“เจ้ารึ?” องค์หญิงใหญ่มองมู่อวิ๋นซีอย่างแปลกใจ
“อวิ๋นซี มีพี่ชายอยู่ เรื่องปวดหัวพวกนี้เจ้ามิต้องกังวลดอก” มู่จื่อชวนมององค์หญิงใหญ่ “ท่านย่า ให้ข้าดูแลเถิดขอรับ”
ในใจมู่อวิ๋นซีอบอุ่นนัก เพราะนางรู้ดีว่า เขาทำแบบนี้เพราะอยากปกป้องนาง ชาติก่อน เขาใฝ่แต่จะศึกษาเล่าเรียนเท่านั้น อย่าว่าแต่การค้าเลย แม้แต่เรื่องในจวนเขาก็มิเคยเอ่ยปากถาม
“ท่านพี่” สายตานางมองมู่จื่อชวนเป็นประกาย “แดงดุจท้อขายแต่เครื่องประทินโฉม บุรุษเช่นท่านไปที่เช่นนั้นบ่อยๆ มิกลัวผู้ใดหัวเราะเยาะเอารึ ท่านย่า แดงดุจท้อมอบให้ข้าดูแลเถิดเจ้าค่ะ หากพบเจอปัญหาอะไรแก้ไขไม่ได้จริงๆ ข้าค่อยปรึกษากับพี่ชายอีกครั้ง”
“ได้ ถ้าเยี่ยงนั้นตกลงตามนี้ แม่นมโจว”
แม่นมโจวส่งมู่อวิ๋นซีกับมู่จื่อชวนออกจากลานหย่งเหอ พอกลับมาก็มองพิจารณาองค์หญิงใหญ่อย่างสงสัย
“ใบหน้าข้ามีดอกไม้รึ?” องค์หญิงใหญ่โดนนางมองจนครั่นเนื้อครั่นตัว
“มิมีดอกไม้ หากวันนี้องค์หญิงมิเหมือนก่อนเลยเพคะ” แม่นมโจวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเป็นเมื่อก่อน องค์หญิงมีหรือจะยกแดงดุจท้อให้ท่านชาย คุณหนูดูแล?”
“ใช่” องค์หญิงใหญ่ถอนหายใจยาว “เรื่องเมื่อวานเจ้าก็เห็นแล้ว กลัวว่าหากข้าเป็นอะไรไปไม่เท่าไหร่ พวกเขาก็โดนคนให้ร้ายเลย บางครั้งจิตใจคนมักจะทนการพิสูจน์มิไหว”
“องค์หญิงมิต้องกังวลดอกเพคะ” แม่นมโจวพยุงองค์หญิงใหญ่เอนตัวลงนอน “ฮูหยินเล็กหลิ่วเองนับว่าฉลาด นี่มิใช่ยอมมอบการค้าเครื่องประทินโฉมออกมาแล้วนี่เพคะ?”
“นางน่ะรึฉลาด?” องค์หญิงใหญ่หัวเราะพรืด “หากนางฉลาด วันนี้คงไม่พูดเรื่องเหลวไหลอย่างจะส่งมู่จื่อโหรวไปเป็นน้อยเขาแล้ว ช่างเถิดช่างเถิด จะอย่างไรก็เป็นเรื่องของพวกนางแม่ลูก ข้ามิใคร่สนใจ หากแดงดุจท้อนี่ มิว่านางจะจริงใจหรือแกล้งทำ หลังจากให้อวิ๋นซีแล้ว นางอย่าหมายจะเอากลับไปได้เลย”
“องค์หญิงวางพระทัยเถิด คุณหนูรองเฉลียวฉลาดยิ่งนัก”
สามวันต่อมา กองหิมะละลายไปสิ้น มู่อวิ๋นซีจึงมุ่งหน้าไปตลาดตงซื่อพร้อมกับไป่หลิง
ร้านค้าทั้งหมดของเมืองหลวงรวมตัวกันอยู่ที่ตลาดตงซื่อและตลาดซีซื่อ ถึงจะมิได้มีกฎแน่นอน หากชนชั้นสูงและเหล่าขุนนางหรือผู้มีอันจะกินมักจะไปแต่ตลาดตงซื่อ จะไม่มีทางย่างกรายเข้าไปตลาดซีซื่อเด็ดขาด ส่วนประชาชนธรรมดาและคนต่างถิ่นมักชอบไปตลาดซีซื่อ ยกเว้นพวกหาเลี้ยงชีพน้อยนักที่จะมาตลาดตงซื่อ
ที่ปากทางเข้าตลาดตงซื่อ มู่อวิ๋นซีลงจากรถม้า มองไปไกล เป็นร้านต่างๆ อาทิเช่น ร้านน้ำชา ร้านเหล้า ร้านค้าต่างๆ อาจเพราะใกล้สิ้นปี บนที่ว่างสองข้างทางของถนนมีแผงลอยตั้งอยู่ไม่น้อย มองไปรอบๆมีแต่บรรยากาศครึกครื้น
“คุณหนู พวกเราไปแดงดุจท้อกันเถิดเจ้าค่ะ” ไป่หลิงคอยกันคนให้มู่อวิ๋นซี
“รอประเดี๋ยวก่อน” มู่อวิ๋นซีเหล่มองผงหอมสองกล่องของร้านแผงลอยข้างทาง พลางฉุกคิดได้
“ข้าเดินฝั่งซ้าย เจ้าฝั่งขวา เดินตรงไป หากพบเจอเครื่องประทินโฉมที่ถูกใจก็ซื้อมาหนึ่งกล่อง”
“คุณหนู?” ไป่หลิงสงสัย “เครื่องประทินโฉมหลากหลายชนิดที่แดงดุจท้อมีหมด ทำไมท่านยังจะซื้อของผู้อื่นอีกล่ะเจ้าคะ?”
