หลังจากเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดนานกว่าสองชั่วโมง ในที่สุดหลัวเขอตี้ก็ชะลอความเร็วลงเล็กน้อย ที่บริเวณเบื้องหน้าของเขา ค่ายทหารที่โจวเหว่ยชิงเคยมาพบโดยบังเอิญก็ปรากฏในสายตาทันที ส่วนทหารลาดตระเวนก็เห็นพวกเขาเช่นกัน
โจวเหว่ยชิงถามอย่างสงสัย “ นี่คือหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์?”
หลัวเขอตี้ส่งเสียงหึๆ แล้วพูดว่า “ไม่ใช่ พวกเขาเป็นเพียงทหารยามที่ประจำการอยู่ภายนอกที่นี่ ที่แถวนี้มีทหาร 3 กองพันที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของกรมทหารที่ 5 ประจำอยู่และพวกเขาขึ้นตรงต่อราชวงศ์เท่านั้น ที่นี่มีหอสังเกต การณ์หลายแห่ง และป้อมยามที่ซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆเพื่อคอยอารักขาค่ายแห่งนี้ ส่วนบริเวณด้านในสุดเป็นที่ๆ หน่วยเกา ทัณฑ์สวรรค์ของเราตั้งอยู่”
ขณะที่กำลังอธิบาย เขากเดินนำทั้งสองคนเข้าไปแล้ว ทหารที่ลาดตระเวนอยู่บริเวณนั้นตื่นตัวอย่างมาก แต่เมื่อเห็นว่าเป็นหลัวเขอตี้ พวกเขาก็หยุดทำความเคารพอย่างนอบน้อมทันที และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ได้คุมตัวเหว่ยชิงหรือซ่างกวนปิงเอ๋อร์เอาไว้ เพียงแค่มองดูพวกเขาด้วยสายตาแปลกๆ เท่านั้น
เมื่อพวกเขาเข้าไปในค่ายทหาร ทั้งสองคนก็ตระหนักได้ว่ามีคนจำนวนมากอยู่ภายใน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทหารส่วนใหญ่ที่ประจำการอยู่ที่นี่น่าจะเป็นหน่วยลาดตระเวนและทหารยาม จากการลาดตระเวนที่เข้มงวดซึ่งเห็นได้ชัดเจนเมื่อสักครู่นี้ หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ต้องเป็นศูนย์กลางการคุ้มครองของกองพันทหารทั้ง 3 กองอย่างแน่นอน
หลังจากผ่านเข้าไปในค่ายได้ประมาณ 500 เมตร พวกเขาเดินก็ผ่านป่าผืนหนึ่ง จากนั้นก็เดินทะลุเข้าไปถึงสถานที่โล่งๆแห่งหนึ่ง ทันใดนั้น ลานกว้างขนาดย่อมๆ ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์
ลานนี้ถูกล้อมไว้ด้วยรั้วกำแพงสูง 3 เมตรที่ทำจากแผ่นไม้กระดานหนาๆ มัดด้วยเถาวัลย์เพื่อป้องกันสัตว์ป่าขนาดเล็กๆ เข้ามากล้ำกรายพื้นที่ข้างใน ลานแห่งนี้ค่อนข้างใหญ่ จากการประมาณด้วยสายตาดูเหมือนจะกว้างประมาณ 100 เมตร ประตูไม้ขนาดใหญ่ 2 บานแง้มออกกว้าง เผยให้เห็นลานกว้างและบ้านไม้ที่เรียงรายเป็นแถวยาวอยู่ด้านหลัง บ้านไม้แต่ละหลังตั้งอยู่แยกกันบริเวณส่วนหลังสุดของลานกว้างนี้ และทั้งหมดมีจำนวนประมาณ 12 หลัง
เมื่อหลัวเขอตี้นำทั้งสองคนเข้าไปในลานนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นอย่างที่คาดคิดไว้ เมื่อพวกเขาเข้ามาในลาน แม้มันจะให้ความรู้สึกราวกับว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในป่าอีกต่อไป แต่อากาศจะยังคงสดชื่นและบริสุทธิ์เหมือนอยู่ในป่า
โจวเหว่ยชิงได้แต่คิดกับตัวเองในใจว่า: คนในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์นี้ช่างรู้จักสรรหาความสุขให้ตัวเองจริงๆ!
