“รอก่อน”
เฟิ่งเชียนเย่มองหิมะบนภูเขาจำลอง ในใจรู้สึกหนาวเหน็บเล็กน้อย “ข้าต้องการรู้ว่าเขาคิดจะทำอันใด”
“ขอรับ เจ้านายโปรดระวัง”
เงาดำวูบไปไม่เหลือร่องรอย เหลือเพียงแสงจันทร์กระจ่างกลางหิมะและเงาจากร่างเฟิ่งเชียนเย่ ช่างดูเงียบเหงายิ่ง
ดวงจันทร์ค่อยๆเคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันออก ดวงตะวันค่อยเคลื่อนนคล้อยขึ้นสู่ยอดไม้ หิมะรอบด้านยังค่อยส่งประกายสีขาว การข้ามผ่านของกลางคืนและกลางวันยังไม่เด่นชัดมาก
“คุณหนู! ท่านกำลังหาอะไรหรือเจ้าคะ?” ไป่หลิงมองทางมู่อวิ๋นซีที่กำลังพลิกกล่องค้นตู้อยู่
“ดีเลย ไป่หลิง” มู่อวิ๋นซีจับนางนั่งลง “เจ้าช่วยข้าคิดหน่อยว่า ข้าจะมอบของขวัญอะไรกับท่านพี่ดี? พี่ชายบอกว่าวันนี้จะพาข้าไปพบนาง นางชอบสิ่งใดกันรึ?”
“บ่าวคิดว่า ไม่ว่าคุณหนูจะมอบสิ่งใด คุณหนูใหญ่จะต้องชอบแน่” ไป่หลิงหัวเราะบอก “คุณหนูใหญ่จิตใจดีแต่เด็ก มิเคยแย่งมิเคยเถียง พูดจาสุภาพเสียงเบา สุภาพ เข้ากันได้ดีกับทุกคน”
“จริงรึ?” เมื่อเห็นไป่หลิงพยักหน้า และคิดถึงคำของมู่จื่ชวนเมื่อวาน หัวใจหวั่นวิตกของมู่อวิ๋นซีจึงสงบลง จากนั้นหันมองตู้ “ก็ควรให้สิ่งใดบ้าง…”
“คุณหนูรอง!”
ในตอนนี้เอง เสียงสาวใช้ดังขึ้นที่ด้านนอกประตู “องค์หญิงเชิญท่านไปลานหย่งเหอเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว”
“ท่านพี่ใหญ่?” มู่อวิ๋นซีอึ้ง
“ใช่เจ้าค่ะ” สาวใช้ด้านนอกรับคำ “บ่าวกลับไปรายงานองค์หญิง ขอให้คุณหนูรองไวสักนิดเจ้าค่ะ”
“รอประเดี๋ยวก่อน!” ไป่หลิงพลันเอ่ยคำ “คุณหนูรองกลับมาด้วยหรือไม่?”
“กลับมากับคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ บ่าวขอตัว”
“คุณหนูรอง?” มู่อวิ๋นซีมองไป่หลิงอย่างสงสัย “ข้ามิใช่…”
“มู่จื่อหลัน คุณหนูรองของครอบครัวลูกคนที่สองเจ้าค่ะ” ไป่หลิงหยิบเสื้อคลุมมาคลุมให้มู่อวิ๋นซี “คุณหนูพึ่งจะกลับมา มิรู้ตื้นลึกหนาบางในเรื่องนี้ มีครั้งหนึ่งคุณหนูใหญ่กับท่านเขยกลับมาเยี่ยมเยือนองค์หญิง กลับพบเห็นคุณหนูรองของครอบครัวลูกคนที่สองตกน้ำเข้าพอดี”
“ตอนนั้นท่านเขยดื่มมากไปสักหน่อย เลยมิได้คิดอะไรและกระโดดลงไปช่วยคุณหนูรองขึ้นมา จังหวะนั้นโดนพวกฮูหยินที่แวะมาเยี่ยมเยือนองค์หญิงพบเห็นเข้าพอดี เลยมีเรื่องเสียหายแพร่ออกไป จากนั้นท่านรองมู่จึงปรึกษากับองค์หญิง ยกคุณหนูรองให้เป็นอนุท่านเขย”
“นับจากนั้น ยามคุณหนูใหญ่กลับมาเยี่ยมเยือนองค์หญิง คุณหนูรองจะตามนางกลับมาด้วยทุกครั้งเจ้าค่ะ”
ที่แท้เป็นเยี่ยงนี้เอง
มู่อวิ๋นซีชะงักฝ่าเท้าหันมองไป่หลิง “คุณหนูรองคนนี้นิสัยใจคอเยี่ยงไร?”
