไว้หน้า เสี่ยวเสวี่ยได้ยังไง? จึงหยุดพูดอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร “เมื่อมีเวลาก็จัดการเรื่องนี้ด้วยนะสาวน้อย…”
มู่หรงเสวี่ยแลบลิ้นออกมา เธอรู้ว่าแม่เป็นห่วงเธอ ทุกครั้งที่แม่บอกว่าอยากจะจัดการเธอ แม่ไม่ได้หมายความตามนั้นจริงๆ แม่เป็นห่วงว่าเธอจะไม่ค่อยได้กินอาหารดีๆ แม่บ้านหวู่เตรียมอาหารไว้เต็มโต๊ะซึ่งมีแต่ของโปรดเธอทั้งนั้น
“แม่คะ พ่อคะ หนูอยากจะแนะนำให้รู้จักกับชูอี้เสิ่น พี่ชู พี่ชูนี่คือคุณพ่อคุณแม่ฉันเอง” มู่หรงเสวี่ยแนะนำทั้งสองฝ่าย เธอไม่ได้พูดถึงฮวงฟูอี้เพราะเธอเองก็ยังสับสนอยู่
“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า! เสียมารยาทจังที่เพิ่งได้เจอกันเป็นครั้งแรก” ชูอี้เสิ่นกล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้มแล้วจึงมอบของขวัญด้วยมือทั้งสองข้าง อย่างไรก็ตามคู่สามีภรรยามู่หรงดูเด็กมากกว่าที่เขาคิดไว้มาก พวกท่านเหมือนกับเป็นพี่สาวและพี่ชายของเสี่ยวเสวี่ยมากกว่าอีกซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่จะเรียกว่าคุณลุงคุณป้าเลย
“ยินดีต้อนรับนะ คุณเอาของขวัญมาด้วยมีน้ำใจมากเลยนะ เข้ามานั่งข้างในก่อนสิ ฉันนี่เสียมารยาทจริงๆที่ปล่อยให้ทุกคนยืนรอกันนานแบบนี้ น่าอายจริงๆ…” จางเข่อเหรินพูด
มู่หรงเฟิงหัวจ้องไปที่ชูอี้เสิ่น อันที่จริงเพื่อนผู้ชายทุกคนที่มู่หรงเสวี่ยพากลับมาที่บ้าน เขาจะต้องดูอย่างระวัง พูดได้ว่าเขาตรวจสอบและเฝ้าสังเกตเพื่อนผู้ชายทุกคนที่ลูกสาวของเขาพามาบ้านตามประสาคนเป็นพ่อ
หลังจากที่กลุ่มคนเข้าไปนั่งกันในห้องนั่งเล่น มู่หรงเสวี่ยก็ถามออกมา “เสี่ยวอี้…ทำไมนายถึงมาอยู่ที่บ้านฉัน?” ถึงแม้ฮวงฟูอี้จะฟื้นความทรงจำแล้ว แต่เธอก็ยังชินกับการที่เรียกเขาว่าเสี่ยวอี้อยู่ดีและน้ำเสียงของเธอก็เหมือนกับแต่ก่อน
ฮวงฟูอี้มองไปที่เธอและตอบว่า “ฉันมาที่นี่เพื่อมาเยี่ยมคุณพ่อและคุณแม่ของภรรยาไง…”
“ฟู!” มู่หรงเสวี่ยที่เพิ่งจะยกแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่มและอดไม่ได้ที่จะพ่นน้ำออกมา “เสี่ยวอี้ อย่ามาล้อเล่นน้า”
ชูอี้เสิ่นมองไปที่ฮวงฟูอี้ด้วยสายตาเย็นชาและจึงพูดออกมาว่า “เรื่องตลกแบบนี้ไม่ควรที่จะเอามาพูดเล่นไปเรื่อย นายควรที่จะเรียกพวกท่านว่าคุณลุงกับคุณป้า เสี่ยวเสวี่ยกับฉันตัดสินใจหมั้นกันแล้ว ฉะนั้นก็ควรจะเป็นฉันต่างหากที่เรียกพวกท่านว่าคุณพ่อและคุณแม่…”
“ฟู!” มู่หรงเสวี่ยพ่นชาออกมาอีกครั้งหลังจากเรื่องเมื่อกี้
“เสี่ยวเสวี่ย นี่ลูกทำอะไรเนี่ย?! มันเสียมารยาทมากเลยนะ…” จางเข่อเหรินดุ เธอเริ่มที่จะกังวลเรื่องระหว่างลูกสาวแสนธรรมดาของเธอกับสองหนุ่มสุดพิเศษนี่แล้ว
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่แม่ของเธออย่างใสซื่อ “หนูไม่ได้ตั้งใจ…อีกอย่างนะคะ เสี่ยวอี้กับพี่ชูพูดเรื่องตลก…หนูก็เลยอดไม่ได้…”
เฮ้ อะไรนะ เฮ้!? จางเข่อเหรินจ้องไปที่ลูกสาวที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อยเท่าไร
“พี่ชู อย่าสร้างปัญหาสิคะ ก่อนที่จะมาเราไม่ได้ตกลงกันไว้แบบนี้นี่?” มู่หรงเสวี่ยเตือนเขาถึงเรื่องที่ว่าเธออยากจะกลับมาอธิบายเรื่องที่เธอกับเขาต้องแกล้งเป็นแฟนกันกับที่บ้าน แต่ตอนนี้เธอกลับหมั้นแล้วได้ยังไง
ชูอี้เสิ่นมองไปที่มู่หรงเสวี่ยอย่างจริงจังแล้วจึงพูดออกมา “ฉันไม่ได้ล้อเล่น เธอลืมข้อตกลงระหว่างเราแล้วงั้นเหรอ…”
มู่หรงเสวี่ยถาม เธอคิดว่าข้อตกลงเป็นเรื่องตลก เธอไม่ได้คิดจริงจังอะไร ไม่คิดว่าพี่ชูจะเอาเรื่องนี้มาบังคับเธอในตอนนี้ “พี่ชู มันก็แค่เรื่องตลก” อย่างไรก็ตามเธอพูดไม่ได้ว่าเธอเห็นเขาเป็นเพียงพี่ชายเท่านั้น