“เด็กใหม่มาแล้ว ออกมา!” หลัวเขอตี้ยืนอยู่กลางลานและตะโกนออกมาจนสุดเสียง
“ตาแก่เจ้าเล่ห์คนนี้นี่! เจ้าจะตะโกนทำไม ไม่รู้หรือว่าพวกเราทุกคนมีภารกิจที่จะต้องทำวันพรุ่งนี้?” ประตูบ้านไม้ที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือเปิดออกอย่างกะทันหัน จากนั้นก็มีชายคนหนึ่งเดินออกมา ชายคนนี้เป็นคนที่มีขนาดร่างกายสมส่วน ความสูงประมาณ 1.7 เมตร ผมสั้นสะอาด ไหล่กว้าง กล้ามเนื้อบนไหล่ดูตึงแน่นและนูนขึ้นมาราวกับเนินเขาลูกเล็กๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้สูงมาก แต่กลิ่นอายของเขาก็แผ่ความรู้สึกหนักแน่นและมั่นคงออกมา มองแล้วเขาอาจมีอายุประมาณ 40 ปี หน้าตาของเขาจัดว่าธรรมดา แต่ดวงตาของเขากลับคมกริบและแฝงความดุร้ายราวกับภูเขาไฟที่รอวันปะทุ
หลัวเขอตี้ยิ้มแย้มและพูดว่า “โมโม่น้อย เด็กใหม่ทั้ง 2 คนนี้ถูกตาแก่โจวแนะนำมา เราไม่มีเด็กใหม่มานานแล้ว และแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะรับคนใหม่เข้ามา แต่ท้ายที่สุดข้าก็พบกับพวกเขาจนได้ และในเมื่อพวกเขามาถึงทันเวลาพอดี นั่นหมายความว่าข้าก็สามารถเข้าร่วมภารกิจในวันพรุ่งนี้ได้เช่นกัน”
ชายวัยกลางคนหันมามองซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโจวเหว่ยชิง ท่าทีของเขาดูเฉื่อยชาเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นเขาก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “ข้าชื่อฮั่นโม่ ตาแก่เจ้าเล่ห์! ถ้าเจ้าเรียกข้าว่าโมโม่น้อยอีกครั้ง ข้าจะทำลายเหล้าที่เจ้าซ่อนไว้” เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังกลับเข้าไปในบ้านของเขาก่อนจะกระแทกประตูปิดเสียงดังปัง
หลัวเขอตี้ยักไหล่อย่างขอไปทีและพูดว่า “อย่าไปถือสาเขาเลย เขาเป็นแบบนั้นกับทุกคนนั่นแหละ ในบรรดาหน่วยของพวกเรา เขาเป็นคนที่เย็นชาที่สุด”
“โอ้ เด็กใหม่อยู่ที่นี่หรอกหรือ? วะฮ่าๆ มีหญิงงามด้วย! ยอดเยี่ยมมาก! ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่พวกเจ้าทั้งคู่มาเข้าร่วมกับพวกเรา!” ในขณะนั้นเอง ร่างใหญ่โตของใครบางคนก็โผล่ออกมา เพียงไม่กี่วินาทีเขาก็มาอยู่ตรงหน้าโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้ว
ชายคนนี้สูงมาก อาจพูดได้ว่า 1.9 เมตรเลยทีเดียว อีกทั้งเขายังมีร่างกายล่ำสันแข็งแรง ดูเหมือนว่าเขาจะแก่กว่าฮั่นโม่ ผมสีแดงของเขายุ่งเหยิงแทบไม่เป็นทรง ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นถูกจัดวางอยู่บนที่ใบหน้าที่ดูห้าวหาญ เต็มไปด้วยจิตวิญญาณนักรบและความแข็งแกร่ง บนใบหน้าของเขาแสดงถึงการต้อนรับอย่างอบอุ่น ซึ่งแตกต่างกับสีหน้าของฮั่นโม่ก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก
“ข้าชื่อเกาเฉิน น้องชาย น้องสาว พวกเจ้าชื่ออะไรรึ?” เกาเฉินเดินมาข้างหน้าก่อนจะโอบแขนรอบไหล่ของหลัว เขอตี้และถามคนตรงหน้า
“ข้าคืออ้วนน้อยโจว นางคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ท่านสบายดีหรือ ท่านอาวุโสเกา” โจวเหว่ยชิงทักทายอย่างเรียบง่าย
เกาเฉินหัวเราะออกมาเสียงดัง เขากล่าวว่า “ผู้อาวุโสอะไร? ข้าแก่กว่าพวกเจ้าไม่กี่ปี เรียกข้าว่าพี่ชายเกาเฉินก็พอ ตาแก่เจ้าเล่ห์ เจ้าดูแลพวกเขาให้ดี ข้าจะกลับไปเตรียมลูกธนูของข้ากับฮั่นโม่” หลังพูดจบ เขาก็โบกไม้โบกมือให้โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก่อนจะหันหลังกลับไป
หลัวเขอตี้ยักไหล่อีกครั้งแล้วพูดว่า “หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ของพวกเรามีทั้งหมด 7 คน แต่ตอนนี้เหลือพวกเราเพียง 5 คน ที่อยู่บ้านเพราะอีก 2 คน ออกไปทำภารกิจ เกาเฉินกับฮั่นโม่เป็นเพื่อนร่วมบ้านกัน แล้วก็มีอีก 2 คน ที่มีบ้านอยู่ใกล้ๆ นี่”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “พี่ชายเกาเฉินดูเหมือนจะเป็นคนดีมากทีเดียว”
