“ท่านอ๋องมีความสามารถ จะต้องไม่เป็นไรอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ แม้จะยังไม่ได้รับข่าวดี แต่ก็ไร้ซึ่งข่าวร้าย นายหญิงกินอะไรสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ อย่าลืมสิเจ้าคะว่ายังมีคนจับตามองท่านอยู่”
ป๋ายจียกโจ๊กข้าวหอมมะลิเข้ามาด้วยตนเอง ก่อนจะเอ่ยเตือนหลินเมิ้งหยา เหตุเพราะทางฝั่งไท่จื่อยังคงไม่อยู่เฉย
“ก็ใช่”
หลินเมิ้งหยารับถ้วยโจ๊กไป ก่อนจะดื่มเล็กน้อย
การแก้ไขปัญหาของไท่จื่อในครั้งนี้เต็มไปด้วยความขี้ขลาด
ขณะที่ถูกโจมตี คนที่เป็นถึงองค์ชายรัชทายาทกลับไม่สนใจไยดีประชาชน แต่กลับหนีเอาตัวรอด คนแบบนี้จะทำให้ผู้อื่นยอมพลีกายถวายชีวิตให้ได้อย่างไร?
สมองของหลินเมิ้งหยาเปล่งประกาย บางทีอาจใช้โอกาสนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาเสียหายได้ก็ได้
ขณะที่หลินเมิ้งหยากำลังวางแผน ด้านนอกเกิดความวุ่นวายขึ้น
แม้เขตพระราชวังแถบชนบทแห่งนี้จะไม่เล็ก แต่ห้องพักก็มีจำกัด
เมื่อมาถึงที่นี่ ไท่จื่อใช้ห้องหับมากมายเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เขาไม่แม้แต่จะสนใจผู้อื่น
ที่สิงกงแห่งนี้ นอกจากทหารที่ส่งไปช่วยพวกหลงเทียนอวี้แล้ว ทหารหลวงส่วนใหญ่ทำหน้าที่ดูแลอารักขาไท่จื่อแต่เพียงผู้เดียว
ทุกคนต้องลำบากลำบนหาทางเอาชีวิตรอดมายังที่นี่
ตอนนี้ไม่เพียงไม่มีห้อง แม้แต่น้ำยังไม่มีให้ดื่ม ผิดกับไท่จื่อที่อยู่อย่างสุขสบาย
ขณะเดียวกัน บางคนที่ค่อนข้างใจกล้าเริ่มส่งเสียงไม่พึงพอใจ
“ไท่จื่อ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคนเหล่านั้นจะเกลียดชังพระองค์เอาได้”
ใต้เท้าจางยืนอยู่ข้างกายไท่จื่อ ก่อนจะเอ่ยด้วยความระมัดระวัง
น่าเสียดาย ในเวลานี้ไท่จื่อเสมือนกระต่ายตื่นตูม ขนาดเสียงลมพัดต้นหญ้าหวีดหวิวยังทำให้เขาตื่นตระหนก
“เกลียด? พวกเขาเกลียดข้า? ฮึ หากมิใช่เพราะถูกคนพวกนั้นทำให้เดินทางช้า ป่านนี้ข้าคงถึงเมืองหลวงแล้ว”
ในสายตาของไท่จื่อ คนพวกนั้นล้วนเป็นเพียงภาระเท่านั้น
แม้จะไร้ซึ่งขุนนาง แต่ก็ยังมีคนทำหน้าที่แทนพวกเขาได้อยู่
แต่เขาเป็นถึงองค์ชายรัชทายาทแห่งต้าจิ้น หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ชีวิตของพวกที่อยู่ข้างนอกก็มิอาจทดแทนชีวิตของเขา
ใต้เท้าจางพูดไม่ออก เขารู้จักอุปนิสัยของไท่จื่อดี
แม้ท่าทางของเขาจะน่าเกรงขามและเป็นผู้ใหญ่ แต่จริงๆ แล้วเขากลับเป็นเพียงหุ่นเชิดของฮองเฮา
หากตลอดหลายปีที่ผ่านมามิได้ฮองเฮาคอยดูแลกิจการบ้านเมืองแทน เกรงว่าป่านนี้บ้านเมืองคงยุ่งเหยิงมากมายอย่างแน่นอน
“แต่ว่า…พระองค์ก็มิควรเพิกเฉยพวกเขามิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ใต้เท้าจางเป็นขุนนางเก่าแก่ ฉะนั้นเขาย่อมมองการณ์ไปไกลกว่าไท่จื่อ
เมื่อศัตรูโจมตี ไท่จื่อรีบหนีหัวซุกหัวซุนออกมากับคนของตนเอง ดังนั้นนี่จึงเป็นเสมือนจุดด่างพร้อยของเขา
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการซื้อคนนั้นง่าย แต่การซื้อใจคนนั้นยาก
“ทนหิวแค่คืนเดียวมิตายหรอก เดี๋ยวตอนเย็นก็ได้กลับเมืองหลวงแล้ว หรือเจ้าเองก็อยากจะไปทนหิวเหมือนอย่างพวกเขา?”
