มู่อวิ๋นซีอึ้งตะลึง ใบหน้าเริ่มแดงเรื่อ
อาจเป็นเพราะบรรยากาศกลิ่นหอมของดอกเหมย นางรู้สึกแต่เพียงว่าอ้อมกอดอบอุ่นเบื้องหน้านี้ คล้ายดั่งเหล้าเลิศรสที่อบบ่มมาเป็นพันปี ทำให้นางลุ่มหลงมัวเมาอย่างควบคุมตนเองมิได้ เพียงคิดแต่ลุ่มหลงต่อไปอย่างนี้ มิสนใจสิ่งอื่นใดอีกต่อไป
นางลอบผ่อนลมหายใจอย่างระมัดระวัง มิกล้ามองหน้าเขา ทำได้เพียงจับจ้องรูปนกกระเรียนที่ปักบนแผงอกเขา “ท่านเองก็ทราบว่าข้าเต้นรำมิเป็น หากเช่นนั้น…มิสู้รอข้าเรียนรู้ได้แล้วค่อยเต้นรำให้ท่านดู”
แววหัวเราะส่องประกายเต็มดวงตาเขา “เมื่อครู่มิใช่เต้นรำได้ดียิ่ง?”
“หากนั่นเป็นเพราะท่าน” นางเงยหน้าขึ้น ปะทะเข้ากับแววหัวเราะในดวงตาเขา พลันรู้สึกกระตุกหัวใจวาบหวามชา ผุดขึ้นเป็นวงแล้ววงเล่า วกวนไปมา
“ตอนนี้ก็มีข้าเช่นกัน”
มือใหญ่ที่จับกุมไหล่นางออกแรงเล็กน้อย ทำให้นางหมุนตัวมายืนเคียงเขา เขาเงยหน้า นางก็เงยหน้าตาม หิมะจำนวนมากมายปลิวไสวเข้าหาพวกเขา มุมปากนางเผยรอยยิ้มยินดีขึ้น
มือใหญ่ที่จับอยู่บนไหล่นางลูบลงจนถึงเอวแน่งน้อยของนาง เขาพยายามสกัดกั้นความคิดจะรั้งนางเข้ามากอดอย่างยิ่งยวด ลงแรงที่เท้าเล็กน้อย และพานางพุ่งทะยานลอยขึ้น
ดอกเหมยแดงดุจเพลิงไฟพลิ้วไสวภายใต้ฝ่าเท้าพวกเขา ประหนึ่งภูตน้อยบนก้อนเมฆ
ความยินดีปรีดาอย่างบริสุทธิ์ใจค่อยๆแผ่ซ่านเข้าสู่ส่วนลึกในใจมู่อวิ๋นซี คลายความตึงเครียดที่คิ้วนาง เผยเสียงหัวเราะจากก้นลึกของหัวใจออกมาอย่างมิรู้ตัว
นางเหลือบตาขึ้นมองชายที่อยู่ด้านข้าง คำพูดที่ผุดขึ้นในใจมิรู้กี่พันกี่หมื่นครั้งเผลอพูดออกปากอย่างมิรู้ตัวว่า “ท่านช่างรูปงามนัก”
“เหอะเหอะเหอะ….” เฟิ่งเชียนเย่พลันหัวเราะขึ้นมา เสียงกลั้วหัวเราะต่ำในลำคอนั้นสะท้อนไปทั่วทุกทิศของสวนดอกเหมย ประหนึ่งบทเพลงที่ชวนให้ผู้คนหลงใหลมัวเมา
ใต้ฝ่าเท้าเขาใช้แรงเพียงนิด ต้นเหมยสะบัดเล็กน้อย หิมะที่เกาะกุมบนกิ่งก้านและดอกไม้ค่อยๆร่วงหล่น
มู่อวิ๋นซียังมิทันอุทานด้วยความตกใจ เฟิ่งเชียนเย่ก็ทะยานไปถึงต้นเหมยต้นต่อไป และเพิ่มน้ำหนักมากขึ้น หิมะบนต้นก็ร่วงหล่นไปเรื่อยๆ เขาดูเหมือนเป็นเด็กไร้เดียงสาผู้หนึ่ง
“ท่านชายเย่” นางหันมองชายข้างกายนางพลางถาม “ท่านอายุเท่าใดกันรึ?”
เฟิ่งเชียนเย่หมุนตัวพานางไปเหยียบลงบนพื้นหิมะ พลางถอนหายใจแผ่วเบา “ดูให้ดีล่ะ”
“กระไรรึ?”
พอคำพูดแปลกนั่นออกปาก เฟิ่งเชียนเย่ก็พานางพุ่งทะยานขึ้นสูงอีกครั้ง
จนมองเห็นได้ทั่วทั้งสวนดอกเหมย
ต้นเหมยที่พึ่งโดนเฟิ่งเชียนเย่เหยียบในสวนไปนั้นเรียงรายกันเป็นตัวหนังสือสองตัวว่า อวิ๋นซี!
