ใต้เท้าเจี่ยที่สุภาพอ่อนโยนในยามกลางวันกำลังนั่งทานอาหารในตำแหน่งเจ้าบ้านด้วยท่าทางโผงผางหยาบกร้าน ผู้ที่นั่งทานเคียงข้างมิใช่มู่ซิ่ว หากเป็นหญิงงามแต่งกายยั่วยวนนางหนึ่ง
และมู่ซิ่ว หลานสาวองค์หญิงใหญ่ ฮูหยินของเจี่ยอี้ พี่สาวของนางกลับโดนสองคนนี้ชี้นิ้วสั่งให้ทำสิ่งที่คนรับใช้ควรจะทำ อาทิเช่น คีบอาหาร เติมน้ำแกง แยกก้างปลามิหยุด
“นายท่าน ฮูหยินกลับมาแล้ว!” คนรับใช้เข้ามารายงาน
ฮูหยิน?
มู่อวิ๋นซีที่อยู่บนหลังคาตกตะลึง
“นายท่าน!” หญิงอ่อนโยนนางหนึ่งปัดมู่ลี่พลางก้าวเข้ามา จากนั้นกวักมือบอก “ยกเข้ามา!”
“นี่คือ…” เจี่ยอี้ลุกขึ้น มองไปทางกล่องสีแดงสองกล่องที่ถูกยกเข้ามาด้วยดวงตาเป็นประกาย “ของกำนัลปีใหม่ขององค์หญิงใหญ่?”
“ใช่เจ้าค่ะ” มู่จื่อหลันเข้าใกล้เจี่ยอี้ “ข้าบอกกับท่านป้าว่าช่วงนี้นายท่านเหน็ดเหนื่อยตรากตรำเพียงใด นางเห็นใจท่าน จึงเพิ่มให้อีกกล่อง ของเหล่านี้เพียงพอให้จวนของเรากินอยู่ไปได้สองปีเลยทีเดียว อีกมิเกินห้าวัน มารดาข้าจะกลับมาแล้ว นางก็จะเตรียมของกำนัลให้นายท่านอีกเจ้าค่ะ”
“ลำบากฮูหยินแล้ว!” เจี่ยอี้รีบประคองมู่จื่อหลันนั่งลง พลันหันไปตะคอกมู่ซิ่ว “ไม่มีตาหรือไร? มิเห็นหรือว่าฮูหยินเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้ ยังไม่รีบยกน้ำชาให้ฮูหยินอีก?”
“นายท่าน!” มู่จื่อหลันเตือนเจี่ยอี้ “ท่านอย่าเสียมารยาทกับคุณหนูใหญ่สิเจ้าคะ จะอย่างไรนางก็เป็นหลานสาวข้านะ”
นางหันไปมองมู่ซิ่วด้วยสีหน้าขอโทษ “ซิ่วซิ่ว ข้าเองเริ่มกระหายน้ำแล้ว เจ้าช่วยขารินน้ำชาสักแก้วได้หรือไม่?”
“ยังยืนทื่อกระไรอยู่ รีบไปสิ!” เจี่ยอี้ตวัดสายตาใส่มู่ซิ่ว
“เจ้าค่ะ!” มู่ซิ่วหมุนตัวเดินออกไป น้ำตารินไหล
“นายท่าน ฮูหยิน!” หญิงงามเย้ายวนที่เมื่อครู่ทานอาหารเป็นเพื่อนเจี่ยอี้หันมองเจี่ยอี้และมู่จื่อหลันอย่างนอบน้อม “นังนั่นร้องไห้อีกแล้ว”
“ข้าว่านางคันผิวมากกว่า!” เจี่ยอี้หน้าดำเคร่ง
“นายท่าน!” มู่จื่อหลันรั้งตัวเจี่ยอี้ที่กำลังหมุนตัวไว้ พลางแค่นเสียงเย็นใส่หญิงเย้ายวนนางนั้น “ข้าบอกแล้วว่า นางเป็นหลานสาวข้า เจ้าเรียกนางนังนั่นได้รึ?”
หญิงเย้ายวนนางนั้นมิคิดเลยว่าคำเยินยอของนางกลับมิได้ผลตามที่คิด นางรีบยกมือขึ้นตบหน้าตนเอง “ขออภัยฮูหยินเจ้าค่ะ ข้าผิดเอง ข้าพูดผิด นางเป็นฮูหยินเล็ก ฮูหยินเล็กมู่”
มู่จื่อหลันโบ้ยปากไปทางมู่ซิ่ว หญิงเย้ายวนนางนั้นเข้าใจ รีบพุ่งไปคุกเข่าต่อหน้ามู่ซิ่ว พลางยึดชายชุดนางไว้ “ฮูหยินเล็กมู่ ข้าพูดผิด ขอท่านได้โปรดอย่าถือสา อภัยให้ข้าสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ?”
