เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 32 จัดการกับปัญหาหลังภัยพิบัติ นางจะฆ่าข้า

แป้งท้อธวัลพรรณที่เมื่อครู่องค์หญิงใหญ่มอบเป็นของขวัญออกไป เป็นสิ่งที่นางตระเตรียมไว้ก่อนแล้ว และในนั้นยังเพิ่มเกสรดอกฝูซิ่วฉิว หลังจากใช้แล้วจะทำให้ใบหน้าเกิดผื่นแดง หรืออาจจะทำให้ทั้งใบหน้าเน่าเละได้เลยทีเดียว
การที่พวกเขาตระเตรียมแป้งท้อธวัลพรรณชนิดพิเศษนี้ไว้ เพื่อให้เหล่าฮูหยินที่มาในวันนี้เคียดแค้นองค์หญิงใหญ่ หากเป็นเยี่ยงนี้แล้วจะได้มิมีผู้ใดไปสืบค้นสาเหตุการตายขององค์หญิงใหญ่อีก และยิ่งมิมีผู้ใดออกหน้าแทนมู่จื่อชวน มู่อวิ๋นซีด้วย
หากเรื่องราวบนโลกคาดเดาได้ยาก ผู้ใดจะรู้องค์หญิงใหญ่กลับมิเป็นอันใดเลย
“นายท่าน ทำเยี่ยงไรดี?” หลิ่วเย่ร้อนรนขึ้นมา “หากเกิดใบหน้าพวกนางเป็นอะไร คนอื่นยังมิเท่าไหร่ หากฮูหยินฉินผู้นั้นมิยอมความเป็นแน่ นางต้องมาเข้าเฝ้าองค์หญิงใหญ่เพื่อสืบสาวราวเรื่อง ถึงเวลานั้นจะทำเยี่ยงใดกันดี? นายท่าน! ท่านรีบหาวิธีสิเจ้าคะ”
“ข้าจะทำอันใดได้? สิ่งที่มอบออกไปแล้วจะเรียกคืนได้กระนั้นรึ?” มู่เซิ่งคิ้วขมวดมุ่น เดินไปมาเป็นหนูติดจั่น
ระหว่างร้อนรน เขาพลันนึกถึงคำพูดของมู่อวิ๋นซีขึ้นมาได้…
ท่านย่าข้าพึ่งประสบเคราะห์ภัย เจ้าก็รีบจัดการส่งหลานชาย หลานสาวนางเข้าตะลาง จากนั้นค่อยไปซื้อตัวผู้คุม มิแน่อาจจะมีคนใดคนหนึ่งเกิดเหตุร้าย ไม่อาจรอจนถึงวันที่ใต้เท้าศาลต้าหลี่พิพากษาได้ ข้ากับพี่ชายตายอย่างกะทันหัน ถึงเวลานั้นไม่เพียงแค่แดงดุจท้อ ทั่วทั้งตระกูลมู่คงตกเป็นของเจ้ากระมัง? ช่างวางแผนได้ดียิ่งนัก!
มู่เซิ่งตกใจเป็นอันมาก องค์หญิงใหญ่ ฟื้นขึ้นมามิสอบถามอันใด พลันลงโทษจินซิ่งและมู่จื่อโหรวทันที เห็นได้ชัดว่า นางรู้ดีถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนี้ เยี่ยงนั้นคำพูดของมู่อวิ๋นซีนางคงได้ยินทั้งหมดแล้ว ในใจนางระแวงเขาแล้วใช่หรือไม่?
“หลิ่วเย่!” เขาพลันหันไปทางหลิ่วเย่ “เจ้ามอบแดงดุจท้อให้องค์หญิงใหญ่เถิด”
หลิ่วเย่มองหน้ามู่เซิ่งอย่างมิเชื่อสายตา “นายท่าน ท่านว่ากระไรน่ะ? จะทำเยี่ยงนั้นได้เช่นไร คราแรกพวกเราตกลงกันแล้วมิใช่รึ?”
“เหอะ!” มู่เซิ่งยิ้มเย็น “ไม่อยากยกให้ใช่หรือไม่? ได้ งั้นต่อไปหากเกิดเรื่องอันใดขึ้น เจ้ารับผิดชอบเองเถิด”
หลิ่วเย่มองมู่เซิ่งด้วยสีหน้าน้อยใจ มู่เซิ่งถอนหายใจยาวออกมา พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ในบางคราการถอยมิใช่เพื่อถอย หากเพื่อไปข้างหน้าได้ดียิ่งกว่าเดิม วางมือในตอนนี้เพื่อให้เอากลับมาในวันหน้าได้ดียิ่งขึ้น ข้าจะให้ร้ายเจ้างั้นรึ?”