“นับได้ว่าระมัดระวัง รู้ฐานะตนดีเจ้าค่ะ มิว่าจะทำอะไรจะคอยสังเกตสีหน้าคุณหนูใหญ่” ไป่หลิงเขยิบกระซิบข้างหูมู่อวิ๋นซี “หากมิเป็นเช่นนั้น องค์หญิงคงมิยอมอนุญาตให้นางร่วมสามีคนเดียวกับคุณหนูใหญ่ดอกเจ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นซีผงกหัวเล็กน้อย กำลังจะถามต่อ หากเห็นหลิ่วเย่ออกมาจากลานหย่งเหอ จึงเก็บคำไว้
“คารวะคุณหนูรองเจ้าค่ะ” หลิ่วเย่ย่อตัวลงคำนับนางอย่างนอบน้อม ก่อนลุกขึ้น มิเห็นแววแม้แต่น้อยว่านางมีสิ่งใดไม่พอใจ
สายตามู่อวิ๋ฯซีเบนจากตัวหลิ่วเย่กลับมาที่ไป่หลิง “พวกเราไปกันเถิด อย่าให้ท่านย่าร้อนใจ”
ในลานหย่งเหอ องค์หญิงใหญ่กำลังเพ่งมองบาดแผลที่ขมับของมู่ซิ่ว แผลนี้ยาวจากไรผมลงผ่านคิ้วจนถึงหางตา ถึงบาดแผลจะเลือดหยุดแล้ว หากยังมิตกสะเก็ด ทั้งบวมและแดง ดูแล้วน่าตกใจยิ่งนัก
องค์หญิงใหญ่ปวดใจจนพูดออกมา “นี่ทำกระไรกัน? หากรอยแผลเอียงอีกนิด ตามิบอดเลยรึ? แผลลึกปานนี้ ต่อให้หายดีแล้วน่ากลัวจะเหลือรอยแผลเป็นกระมัง? เจ้านี่ เหตุใดจึงมิระวังถึงเพียงนี้”
“องค์หญิง จื่อหลันมิดีเองเจ้าค่ะ ดูแลฮูหยินได้ไม่ดี” มู่จื่อหลันคุณหนูรองที่ยืนก้มหน้าหลุบตาต่ำอยู่ด้านข้างพลันคุกเข่าลง ตาแดงเรื่อ สีหน้ารู้สึกผิด
“จื่อหลัน เจ้ารีบลุกขึ้นมา” มู่ซิ่วหันไปพยุงมู่จื่อหลันลุกขึ้น “ตอนนั้นเจ้ามิได้อยู่ข้างกายข้า ไม่เกี่ยวกับเจ้าดอก”
“นั่นสิ ข้าเองก็มิได้โทษเจ้า” องค์หญิงใหญ่ปลอบมู่จื่อหลันหนึ่งคำ พลางหันมองมู่ซิ่ว “แผลนี้…”
“ท่านย่ามิต้องกังวลใจไปดอกเจ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นซีที่ยืนฟังหน้าประตูได้ครู่หนึ่งค่อยๆเดินเข้ามา และยื่นเม็ดยาสีเหลืองน้ำผึ้งหนึ่งเม็ดในมือให้มู่ซิ่ว “นี่คือยาสร้างเนื้อ ท่านนำมันละลายกับจินชวงเย่าให้ทั่วกัน ไม่เกินสิบวัน แผลนี้จะหายดี ไม่เหลือแผลเป็นเลยสักนิด”
“จริงหรือ?”
มู่ซิ่วรับยาสร้างเนื้อมาอย่างตื้นตันใจ พลางหันมองมู่อวิ๋นซีที่ปักดอกไข่มุกสีน้ำเงินนกยูงสองดอกไว้บนหัว พลันยิ่งรู้สึกคุ้นเคย ดึงมือนางเข้ามาพูดว่า “หลายปีมานี้เจ้าลำบากอยู่ด้านนอกมานานแล้ว ต่อไปหากมีสิ่งใดขาดเหลือ บอกพี่สาวนะ”
“ขอบพระคุณท่านพี่เจ้าค่ะ” มู่อวิ๋นซีรู้สึกอบอุ่นในใจ “เมื่อวานท่านพี่ยังว่าวันนี้จะพาข้าไปพบท่าน ไม่คิดว่าพวกเรายังมิทันไป ท่านก็มาแล้ว”
“ยาของฮูหยินใหญ่หมดแล้ว ฮูหยินไม่วางใจใคร จะไปรับยาเองให้ได้ ยามออกจากจวน ฮูหยินคิดว่าในเมื่อจะออกจากจวนแล้ว เลยแวะมาเยี่ยมเยือนองค์หญิง คุณหนูรองและท่านชายสักหน่อยเจ้าค่ะ” มู่จื่อหลันที่ยืนข้างๆแก้ตัวแทนมู่ซิ่ว
“ยากระไร?” องค์หญิงใหญ่ไม่พอใจเล็กน้อย “ให้คนรับใช้ไปรับมิได้? เจ้ามิใคร่สบาย อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บ กลับต้องให้เจ้าไปรับเอง?”
มู่ซิ่วยิ้มบาง หลุบตาลง “มิเป็นไรดอกเจ้าค่ะ เข้าออกจวนมีรถม้าทั้งหมด ยังมีจื่อหลันคอยเป็นเพื่อนข้า เป็นเพียงแค่น้ำใจเล็กน้อยเท่านั้น”
นางเหลือบตาขึ้นมองมู่อวิ๋นซีและมู่จื่อชวน “ข้าไม่อยู่จวน ท่านย่าคงต้องไหว้วานพวกเจ้าสองคนดูแลแล้ว หากวันใดว่าง ไปเยี่ยมเยือนจวนพวกเราบ้างเถิด”
“ท่านย่า!” นางหันมององค์หญิงใหญ่อีก “แม่สามีข้ายังรอยาอยู่ ข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ วันหลังจะมาเยี่ยมเยือนท่านอีก”
องค์หญิงใหญ่ส่งมู่ซิ่วและมู่จื่อหลันจนถึงหน้าประตูลานหย่งเหออย่างมิใครยินยอม ยามหมุนตัวกลับมาพลันทอดถอนใจมิได้
“ท่านย่ากำลังเป็นห่วงพี่หญิงใหญ่?” มู่อวิ๋นซีมององค์หญิงใหญ่
องค์หญิงใหญ่พยักหน้า “นางน่ะอะไรก็ดี หากชอบเก็บงำไว้ในใจ ต่อให้ได้รับความมิเป็นธรรมก็ไม่ยอมพูด”
“ท่านย่าวางใจเถิด” มู่อวิ๋นซีเหล่มู่จื่อชวนพลางมององค์หญิงใหญ่ปลอบประโลมว่า “ต่อไปหากมิยุ่งกระไร ข้ากับท่านพี่จะแวะไปเยี่ยมเยือนนางบ่อยครั้งขึ้น รับรองว่าจะมิยอมให้นางถูกผู้ใดรังแกแน่”
“เป็นเยี่ยงนั้นก็ดี” องค์หญิงใหญ่นั่งลงบนตั่ง กวักมือเรียกมู่อวิ๋นซีและมู่จื่อชวนมานั่งลง
“ข้ามีเรื่องจะพูดกับพวกเจ้าอีก”
“เมื่อครู่หลิ่วเย่มา และส่งมอบแดงดุจท้อกับแปลงดอกไม้ในมือนางกลับมา บอกว่าเพราะเรื่องจื่อโหรว นางมิมีกะจิตกะใจดูแลการค้าพวกนี้แล้ว” สายตานางมองมู่อวิ๋นซีและมู่จื่อชวนสลับไปมา “พวกเจ้าสองคนมีใครยอมมาดูแลแดงดุจท้อบ้าง?”
มู่จื่อชวนตะลึง ลอบเหล่มู่อวิ๋นซี ก่อนหันบอกองค์หญิงใหญ่ “ท่านย่า ข้าเองขอรับ”
“เจ้ารึ?” องค์หญิงใหญ่แปลกใจ “เจ้ามิชอบเรื่องพวกนี้มิใช่รึ?”
สายตานางชะงักที่ใบหน้ามู่อวิ๋นซีชั่วครู่ ก่อนเข้าใจในทันที ที่แท้มู่จื่อชวนกลัวนางจะเอาเรื่องปวดหัวพวกนี้โยนให้มู่อวิ๋นซี
“ย่อมได้” องค์หญิงใหญ่พยักหน้า “ถึงเวลาค่อยหาคนมีฝีมือ ส่วนเจ้านานๆครั้ง…”
“ท่านย่า!”
มู่อวิ๋นซีพลันออกปากแทรกคำพูดองค์หญิงใหญ่ “ข้าอยากดูแลแดงดุจท้อเจ้าค่ะ”