“ซิ่วซิ่ว” มู่จื่อหลันมองมู่ซิ่วที่ยืนตัวแข็งทื่ออย่างอ่อนโยน “เจ้าว่า ควรลงโทษนางเยี่ยงไรดี? นางว่าเจ้าเยี่ยงนี้ ให้ข้าตัดลิ้นนางดีหรือไม่?”
“อย่านะเจ้าคะ!” หญิงเย้ายวนนางนั้นอุทานอย่างตกใจ รีบเหล่มู่จื่อหลัน และหันมามองมู่ซิ่วด้วยสีหน้าน่าสงสาร “ฮูหยินเล็กมู่ ไว้ชีวิตข้าด้วยเจ้าค่ะ! ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ”
“จื่อหลัน ไม่ ฮูหยิน ช่างเถิด” มู่ซิ่วทนไม่ไหว
“ยังมิรีบขอบพระคุณฮูหยินเล็กมู่อีก?” มู่จื่อหลันตะคอกดัง
“ขอบพระคุณในความเมตตาของฮูหยินเล็กมู่มากเจ้าค่ะ ขอบพระคุณฮูหยินเล็กมู่เจ้าค่ะ!” หญิงเย้ายวนคำนับโขกหัวอีกสามครั้ง และเหล่สีหน้ามู่จื่อหลัน พลันถอยออกไปเงียบๆ
“ฮูหยินเอ๋ย” เจี่ยอี้นวดไหล่ให้มู่จื่อหลันอย่างอ่อนโยน “ให้ข้าพูดนะ เจ้าน่ะดีกับนางมากเกินไปแล้ว หลันเอ๋อร์ เจ้าน่ะจิตใจดีมากเกินไปแล้ว”
มู่จื่อหลันถอนหายใจแผ่วเบา “จะอย่างไร นางก็เป็นหลานสาวข้า พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน”
“ฮูหยิน ชาเจ้าค่ะ” มู่ซิ่วหลุบตาลงต่ำพลางยกน้ำชาให้
“ขอบใจเจ้ามากนะซิ่วซิ่ว ให้เจ้าทำเรื่องพวกนี้ให้ข้า ขอโทษจริงๆ” ถึงปากจะว่าเยี่ยงนั้น พรุ่งนี้เจ้ากลับไปสักครั้งเถิด”
มู่ซิ่วยังไม่ทันตอบ เจี่ยอี้กลับมิพอใจขึ้นมา “ทำไมต้องกลับไปอีก? หลายวันก่อนพึ่งกลับไปมิใช่รึ?”
“ใครให้นางมีน้องสาวจอมแส่ล่ะ?”
พอคำนี้ออกไป มู่จื่อหลันเองยังรู้สึกกระดาก จึงยิ้มมองมู่ซิ่ว “ซิ่วซิ่ว เจ้าอย่าถือสาเลยนะ ข้ามิได้หมายความว่าอย่างใด ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเจ้ากับคุณหนูรองมิเคยพบหน้ากันมาก่อน แทบจะแปลกหน้าต่อกัน นางกลับเอาใจใส่เจ้าถึงเพียงนี้ คงมิได้หวังดีแน่”
“ถ้าซิ่วซิ่วมิกลับไป” นางหันมองเจี่ยอี้ “คุณหนูรองท่านนั้นพรุ่งนี้จะพาหมอหลวงมาที่จวน เวลาเพียงเท่านี้ นายท่านจะไปหาฮูหยินใหญ่ที่ไหนให้นางกันล่ะ?”