“ข้าเชื่อคำพูดนายท่านเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะไปทูลองค์หญิงใหญ่ เพียงแต่จื่อโหรว…” หลิ่วเย่ตาแดงฉับพลัน “นางบาดเจ็บสาหัสเพียงนั้น ต่อไปหากหลงเหลือรอยแผลอันใดบนใบหน้า ชาตินี้เท่ากับว่าโดนทำลายย่อยยับแล้ว? ในมือมู่อวิ๋นซีมียาสร้างเนื้อ พวกเราไปขอแบ่งปันนางสักครึ่งเม็ดเป็นไร?”
“เจ้าคิดว่านางจะให้งั้นรึ? ต่อให้ข้าเอ่ยปาก ยังมิแน่ว่านางจะรับปาก” มู่เซิ่งสีหน้าเคร่งเครียด
“งั้นจะทำเยี่ยงไรดี?” หลิ่วเย่ครุ่นคิดหาหนทาง พลันดวงตาเป็นประกายมองไปทางมู่เซิ่ง “นางไม่ให้พวกเรา ต้องมีคนยอมให้เป็นแน่ เพียงแต่…” นางมองมู่เซิ่งอย่างลำบากใจ
มู่เซิ่งเข้าใจ “เอาล่ะ เรื่องนี้ข้าไปพูดเอง”
หลิ่วเย่คำนับขอบพระคุณ คิ้วที่ขมวดมุ่นจึงคลายลง
“พวกเราต้องส่งจื่อโหรวแต่งไปบ้านนอกจริงหรือ? อย่างนั้นพวกเราแม่ลูกชาตินี้จะมิมีวันได้พบกันอีกงั้นรึ? สิบกว่าปีมานี้พวกเราแม่ลูกพบกันหากมิรู้ว่าเป็นแม่ลูกกัน บัดนี้พึ่งจะได้รู้ความจริงกลับต้องแยกจากกันอีก ใจข้าเจ็บปวดราวมีดกรีด พวกเรารั้งนางอยู่ในซ่างจิงได้หรือไม่?”
นางเหล่สีหน้ามู่เซิ่งพลางว่า “อย่างเช่นคุณหนูรอง พวกเราหาคู่ครองที่ดีให้นาง ให้นางเข้าไปเป็นสนมก่อน เยี่ยงนี้จะได้ไม่ต้องออกไปพบปะเจอหน้าใคร ผ่านไปราวสามปีห้าปี รอผู้คนลืมเรื่องในวันนี้ พวกเราค่อยหาทางยกนางเป็นเมียแต่ง นายท่าน?”
มู่เซิ่งมองสีหน้าน่าสงสารของหลิ่วเย่อยู่นาน ในที่สุดจึงยอมพยักหน้า “ก็ดี เรื่องนี้เจ้าไปพูดกับองค์หญิงใหญ่”
สายตาหลิ่วเย่ฉายแววปรีดา “เจ้าค่ะ ข้าจะไปบอกข่าวดีนี้กับจื่อโหรว นางต้องยินดีแน่”
พอถึงหน้าประตู หลิ่วเย่ชะงักฝ่าเท้าหันกลับมามองมู่เซิ่ง “นายท่าน จินซิ่งล่ะจะทำเยี่ยงไร?”
“หากให้เงินรางวัลมาก ต้องมีคนใจกล้าเป็นแน่ คงทำได้แต่ให้เพชฌฆาตจบชีวิตนางซะ” มู่เซิ่งสีหน้าตึงเครียด “แต่ว่าระยะนี้เจ้าต้องจับตาดูจื่อโหรวไว้ให้ดี หากว่านางก่อเรื่องอันใดขึ้นอีก คงมิมีผู้ใดช่วยนางได้แล้ว”

หิมะโปรยปรายกลางท้องฟ้าแทบจะกลบมู่จื่อโหรวมิด เกล็ดหิมะที่ตกลงบนแก้มบวมปูดของนางพลันแปรเปลี่ยนเป็นหยดน้ำเย็นเฉียบ ความหนาวเหน็บค่อยๆซึมซาบสู่ผิว หนังและกระดูกของนาง
หมดสิ้นแล้ว!
นางหมดสิ้นทุกสิ่งแล้ว!
นับจากวันนี้ไป นางมิใช่หลานสาวแท้ๆขององค์หญิงใหญ่อีกแล้ว และมิใช่คุณหนูรองของเรือนใหญ่อีก แต่เป็นเพียงตัวตลกที่มิมีผู้ใดรักใคร่คนหนึ่งเท่านั้น
และทั้งหมดนี้เป็นฝีมือมู่อวิ๋นซี
นางหยุดชะงักฝ่าเท้าทันใด มองจับจ้องไปที่หญิงในชุดจันทร์ลอยสีม่วงเข้มผู้เดินถือร่มกระดาษเคลือบน้ำมันมาตามทางเดินเล็ก ความโกรธพุ่งขึ้นหัวราวม้าป่าหลุดจากบังเหียน
แพศยา!
นางดึงปิ่นปักผมทองที่หัวลงมากำไว้ในมือแน่น และพุ่งเข้าใส่หญิงนางนั้น “ตายซะ!” ยังมิทันได้เข้าใกล้มู่อวิ๋นซี นางพลันสะดุดล้มลงพื้น