มู่อวิ๋นซีสะท้านใจอย่างบอกไม่ถูก
“ยินดีกับเจ้าในวันนี้ที่ได้ชัยชำนะทั้งหมด”
เฟิ่งเชียนเย่พาตัวมู่อวิ๋นซีซึ่งยังตกตะลึงอยู่ค่อยๆลงพื้นหิมะ พลางย่อเอวลงมาหยิบร่มกระดาษเคลือบน้ำมันบนพื้นขึ้นมา และยกมันขึ้นเหนือหัวนาง พลางช่วยนางปัดหิมะบนตัวนางออกไปเบาๆ “ร่ม!”
นางยื่นมือออกไปรับ เขาหมุนตัวจากไป และหายไปท่ามกลางหิมะเต็มฟ้า
“ขอบพระคุณท่านนัก”
มู่อวิ๋นซีดึงสายตากลับ สายตานางยังคงจับจ้องไปยังดอกเหมยสีแดงบานสะพรั่งเบื้องหน้า ประหนึ่งว่าทั้งหมดเมื่อครู่เป็นเพียงความฝันเท่านั้น ความพยายามของเขา อวิ๋นซีสองคำที่แฝงอยู่ในนั้น มีเพียงเหล่าหยดหิมะภายใต้ต้นเหมยพวกนั้นเท่านั้นที่รู้
จนถึงกลางดึก หิมะที่ตกมาเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มถึงหยุดลง จันทร์เสี้ยวกระจ่างกลางท้องฟ้า ส่องสว่างทุกสิ่งราวกับเป็นกลางวัน
“คุณหนู ถึงเวลาเข้านอนแล้วเจ้าค่ะ!” ไป่หลิงเตือนมู่อวิ๋นซี
“ได้ เจ้าเองก็ไปพักผ่อนเถิด จริงสิ เตือนลู่เอ๋อร์ หลายวันนี้ให้นางอยู่ในแต่ห้อง มิต้องไปที่ใดทั้งสิ้น พรุ่งนี้ข้าจะรายงานท่านย่า ให้ย้ายนางและนางโจวไปรับใช้ที่ลานหย่งเหอ”
คืนนั้น หลังจากหลิ่วเย่ไปแล้ว ลู่เอ๋อร์มาขอเข้าพบนาง บอกว่าหญิงรับใช้ของห้องดอกไม้ใช้มารดานางเป็นตัวประกันข่มขู่นางให้ขโมยโบตั๋นสามสี
วันต่อมา เฟิ่งเชียนเย่สืบได้ถึงความลับของโบตั๋นสามสีและเถาม่วง นางจึงแผนซ้อนแผนให้ลู่เอ๋อร์เอาโบตั๋นสามสีสองดอกไปใช้
หลิ่วเย่มิได้โง่ หลังจากผ่านวันนี้ไปจักต้องได้สติกลับมาแน่ ถึงเวลานั้นหากมิกล้ามาหาเรื่องนาง มิแน่อาจจะไปหาเรื่องลู่เอ๋อร์แทน นางจึงเอาพวกนางไปรับใช้ที่ลานหย่งเหอ หลิ่วเย่จะได้ทำกระไรพวกนางมิได้ ได้แต่ยอมรับผลไป
พอไป่หลิงจากไป มู่อวิ๋นซีจึงร้องออกมาว่า “ท่านชายเย่!”
แสงสว่างเคลื่อนคล้อย เฟิ่งเชียนเย่ปรากฏตัวต่อหน้านาง “มีกระไรรึ?”
“ถอดเสื้อคลุมออก”
เฟิ่งเชียนเย่อึ้ง เลิกคิ้วเล็กน้อย สายตาครุ่นคิด “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“มิได้ ท่านอย่าเข้าใจผิด” ใบหน้ามู่อวิ๋นซีร้อนผ่าวขึ้นมา หมุนตัวหยิบชุดเย็บปักจากใต้หมอน “วันนี้ข้าเห็นเสื้อคลุมท่านขาด เลยอยากช่วยท่านปะชุน”
เฟิ่งเชียนเย่หันมอง มุมหนึ่งของเสื้อคลุมขาดเป็นรูแล้ว
“รบกวนด้วย!” เขาแกะเชือกผูก ถอดเสื้อคลุมยื่นให้มู่อวิ๋นซี
มู่อวิ๋นซีจับจ้องมองรูนั้น และปักเข็มปะชุนอย่างรวดเร็ว ก้อนเมฆหนึ่งก้อนค่อยๆปักลงไปปกปิดรูนั้นอย่างรวดเร็ว
นางใส่ด้ายเข้าปาก ใช้ฟันกัดขาด และขมวดปมอย่างเชี่ยวชาญ จากนั้นใช้เข็มยาวปัก จนขมวดปมนั่นซ่อนอย่างมิดชิด
นายคืนเสื้อคลุมให้เขา “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“ดีจริง” เขาใช้มือลูบก้อนเมฆก้อนนั้นเบาๆ ไม่มีร่องรอยอื่นใดสักนิด คล้ายดั่งกับว่ามันถูกปักไว้ตรงนี้แต่แรกแล้ว
“ท่านชายเย่” มู่อวิ๋นซีลังเลเล็กน้อย พลางมองเขา “คืนนี้ท่านพักผ่อนที่ไหนรึ?”