“เจ้าพูดถูก” เจี่ยอี้ยอมทันที พลางมองมู่ซิ่ว “งั้นคืนนี้เจ้ามิต้องมารับใช้แล้ว กลับไปพักผ่อนซะ พรุ่งนี้กลับไปก็อย่าทำอะไรขายหน้าจวนตระกูลเจี่ยของเราล่ะ”
มู่อวิ๋นซีบนหลังคากัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน สายตาดึงกลับมาหันมองตามมู่ซิ่วที่ผลุนผลันออกจากเรือนดอกไม้ เพลิงโกรธในใจพุ่งสูง
นางเคยคิดว่า บางทีมู่ซิ่วอาจมิได้อยู่ดีนัก หากต่อให้มิดีเยี่ยงไร นางก็เป็นหลานสาวแท้ๆขององค์หญิงใหญ่ เป็นลูกสาวเรือนใหญ่ของตระกูลมู่ที่ร่ำรวยล้นฟ้า จะอย่างไรก็มิควรจะตกอยู่ในสภาพโดนรังแกเหยียดหยามเยี่ยงนี้…มิคิดเลยว่าเรื่องจริงจะแย่ยิ่งกว่าที่นางคาดคิดไว้เสียอีก
ดวงตานางพลันเบิกกว้าง มือเล็กคว้าจับแขนเฟิ่งเชียนเย่อย่างมิทันรู้ตัว และกำไว้แน่น
ในลาน มู่ซิ่วโดนหญิงเย้ายวนนางนั้นที่ออกไปก่อนขวางทางไว้ หญิงนางนั้นพูดสิ่งใดนางมิได้ยิน หากเห็นว่าหญิงผู้นั้นถุยน้ำลายใส่หน้ามู่ซิ่วหนึ่งที และจากไปอย่างสาแก่ใจ
เฟิ่งเชียนเย่คิ้วขมวดมุ่น พลันยกมือขึ้น หญิงเย้ายวนนางนั้นสะดุดล้มลงพื้น พลางร้องเสียงดัง
“พวกเราไปกันเถอะ” เขาหันมามองหญิงข้าวกายที่ดวงตารุ่งโรจน์ด้วยไฟโกรธ
นางหันมามองเขา “ท่านดูสิ เหตุใดนางจึงกล้า? กล้าทำได้เยี่ยงไร?”
กล้าฮุบกล่องสีแดงที่องค์หญิงใหญ่มอบให้? กล้าสร้างเรื่องโกหกคำโตเยี่ยงนี้? กล้าเปลี่ยนมู่ซิ่วจากหลวงเป็นน้อย และยังเหยียดหยามนางเยี่ยงนี้?
ผิวเผินมู่จื่อหลันดูแลมู่ซิ่ว หากความจริงแล้วกลับสร้างศัตรูให้นางมิหยุด มิเช่นนั้นหญิงเย้ายวนนางนั้นคงมิรอเหยียดหยามมู่ซิ่วที่นี่เยี่ยงนี้ดอก
เฟิ่งเชียนเย่ถอนหายใจแผ่วเบา “ข้าเจ็บ”
หือ?
มู่อวิ๋นซีอึ้ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเล็บมือตนมิรู้เมื่อใดที่จิกเข้าเนื้อเฟิ่งเชียนเย่ไปแล้ว นางรีบปล่อยมือ “อ๊า…ข้า…ขออภัย ท่านชายเย่ ข้ามิทัน…”
“ใครกัน?” ใต้ฝ่าเท้าพลันเกิดเสียงตะคอกขึ้น
มิรอมู่อวิ๋นซีรู้สึกตัว เฟิ่งเชียนเย่รวบนางมากอด และขยับร่างหลอมรวมในความมืดทันที
เจี่ยอี้ที่ออกมาดูหมุนตัวกลับเรือนดอกไม้อย่างงุนงง
ความมืดดำสนิทผสมผสานกับแสงสว่างสีขาวฟ้าในยามเช้ามืด และฉายแสงตะวันสีส้มลงไปที่หน้าต่างของลานหย่งเหอ
“องค์หญิง!”
แม่นมโจวเข้ามาด้วยสีหน้ายินดี พลางมองไปยังองค์หญิงใหญ่ที่กำลังแต่งองค์ “เมื่อวานคุณหนูรองพึ่งพูดว่าวันนี้จะไปเยี่ยมคุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่ก็กลับมาเลย ท่านว่าสองพี่น้องคู่นี้จิตใจสื่อถึงกันจริงๆ”
“งั้นเจ้ารีบไปบอกอวิ๋นซีเถิด อย่าให้นางต้องไปเก้อเลย” องค์หญิงใหญ่ลุกขึ้น
“องค์หญิงโปรดวางพระทัย ข้าให้คนไปเชิญคุณหนูรองแล้วเจ้าค่ะ”
แม่นมโจวพยุงองค์หญิงใหญ่นั่งลง มู่ซิ่วและมู่จื่อหลันต่างพากันเดินเข้ามาทีละคนแล้ว
แม่นมโจวเข้ามาด้วยสีหน้าปรีติยินดี มองไปทางองค์หญิงใหญ่ที่กำลังแต่งองค์ “คุณหนูรอง”