คิ้วของไท่จื่อขมวดเข้าหากันแน่น คำพูดเปี่ยมไปด้วยความมิพึงพอใจ
ใต้เท้าจางรีบปิดปากสนิท อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขมขื่น
ตอนแรกคิดว่าการที่ลูกสาวตนเองได้แต่งงานกับไท่จื่อจะเป็นเรื่องดี
แต่ดูเหมือนเขาจะด่วนตัดสินใจเกินไป
“นี่เป็นของธรรมดา หากพวกท่านไม่รังเกียจ ได้โปรดรับไปรองท้องเถิด”
ท่ามกลางความหิวโหยและไม่พึงพอใจ เสียงอ่อนโยนดังขึ้น
หลินเมิ้งหยาเดินนำสาวใช้ทั้งสี่ที่กำลังถืออาหารและน้ำดื่มออกไปแจกจ่าย
“อย่าแย่งกัน อย่าแย่งกัน ใต้เท้าที่อยู่ด้านหลังได้โปรดส่งสาวใช้ของพวกท่านตามข้าเข้าไปทำอาหารด้านในเถิด”
ทันทีที่สิ้นเสียงของป๋ายจี สาวใช้หลายคนรีบเข้ามายืนข้างกายนาง
อาหารถูกแจกหมดอย่างรวดเร็ว แต่โชคดีที่ยังมีน้ำดื่มเพียงพอ
หลินเมิ้งหยายืนมองอยู่ทางด้านหลังสาวใช้ของตนเอง มิได้แสดงสีหน้าภาคภูมิใจหรือรำคาญ แต่กลับสงบนิ่ง แม้สายตาจะกำลังมองผู้คนที่เข้ามาแย่งชิงอาหารกันก็ตาม
“มีของกินจริงๆ ด้วย พวกเรารีบไปกันเถิด”
ฟืนไฟในห้องครัวยังไม่ดับ ดังนั้นไม่นานอาหารอย่างง่ายก็ถูกทำจนเสร็จ
สาวใช้ชุดแรกที่เข้าไปทำอาหารยกอาหารที่ตนเองทำออกมา ก่อนจะกลับไปหาเจ้านายของตนเอง
ทันทีที่ได้ยินว่ามีของกินอยู่ภายใน ทุกคนเริ่มเคลื่อนไหว ราวกับว่าสูญเสียการควบคุมตนเอง
“ทุกคนอย่าได้เบียดเสียดกันเลย ต่อแถวสักหน่อยเถิด แม้ห้องครัวจะใหญ่ แต่สามารถรับได้เพียงครั้งละห้าตระกูลเท่านั้น คนที่อยู่ด้านหลังอย่าเพิ่งร้อนใจ หากด้านหน้าทำอาหารออกมามากก็จะได้แจกจ่ายให้พวกท่านได้เร็วขึ้น”
ที่สิงกงแห่งนี้ไม่มีอาหารเลิศรส แต่ถึงกระนั้นก็มีข้าวสารมากเพียงพอ
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่ไท่จื่อออกล่าสัตว์ เขามักจะมาหยุดพักที่นี่สองสามวัน
ดังนั้นทหารอารักขาจึงเตรียมอาหารสดใหม่เอาไว้เสมอ
จูอ้ายจือที่หลินเมิ้งหยาส่งมอบของรางวัลให้เองก็สั่งให้ลูกน้องที่ไว้ใจได้เข้าไปช่วยเหลือ หลังจากยุ่งวุ่นวายอยู่พักใหญ่ ในที่สุดทุกคนก็ได้กินข้าวจนอิ่มท้อง
“ตอนนี้มีเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่ยังไม่ได้ทำอาหาร แต่คนที่อยู่ด้านหน้าทำออกมามากพอสมควร ดังนั้นจึงแจกจ่ายให้กับพวกเขาไปแล้วเจ้าค่ะ”
ในบรรดาสาวใช้ทั้งสี่ ป๋ายจีดูจะเหนื่อยที่สุด
ตอนที่หลินเมิ้งหยาเสนอว่าจะออกไปมอบอาหารและน้ำดื่ม ป๋ายจีพาป๋ายซ่าวเข้าไปในห้องครัวเพื่อหุงข้าวหม้อใหญ่
ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงทำเพียงกับข้าวหรือน้ำแกงแต่เพียงเท่านั้น
“สาวใช้ของข้า ขอบคุณเจ้ามาก”
หลินเมิ้งหยาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อบนหน้าผากของป๋ายจี
แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่พูดสิ่งใดออกมา แต่เมื่อมีคนเอ่ยขอบคุณ นางจึงส่งยิ้มตอบ
ทว่าคนส่วนใหญ่ล้วนจดจำภาพลักษณ์อันดีของนางเอาไว้
แต่แน่นอนว่าคนที่ไม่ชอบนาง ไม่ว่านางจะทำอะไร คนเหล่านั้นก็มักจะมองนางไม่ดีเสมอ
อย่างเช่นแม่เลี้ยงและน้องสาวต่างมารดาของนาง ทั้งสองแบกหน้าไร้ยางอายของตนเองไปอยู่รวมกับไท่จื่อ
ตอนนี้ทุกคนต่างผิดหวังกับการกระทำของไท่จื่อ แต่กลับชื่นชมหลงเทียนอวี้และนางมากขึ้น
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ นายหญิงอย่าได้ใส่ใจไปเลย ป๋ายจีทำงานอื่นไม่เป็น แต่เรื่องกับข้าวก็ยังพอทำได้อยู่เจ้าค่ะ”
หลินเมิ้งหยาเพิ่งพบว่าแม้ป๋ายจีจะไม่ใช่คนช่างพูดช่างคุย แต่จิตใจของนางดีงามมากเหลือเกิน
สาวใช้ของจวนมีมากมาย ทว่าคนที่อยู่ด้านหน้าเมื่อหยิบของได้แล้วยังไม่ลืมที่จะนำไปแบ่งปันคนที่อยู่ด้านหลัง
จัดสรรปันส่วนกันอย่างเหมาะสม ดังนั้นจึงไม่เกิดการทะเลาะวิวาท
เหตุใดสาวใช้ที่ดูธรรมดาเช่นนี้จึงบังเอิญมาอยู่กับนางกันได้นะ?
ดูท่า สาวใช้ทั้งสี่ของตำหนักนางจะไม่ใช่คนธรรมดา
“พวกเจ้าทำงานกันได้ดีมาก กลับไปกันเถิด ไปรับรางวัลกัน”
หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มมีเลศนัย
ทันทีที่ได้ยินคำว่ารางวัล สาวใช้ทั้งสี่ฉีกยิ้มกว้าง
นายหญิงเป็นคนใจกว้าง หากนางเอ่ยว่าจะแจกรางวัล รับรองว่าจะต้องเป็นของชิ้นใหญ่อย่างแน่นอน
สีของท้องฟ้าเริ่มมืดลง
ไท่จื่อที่คิดจะกลับไปยังเมืองหลวงนิ่งเงียบไป
หลินเมิ้งหยาสั่งให้จูอ้ายจือจัดที่พักที่เหมาะสมให้กับทุกคน
อย่าได้คิดว่าคนเหล่านี้เป็นเพียงปัญหา เพราะหากกลับไปถึงเมืองหลวง พวกเขาจะกลายเป็นขุมพลังมหาศาล
“ป๋ายจี ตอนนี้เวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ได้ข่าวคราวของท่านอ๋องบ้างหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ข้างประตู สายตาทอดยาว
ผ่านไปหนึ่งวันเต็มแล้ว มิรู้ว่าพวกหลงเทียนอวี้จะได้กินอะไรบ้างหรือยัง
เหตุใดจึงยังไม่มีข่าวคราวส่งมากันนะ?