ทุกครั้งที่นางเอ่ยปากเรียก เขาจะปรากฏตัวขึ้นต่อหน้านางอย่างรวดเร็ว ดังนั้นนางจึงคิดว่า บางทีเขาอาจจะคอยเฝ้าอยู่นอกห้องก็เป็นได้
“เช่นนั้น” นางหลุบตาลง ลังเลชั่วครู่จึงพูดขึ้นอีก “ด้านนอกอากาศหนาวเหน็บนัก หากท่านมิพักผ่อนด้านนอก เช่นนั้นท่านเลือกห้องที่ท่านชอบสักห้องเถิด มู่จื่อโหรวย้ายออกไปแล้ว คนในลานชิงจื่อก็เปลี่ยนหมดแล้ว มิจำเป็นต้องคอยเฝ้าคุ้มครองข้าทั้งวันทั้งคืนเยี่ยงนี้แล้ว”
“เจ้ากำลังเป็นห่วงข้า?” เฟิ่งเชียนเย่โน้มตัว สายตาลุ่มลึกนั่นจับจ้องมาที่นาง ประหนึ่งเพลิงไฟกองใหญ่แผดเผาต่อหน้านาง
แผดเผาเร่าร้อนจนหัวใจนางเต้นมิเป็นส่ำ ลำคอแห้งผาก
นางกลัวว่าตนเองจะละลายภายใต้สายตาเยี่ยงนี้ จึงพลันลุกขึ้น หันหลังไป “ใครเป็นห่วงท่านกัน? ข้าทำเพื่อตัวข้าเองต่างหาก หากท่านหนาวเหน็บจนไม่สบายไป จะปกป้องข้าได้เยี่ยงไร?”
ถึงแม้จะพูดเช่นนั้น หากแก้มแดงเรื่อของนางบ่งบอกชัดเจนว่านางพูดมิตรงกับใจ
แววหัวเราะแวบผ่านดวงตาเฟิ่งเชียนเย่ ริมฝีปากขยับเล็กน้อย คล้ายจะเปิดปาก หากคิ้วพลันขมวดมุ่น และหายตัวไปไร้ร่องรอย
ผ่านไปนานมิได้ยินคำพูดใด มู่อวิ๋นซีอดหันมามองมิได้ หากด้านหลังกลับไร้ซึ่งเงาร่างคนแล้ว
นางผิดหวังเล็กน้อย เม้มปาก และย่อตัวลงเป่าเทียนดับลง นางคิดมากไปเอง เขาเป็นเพียงมือปราบที่นางจ้างมา
เพียงเท่านั้นเอง
และวินาทีนี้ ร่างเฟิ่งเชียนเย่ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังภูเขาจำลองของด้านข้างลานชิงจื่อ
เงาดำร่างหนึ่งวูบมาคุกเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้าเขา “เจ้านาย!”
“เรื่องอะไร?” เฟิ่งเชียนเย่พยักเพยิดริมฝีปากล่าง เป็นเชิงบอกให้เขาลุกขึ้นรายงาน
เงาดำนั้นลุกขึ้น “หลายวันนี้เขามิได้ไปห้องเจ้านายแล้ว หากกลับลอบใช้เงินจำนวนมากตามหาเจ้านาย บอกว่าเป็นต้องพบคน ตายต้องพบศพ”
เขาช่างเป็นพี่ชายที่ดีจริงๆ
เฟิ่งเชียนเย่ยิ้มเย็น แววตาเคร่งขรึม ไม่รู้เหตุใดจึงนึกถึงคู่พี่น้องมู่อวิ๋นซีและมู่จื่อชวน พลันในใจรู้สึกเศร้าขึ้นมา
“ยังมีอะไรอีก?” เท่าที่รู้จักเขา เขาน่าจะลงมือแล้วกระมัง
“นเจ้านายคาดการณ์ได้แม่นยำยิ่ง ระยะนี้เขาพบหน้ากับใต้เท้าผิงจุ่นลิ่งถี่นัก มิทราบว่าวางแผนกระไรกันอยู่” เงาดำลังเลเล็กน้อย เลียบเคียงถาม “นายท่าน จะบอกเขาหรือไม่ขอรับว่าท่านยังมิตาย?”(ใต้เท้าผิงจุ่นลิ่งเป็นตำแหน่งในกรมพาณิชย์)