มู่อวิ๋นซีชะงักฝีเท้า หมุนตัวมามองมู่จื่อโหรวที่อยู่บนพื้น “คุณหนูสามมิจำเป็นต้องคารวะข้าเยี่ยงนี้”
“แพศยา!” มู่จื่อโหรวเงยหน้าขึ้นสายตามาดร้าย ดิ้นรนหากมิได้ลุกขึ้นมา “เจ้าพอใจแล้วใช่หรือไม่? ข้าไม่มีท่านย่า พี่ชายอีกแล้ว ข้าไม่มีอะไร…”
“ถุ้ย!”
มู่อวิ๋นซีสบถออกมาหนึ่งคำ ก้มหน้ามองดูมู่จื่อโหรวที่พื้นพลางยิ้มเย็น “มิเคยเห็นผู้ใดหน้าไม่อายเท่าเจ้ามาก่อนเลย นั่นท่านย่าของผู้ใดกัน? พี่ชายของใครกัน? นับจากวินาทีที่ข้าถือกำเนิด พวกเขาคือท่านย่าและพี่ชายของข้า เจ้าแย่งและครอบครองพวกเขาเป็นเวลาสิบหกปีเต็ม”
“สิบหกปีมานี้ พวกเขารักใคร่เจ้าราวแก้วตาดวงใจ หากเจ้าเล่า? เจ้าตอบแทนพวกเขาเยี่ยงไร? ยืนดูพวกเขาคนหนึ่งโดนวางยาพิษ อีกคนโดนใส่ร้ายว่าเป็นฆาตกรหน้าตาเฉย อย่าว่าแต่จะช่วยพวกเขา มีสักวินาทีหรือไม่ที่เจ้าเสียใจเพื่อพวกเขา? มิมี! เจ้าคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น”
“เจ้าคิดว่าทุกคนต้องรายล้อมอยู่รอบตัวเจ้าตลอดเวลา ทุกคนจักต้องคอยกระทำทุกอย่างอย่างคอยดูสีหน้าเจ้า มิว่าผู้ใด หากทำอะไรมิถูกใจเจ้าแม้เพียงนิด นั่นคือโทษสมควรตาย ท้ายที่สุดแล้วมิใช่พวกเขาละทิ้งเจ้า แต่เป็นเจ้าต่างหากที่ทอดทิ้งพวกเขา ตอนนี้เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาคร่ำครวญ มิพอใจกันอีกเล่า?”
มู่อวิ๋นซียกเท้าถีบปิ่นปักผมทองคำในมือนางออก ทำให้หิมะกระจายเต็มตัวมู่จื่อโหรว
“อยากฆ่าข้า? เจ้ามิกลัวท่านย่าข้าจับเจ้าสับเป็นหมื่นๆชิ้น มู่จื่อโหรว ข้าเตือนเจ้า อย่าปรากฏกายต่อหน้าข้าอีก มิอย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าอยู่มิสู้ตาย”
“เจ้า…”
มู่จื่อโหรวกำลังจะด่าว่า พลันได้ยินเสียงหิมะแซกๆ นางหันไปมองฉับพลัน และเห็นมู่จื่อชวนกำลังเร่งรุดมาทางนี้ บังเกิดความปีติ ร้องตะโกนว่า “ท่านพี่! ช่วยข้าด้วย มู่อวิ๋นซีนางจะฆ่าข้า”
มู่อวิ๋นซีหัวเราะ แต่มิอธิบายอันใด เพียงเบนตามองไปยังมู่จื่อชวนที่เดินเข้ามา หากในใจกลับอดหวั่นเกร็งขึ้นมามิได้
“ท่านพี่!”
มู่จื่อโหรวผันร่างเข้ารั้งปลายชุดของมู่จื่อชวน เงยหน้ามองเขาพลางทำสีหน้าน่าสงสาร “ท่านได้ยินหรือไม่? มู่อวิ๋นซีบอกว่าจะให้ข้าอยู่มิสู้ตาย นางจะฆ่าข้า”

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset