แม่นมโจวจัดการนำกล่องสีแดงวางใส่ในกล่องสีแดงสองกล่องที่วางติดกันในห้องตามคำสั่งองค์หญิงใหญ่ “นับแต่ใต้เท้าเจี่ยเสียไป นี่ระเบียบเละเทะไปหมด ของกำนัลทุกปีกลับให้องค์หญิงส่งให้พวกเขาก่อน”
“ข้าให้พวกเขาที่ไหนกัน ข้าให้ซิ่วซิ่วต่างหากเล่า”
องค์หญิงใหญ่ถอนหายใจแผ่วเบา “เมื่อก่อนตาแก่เจี่ยเป็นใต้เท้าผิงจุ่นลิ่ง คนจำนวนไม่น้อยคอยประจบประแจงจวนตระกูลเจี่ยของพวกเขา หากมาบัดนี้ยังมีใครไปเยือนประตูจวนตระกูลเจี่ยกันอีกเล่า? บัดนี้ทั่วทั้งจวนต่างหวังพึ่งเจี่ยอี้อยู่รอด หากเงินเดือนของเจี่ยอี้สักเท่าไหร่กัน? ถึงเวลานั้นผู้ที่ลำบากก็หนีไม่พ้นซิ่วซิ่ว”
แววตาองค์หญิงใหญ่ฉายแววเสียใจวูบหนึ่ง “ข้าเองมิสามารถออกจากลานหย่งเหอได้ ช่วยอะไรนางมิได้ ได้แต่ให้เงินทองกับนางเอาไว้ หวังว่าเจี่ยอี้จะดูแลนาง หวังว่าแม่สามีนางจะมิได้รังแกนาง”
มู่อวิ๋นซีแอบเศร้าในใจ มองดูองค์หญิงใหญ่ตาแดงเรื่อ รีบปลอบเสียงอ่อนว่า “ท่านย่า พี่สาวน่ะอ่อนโยน เป็นภรรยาที่ดี เข้าอกเข้าใจผู้คน แถมยังมีท่านย่าเป็นหลักยึดให้นาง ใครจะกล้าไม่ดีกับนาง? หากมีจริง อย่าว่าแต่ท่านย่าเลย ข้าเป็นคนแรกที่มิมีวันยอม”
องค์หญิงใหญ่หลุดหัวเราะ ตบมือมู่อวิ๋นซีเบาๆอย่างรักใคร่ “พี่สาวเจ้าน่ะ ดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียวนิสัยอ่อนแอไปสักหน่อย หากนางกล้าหาญได้เยี่ยงเจ้า ข้าคงมิเป็นกังวลดอก”
“องค์หญิงโปรดวางพระทัยเถิด ยังมีคุณหนูจื่อหลันคอยดูแลคุณหนูใหญ่มิใช่หรือเจ้าคะ?” แม่นมโจวที่ยืนอยู่ร่วมปลอบประโลม
“ใช่ โชคยังดีมีนาง” องค์หญิงใหญ่ผ่อนลมหายใจ หันมองมู่อวิ๋นซีที่ยืนด้านข้างพลางอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้สาวใช้คนหนึ่งของจวนตระกูลเจี่ยกล้าบังอาจยั่วยวนพี่เขยเจ้า จากนั้นยังกล้ามาโอ้อวดต่อหน้าพี่สาวเจ้า นางโกรธจนร้องไห้ คือจื่อหลันเกลี้ยกล่อมท่านเขยไล่สาวใช้คนนั้นไป และขอขมาพี่สาวเจ้า”
“ฮูหยินเล็กเติ้งเป็นคนรู้มารยาทและรู้การควรมิควร ลูกสาวที่นางสั่งสอนอบรมมาย่อมมิต่างกันมากนักดอก” แม่นมโจวสำทับเพิ่ม พลางตรวจสอบของกำนัลปีใหม่ที่เตรียมไว้ให้จวนตระกูลเจี่ย “องค์หญิง ของกำนัลขององค์หญิงเพียงพอให้ตระกูลเจี่ยกินอยู่ไปได้สามปีแล้ว คราวนี้องค์หญิงคงวางพระทัยแล้วกระมัง?”
กินอยู่ได้สามปี ต่อให้มู่ซิ่วป่วย เงินหาหมอน่าจะมีกระมัง ต่อให้มิพอ ให้องค์หญิงใหญ่ส่งท่านหมอไปก็ได้ จะอยู่ดีๆตายได้เยี่ยงไร?
ในนี้มีลับลมคมในอะไรกัน?
อีกประการหนึ่ง ความเจ้าชู้ของเจี่ยอี้ มู่ซิ่วกับมู่จื่อหลันร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขามานานหลายปีขนาดนี้ มีหรือจะมิสังเกต?
หากรู้ นิสัยมู่ซิ่วอ่อนแอ บางทีคงมิพูด หากมู่จื่อหลันเล่า หากนางเป็นห่วงมู่ซิ่วจริง ทำไมไม่ยอมบอกท่านย่า? หรือเพราะมิมีโอกาส?
“องค์หญิง คุณหนูรองมาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้รายงานที่ด้านนอกประตู
มู่อวิ๋นซีถอยออกมาจากอ้อมกอดองค์หญิงใหญ่ นั่งลง หันมองหญิงที่เดินก้มหน้าเข้ามาอย่างสงสัย มองนางคำนับองค์หญิงใหญ่อย่างนอบน้อม อธิบายกับองค์หญิงใหญ่อย่างอ่อนโยนและพิถีพิถันว่า เหตุใดมู่ซิ่วจึงไม่สามารถมาได้
ต่อให้นางคิดจะหาเรื่องจริง ก็หาจุดบกพร่องมิได้เลย
หากเป็นเยี่ยงนี้ มู่อวิ๋นซียิ่งรู้สึกผิดสังเกต แต่ก็พูดมิถูกว่ามิถูกต้องตรงไหน
“ท่านอาจื่อหลัน!” มู่อวิ๋นซีพลันออกเสียง “บาดแผลพี่สาวข้าเป็นเยี่ยงใดบ้าง?” นางยกมือขึ้นทำท่าทางบนหน้าผาก “ยาสร้างเนื้อของข้าใช้ดีหรือไม่?”
“ใช้ดีมาก” มู่จื่อหลันยิ้มมองมู่อวิ๋นซีอย่างอ่อนโยน “ก่อนหน้าที่ข้าจะมา ฮูหยินยังกำชับให้ข้าขอบพระคุณท่านแทนนาง ขอบพระคุณคุณหนูรองเจ้าค่ะ”
ระหว่างพูด นางย่อตัวลงคำนับมู่อวิ๋นซี ท่าทางเคารพและนบน้อมยิ่งนัก
“งั้นก็ดียิ่งนัก” มู่อวิ๋นซียิ้มมุมปาก พลันมององค์หญิงใหญ่ “ท่านย่า ข้าอยากไปเยี่ยมเยือนพี่สาวสักหน่อยได้หรือไม่? คราก่อนพี่สาวบอกว่าแม่สามีนางมิใคร่สบาย พอดีข้าจะได้ไปเยี่ยมเยือนแม่สามีนางแทนท่านย่า ท่านย่าว่าดีหรือไม่?”
“ดี ดียิ่งนัก พรุ่งนี้เช้า ข้าจะให้คนนำเทียบเชิญของข้าไปเชิญหมอหลวงจ้าว ให้เขาตามเข้าไปจวนตระกูลเจี่ยด้วย” องค์หญิงใหญ่คิดได้รอบคอบยิ่งกว่า
มู่อวิ๋นซีพลันนึกสงสัยขึ้นมา หันมองมู่จื่อหลัน “ท่านอาจื่อหลัน พี่สาวจะมิพอใจหรือไม่ที่จู่ๆข้าไปเยี่ยมเยือนกะทันหัน?”
มู่จื่อหลันยิ้มบาง “คุณหนูรองคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ หากฮูหยินรู้ว่าท่านจะไปเยี่ยมนาง มิรู้จะดีใจขนาดไหนเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้าน่ะ คิดมาก” องค์หญิงใหญ่ว่ามู่อวิ๋นซีออกมาหนึ่งคำ พลางหันมองมู่จื่อหลันด้วยสีหน้าเมตตา “ข้าได้ยินพ่อเจ้าพูดว่า อีกมิเกินห้าวันฮูหยินเล็กเติ้งจะกลับมาแล้ว ไว้รอนางกลับมา ข้าจะให้คนไปรับเจ้ากลับมาอยู่สักสองวัน สองแม่ลูกจะได้พูดคุยกันสักหน่อย อีกครู่เจ้าทานอาหารค่ำก่อนแล้วค่อยกลับเถิด”
“ขอบพระทัยเพคะองค์หญิง” มู่จื่อหลันคำนับองค์หญิงใหญ่อย่างซาบซึ้ง
“ท่านย่า” มู่อวิ๋นซีฉุกคิด ลุกขึ้น “ในเมื่อท่านอาจื่อหลันอยู่เป็นเพื่อนท่าน งั้นข้าขอไปพักผ่อนสักครู่ วันนี้ข้าเหนื่อยน่ะเจ้าค่ะ”
“ยัยหนูนี่ เหนื่อยก็รีบไปพักผ่อนเถิด ไม่ต้องมาดูแลย่าหรอก”
พอกลับถึงลานชิงจื่อ มู่อวิ๋นซีมิมีเวลาตรวจดูเครื่องประทินโฉมที่ไป่หลิงซื้อกลับมา นางรีบทานอาหารเย็น และบอกทุกคนว่าตนจะเข้านอนแล้ว หลังไล่ไป่หลิงออกไป นางจึงเรียกเสียงเบาว่า “ท่านชายเย่!”
“เรื่องอันใดรึ?”
ช่วงลมหายใจ เฟิ่งเชียนเย่ปรากฏกายขึ้นต่อหน้านาง ใบหน้างามคิ้วงอนงาม งดงามมิซ้ำใคร
ปีศาจ!
มู่อวิ๋นซีพยายามสะกดกลั้นหัวใจที่เต้นมิเป็นส่ำ มองไปทางเขาอย่างเก้อเขิน “ท่านจะพาข้าไปจวนตระกูลเจี่ยสักครั้งได้หรือไม่? อย่างเงียบเชียบนะเจ้าคะ”
เฟิ่งเชียนเย่เลิ้วคิ้วเรียวยาว “เจ้ามิเชื่อมู่จื่อหลัน?”
“ข้าเองก็ไม่รู้” มู่อวิ๋นซีพูดตามจริง “ตามหลักแล้ว นางพูดจาหรือทำอะไรก็หาข้อผิดพลาดมิได้เลย แต่ข้ายังรู้สึกชอบกล บางทีอาจเป็นเพราะข้าคิดมากไปเองกระมัง”
เฟิ่งเชียนเย่แววตาลุ่มลึกลง “ในสายตาคนอื่น มู่เซิ่งเองก็ดีกับเจ้ามากเช่นกัน”
มู่อวิ๋นซีอึ้ง สีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน
ใช่ล่ะ มู่เซิ่งดีกับนางมาก ยามนางกลับถึงจวนตระกูลมู่ เขาให้นางอยู่ลานที่ดีที่สุดของจวน ให้ห้องครัวจัดหาอาหารเลิศรสให้นาง หากว่าเรือนนั้นเพื่อทำลายนางและมู่จื่อชวน อาหารเลิศรสเพื่อเก็บซ่อนความคิดร้ายกาจที่จะเอาชีวิตนาง
ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าสิ่งใดมิถูกต้อง มู่จื่อหลันทำทุกสิ่งได้อย่างไร้ที่ติ
ประหนึ่งนางใส่หน้ากากอันไร้ที่ติเอาไว้ มองตรงมองเอียง มองซ้ายแลขวา ล้วนงดงามไร้ที่ติ หากใครจะรู้ว่าภายใต้หน้ากากนั้น จะเป็นใบหน้าเยี่ยงไรกันแน่?
“พาข้าไปจวนตระกูลเจี่ย” นางมองเฟิ่งเชียนเย่อย่างหนักแน่น
“ได้!”
เฟิงเขียนเย่โน้มตัวลงเป่าดับตะเกียง
ไม่รอมู่อวิ๋นซีชินกับความมืด มือใหญ่อบอุ่นพลันจับมือเล็กเย็นเฉียบของนาง
ความอบอุ่นนั้นประหนึ่งมีพลังเวทมนตร์ก็มิปาน ทำให้หัวใจรุ่มร้อนของนางพลันสงบลง
ทุกอย่างยังทันมิใช่รึ?
ความมืดเข้าครอบงำทุกหนแห่ง แม้แต่คนสองคนที่ย่อตัวลงบนหลังคาเรือนดอกไม้ของจวนตระกูลเจี่ย ยังประหนึ่งหลอมรวมไปกับความมืดนี้แล้วเช่นกัน
มู่อวิ๋นซีมองลอดผ่านรอยแยกของกระเบื้องไปยังมู่เซิ่งที่อยู่ในเรือนดอกไม้ด้านล่างด้วยสายตาโกรธขึ้ง
รอยแผลบนหน้าผากนางไม่เพียงตกสะเก็ด หากกลับยิ่งเกี่ยวรัดไรผมจนน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
มู่จื่อหลันโกหก!
หากสิ่งที่ทำให้นางยิ่งโกรธจัดมากยิ่งกว่าคือฉากที่กำลังแสดงอยู่ในตอนนี้