ขณะที่พูด ด้านนอกมีแสงไฟสลัวอยู่ไกลๆ ป๋ายจื่อกระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีใจ ก่อนจะร้องตะโกน
“ไฟอย่างนั้นหรือ ดูสิ ท่านอ๋องกลับมาแล้ว”
แสงไฟทำให้พื้นที่ว่างเปล่ามืดสนิททางด้านนอกสว่างขึ้น
รองแม่ทัพของจูอ้ายจือเข้ามารายงานว่านั่นคือพวกหลงเทียนอวี้
“เร็วเข้า ป๋ายจี เจ้าจงไปเตรียมอาหารสักเล็กน้อย ป๋ายซ่าวไปตามหมอหลวงมารวมตัวกัน พวกเขาจะต้องได้รับบาดเจ็บกลับมาอย่างแน่นอน ป๋ายจื่อป๋ายซูไปรับท่านอ๋องกับข้า”
แสงไฟในห้องถูกจุดจนสว่าง เหล่าหญิงสาวต่างพากันพุ่งตัวออกมา
แสงไฟเหล่านั้นเปรียบเสมือนดวงไฟในหัวใจของพวกนาง
ภายในแสงไฟเหล่านั้นมีทั้งพี่น้อง สามีและคนที่ตนเองรัก แต่เพราะความมืดมิดจึงทำให้มองได้ไม่ชัดเจน
พวกเขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่? พวกเขาจะอยากพบพวกนางหรือไม่
นี่คือคำถามในหัวใจของหลินเมิ้งหยา
สายตาของทุกคนหันไปมองทางหลินเมิ้งหยา ราวกับกำลังรอความมั่นใจจากนาง
“เป็นพวกท่านอ๋องจริงๆ มีใครอยากออกไปรับวีรบุรุษของพวกเรากับข้าบ้าง?”
“ข้า ข้าอยากไปกับพระชายา”
“ข้าเองก็ด้วย”
เสียงร้องดังขึ้นที่ด้านหลังหลินเมิ้งหยา
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง สั่งให้ป๋ายซูคุ้มครองดูแลทุกคน ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ เดินไปยังประตูของสิงกง
แสงไฟเสมือนงูตัวยาวที่กำลังเลื้อยเข้ามา
หัวใจของหลินเมิ้งหยาเต้นระรัว ราวกับว่าพันธนาการบางอย่างกำลังถูกปลดเปลื้อง
มือประสานเข้าหากันแน่น ขอบตาเปียกชื้น สายตาทอดยาว
ในที่สุดขบวนงูไฟเหล่านั้นก็เคลื่อนมาถึงหน้าประตูสิงกง
หลังจากผ่านการต่อสู้ตลอดทั้งวัน ผู้นำทัพทั้งสามถูกโลหิตสีแดงซึ่งเปลี่ยนเป็นสีดำอาบร่างจนมองใบหน้าไม่ชัด
หลงเทียนอวี้ หลงชิงหาน หูเทียนเป่ยประคองกันเดินเข้ามาหยุดยืนต่อหน้าหลินเมิ้งหยา
“ท่านอ๋อง…”
น้ำเสียงสั่นเครือ หลินเมิ้งหยาไม่สนใจสิ่งรอบกาย พุ่งตัวเข้าหาอ้อมกอดของหลงเทียนอวี้
ได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นของเขา จมูกได้กลิ่นลมหายใจของเขา
ในที่สุดหัวใจที่ถูกบีบรัดมาตลอดทั้งวันก็สงบลง
“สกปรก”
เสียงแหบพร่าเจือไว้ซึ่งความเหนื่อยล้า
หลงเทียนอวี้อยากดันตัวหลินเมิ้งหยาออก แต่นางกลับกอดเขาแน่น
“ไม่ นี่เป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นวีรบุรุษของท่านอ๋อง”
หลินเมิ้งหยารู้ หลงเทียนอวี้กลัวว่าจะทำให้เสื้อผ้าของนางสกปรก
ชะงัก สายตาเย็นชาของหลงเทียนอวี้พลันอ่อนโยนลงเพราะหญิงสาวในอ้อมกอด
มือที่จับดาบมาทั้งวันด้านชาไปจนหมดแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะยื่นเข้าไปลูบเส้นผมของนาง จมูกดอมดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ประจำกายของหญิงสาวตรงหน้า
“ข้ากลับมาแล้ว”
เสียงแผ่วเบาดังขึ้นที่ข้างใบหูของหลินเมิ้งหยา