มู่อวิ๋นซีมิได้อธิบาย ผลักไป่หลิงออกเดิน “ให้เจ้าไปก็ไปสิ อีกประเดี๋ยวพวกเราเจอกันที่หน้าแดงดุจท้อ”
สองวันมานี้พลิกดูบัญชี นางพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ชาติก่อนนางบังเอิญได้ยินยายรับใช้สองคนพูดคุยกัน ทำนองว่ามีใครทรยศ แอบขโมยแป้งของแดงดุจท้อออกไปขายด้านนอก
มาวันนี้แดงดุจท้อเป็นของนาง นางจะมิยอมให้ผู้ใดมาก่อเรื่องเป็นแน่
หญิงมีอายุที่ด้านหลังแผงลอยเห็นมู่อวิ๋นซีจับจ้องแป้งหอมบนแผงลอยไม่วางตา รีบยื่นมาให้นาง
“คุณหนูดูสิเจ้าคะ นี่เป็นแป้งม่วงชั้นเยี่ยม ทำออกมาจากข้าวใหม่ในปีนี้เลยเจ้าค่ะ คุณหนูใช้แล้วจะทำให้ผิวส่องกระจ่างเรียบลื่นเลยเจ้าค่ะ”
“กระนั้นเชียวหรือ?” มู่อวิ๋นซีเปิดกล่องหยิบขึ้นมาดม เหลือบตาขึ้นมองหญิงผู้นั้น “ราคาเท่าไหร่รึ?”
“ไม่แพงเลยเจ้าค่ะ ห้าสิบเหวิน” หญิงผู้นั้นยื่นมือออกมา
มู่อวิ๋นซีครุ่นคิด กำลังจะหยิบเงิน หากมีมือใหญ่มาแย่งแป้งม่วงในมือนางไป และตบโต๊ะแผงลอยดังปั้ง “ผงหอมของเจ้านี่รายงานต่อผิงจุ่นซือแล้วรึ?”(ผิงจุ่นซือคือกรมพาณิชย์ในสมัยโบราณ)
หญิงผู้นั้นอึ้ง หันมองชายวัยกลางคนในชุดข้าราชการสีคราม “ใต้เท้า ข้ามาขายป้ายแขวนขอพรเจ้าค่ะ แป้งหอมนี้ทั้งหมดมีเพียงสองกล่องเท่านั้น ข้าทำขึ้นมาเอง เลยเอามาขายด้วยเจ้าค่ะ”
“พูดเช่นนี้ แสดงว่ามิได้รายงานกับผิงจุ่นซือ? เห็นแก่เป็นความผิดครั้งแรก จะไม่ทำโทษอันใด หากมีครั้งหน้าอีก ระวังข้าจะจับเจ้าเข้าตะราง”
“เจ้าค่ะ มิขายแล้ว ข้าไม่ขายแล้ว” หญิงผู้นั้นรีบเก็บแป้งม่วงสองกล่องนั้นลงไป
ชายวัยกลางคนหันกลับมามองมู่อวิ๋นซี แววจริงจังในสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสุภาพอ่อนโยน “คุณหนู ท่านอยากซื้อแป้งน้ำรึ?”
มู่อวิ๋นซีพยักหน้า
“คุณหนูงามดุจนางฟ้าเยี่ยงนี้ แป้งน้ำฝีมือกระจอกๆเยี่ยงนี้จะคู่ควรกับท่านได้อย่างไร แป้งประทินโฉมที่ดีที่สุดของตลาดตงซื่ออยู่ที่แดงดุจท้อ เพียงแต่ว่าราคาจะแพงกว่านี้มากนัก” น้ำเสียงเขาแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที “แต่เรื่องทุกอย่างล้วนมีข้อยกเว้น”
“หมายความว่ากระไร?” มู่อวิ๋นซีแปลกใจ
“คุณหนูคงจะมองออก” ชายวัยกลางคนขยับชุดข้าราชการสีฟ้าครามของตน “ข้าเป็นคนของผิงจุ่นซือ รับผิดชอบราคาสินค้าทุกร้านในตลาดตงซื่อ พูดอีกอย่างคือ…”
เขาเหล่รอบด้านเพียงครู่ น้ำเสียงกดต่ำลงว่า “หากข้าว่าราคาสมเหตุสมผล ราคานั่นคือสมเหตุสมผล หากข้าว่าราคามิสมควร ราคามันก็จะมิสมควร”
นี่ใช้อำนาจบาตรใหญ่กระมัง?
มู่อวิ๋นซีสายตาขยับเล็กน้อย พูดอย่างสงสัยว่า “ท่านทำเยี่ยงนี้ หากใต้เท้าผิงจุ่นลิ่งรู้เข้า คาดว่าจะมิสู้ดีกระมัง?”
ท่านใต้เท้าผิงจุ่นลิ่งภารกิจมากมายนัก ไหนเลยจะมีเวลามาถามเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ได้?”
ชายวัยกลางคนขยับเข้าใกล้มู่อวิ๋นซี สายตากลับกลอกไปมาระหว่างใบหน้าและหน้าอกนาง “ประจวบเหมาะว่าแดงดุจท้อยังติดค้างแป้งท้อธวัลพรรณชั้นดีกับข้าหนึ่งกล่อง นั่นเป็นแป้งประทินโฉมที่แม้แต่พระสนมในวังยังชมมิขาดปาก ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับคุณหนูยิ่งนัก เลยจะไปนำมามอบให้คุณหนู”
“นี่…” มู่อวิ๋นซีถอยหลังไปหนึ่งก้าว ลังเลเล็กน้อย “มิเหมาะสมเท่าใดกระมัง ข้ามิได้รู้จักมักจี่กับท่านมาก่อน”
“พบกันสองสามคราก็รู้จักแล้ว หากคุณหนูใช้แป้งท้อธวัลพรรณแล้วชมชอบ ต่อไปมาหาข้าที่ตลาดตงซื่อได้เลย ข้าจะ…”
“ใต้เท้าเจี่ย!” มีข้าราชการระดับเล็กคนหนึ่งวิ่งเข้ามา “ใต้เท้าจางกับใต้เท้าจ้าวเชิญท่านไปตรวจสอบดูขอรับ ทางนั้นพบผู้ยึดครองที่ดินอยู่”
“คุณหนูรอประเดี๋ยวเถิด ข้าไปสักครู่ก็กลับ”
มู่อวิ๋นซีมองตามร่างเขาไป ยิ้มหยันมุมปากขึ้นมา มิคิดเลยว่าผิงจุ่นซือจะมีคนหน้าหนาไร้ยางอายเยี่ยงนี้ด้วย
“คุณหนู มาแล้วนะเจ้าคะ!”
ไป่หลิงที่เดินวนไปวนมาหน้าประตูแดงดุจท้อ พอเห็นมู่อวิ๋นซีจึงรีบเดินเข้าไปหา “หากท่านยังไม่มาอีก บ่าวจะให้คนออกไปตามหาท่านแล้วนะเจ้าคะ”
“แค่มีเรื่องเล็กน้อยทำให้เสียเวลาไปเท่านั้นเอง”
มู่อวิ๋นซีเหลือบตาขึ้นมองป้ายชื่อแดงดุจท้อที่แขวนอยู่เบื้องหน้า หัวใจพลันเต้นแรงไม่เป็นส่ำขึ้นมา
นี่เป็นร้านแรกของตระกูลมู่ที่นางเอากลับคืนมาได้
เริ่มจากแดงดุจท้อ นางจะให้มู่เซิ่งคายทรัพย์สมบัติที่ยึดครองไปจากเรือนใหญ่กลับมาทีละอย่าง
คายออกมาไม่ให้เหลือ
พอทั้งคู่เข้าไปในร้าน ชวยเอ๋อร์รีบก้าวเข้ามาหา “คุณหนูท่านนี้มาครั้งแรกกระมัง? ต้องการสิ่งใดหรือไม่เจ้าคะ? แท่งเขียนคิ้ว?แป้งประทินโฉม?ผงชาดทาแก้มหรือปาก?ที่นี่พวกเรามีครบทุกสิ่งเจ้าค่ะ”