ริมฝีปากของหลัวเขอตี้กระตุกเบาๆ เขายิ้มแล้วพูดว่า “คนดีเรอะ!? ในบรรดาสองคนนี้ ถ้าข้าต้องเลือกเพียงคนใดคนหนึ่งมาเป็นเพื่อน ข้าจะต้องเลือกฮั่นโม่แทนเกาเฉินอย่างแน่นอน! แม่นางน้อย เจ้ารู้ฉายาของเกาเฉินไหม? ฉายาของฮั่นโม่คือป้อมธนู ส่วนฉายาของเกาเฉินคือลูกปืนใหญ่ ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ของเรา ระหว่างที่การประเมินผลทดสอบ เกาเฉินได้รับคำชมโดยพร้อมเพรียงกันว่า: หากจะลอบสังหารคนหรือฆ่าวางเพลิง ให้เรียกหาเกาเฉิน แม้จะนับจำนวนศพที่พวกเราทั้งหมด 6 คนเคยฆ่ารวมกันก็ยังไม่เท่าที่เขาฆ่าเพียงคนเดียวด้วยซ้ำ เกาเฉินนั้นเป็นนักฆ่าที่กระหายเลือดอย่างแท้จริง”
“ตาแก่เจ้าเล่ห์นี่! อย่าไปทำให้เด็กๆ กลัวได้ไหม!” ในขณะนั้น เสียงที่น่าฟังเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลังพวกเขา เมื่อโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์หันกลับไป พวกเขาก็เห็นชาย 2 คนกำลังเดินเข้ามา ทั้งคู่ต่างก็มีรูปร่างหน้าตาที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน
ชายที่อยู่ทางซ้ายดูสูงและผอมแห้งไปเสียหน่อย ส่วนอายุน่าจะราวๆ 40 ปี หากรูปร่างหน้าตาของหลัวเขอตี้จัดได้ว่าค่อนข้างหล่อเหลาและดูเป็นสุภาพบุรุษแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับชายวัยกลางคนนี้ หลัวเขอตี้ก็เทียบเขาไม่ได้เลย เขามีใบหน้าที่หล่อเหลา ผิวขาว คิ้วตรงพาดเฉียงขึ้น ดวงตามีเสน่ห์ดึงดูดแต่ทว่ายังคมกริบ จมูกตรง และริมฝีปากสุขภาพดี ผมสีทองยาวสลวยของเขาถูกพาดไว้ข้างหลัง ทำให้รอบตัวของเขามีบรรยากาศที่นุ่มนวลอ่อนโยน โดยเฉพาะนัยน์ตาโศกสีน้ำเงินเข้มคู่นั้น นั่นคือดวงตาที่สามารถสยบหญิงสาวทุกคน ยิ่งกว่านั้น เขายังสวมเสื้อคลุมสีขาวสะอาดตาช่วยเสริมรูปลักษณ์ของเขาให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สังเกตว่ามือทั้งสองข้างของชายวัยกลางคนผู้นั้นใหญ่มาก อีกทั้งผิวของเขายังกระจ่างใสดั่งหยก
ขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังสำรวจชายวัยกลางคนที่ดูอ่อนโยนผู้นั้น โจวเหว่ยชิงก็จ้องมองไปที่ยังชายอีกคนที่อยู่ข้างกัน ชายผู้นี้ยืนขนาบชายวัยกลางคนที่ดูอบอุ่นอ่อนโยนผู้นั้น ลักษณะท่าทางของพวกเขาทั้งคู่จึงตัดกันอย่างเห็นได้ชัด ชายคนนี้สูงเพียงประมาณ 1.6 เมตร ภายใต้โครงกระดูกผอมๆ ของเขาแทบไม่มีกล้ามเนื้อที่สามารถมองเห็นได้เลย อายุน่าจะราวๆ 50 ปี ผมหงอกสีเทายุ่งๆ ถูกรวบอยู่ด้านหลัง ดวงตาของเขากวาดไปรอบๆ จากนั้นก็แอบจ้องมองซ่างกวนปิง เอ๋อร์อย่างลับๆ ลำคอของเขาขยับเบาๆ ราวกับลอบกลืนน้ำลาย ชายคนนี้มาพร้อมกับท่อยาสูบที่ยังคาอยู่ในปาก ทั้งหมดนั่นจึงทำให้เขาดูหยาบกระด้างและเหมือนพวกตัวโกงเหลือเกิน
ขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หันไปมองเขา สายตาของเธอพลันประสานเข้ากับชายชราคนนั้นในทันที ทว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและเคลื่อนตัวไปหลบหลังโจวเหว่ยชิงอย่างไม่รู้ตัว สายตาที่ดูเหมือนพวกอันธพาลของชายคนนี้ดูน่าเกลียดยิ่งกว่าหลัวเขอตี้เสียอีก!
ในพริบตานั้นเอง โจวเหว่ยชิงก็ร้องออกมา “อาจารย์ !!” นั่นทำให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตกตะลึงอย่างมาก
โจวเหว่ยชิงขยี้ดวงตาของเขาอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตนไม่ได้ตาฝาดไป เขารีบจ้ำอ้าวไปข้างหน้าด้วยความดีใจ “อาจารย์ !! เป็นท่านจริงๆ ด้วย!”
ชายวัยกลางคนที่ดูอบอุ่นอ่อนโยนผู้นั้นคืออาจารย์ของเขา? ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขบคิดอย่างแปลกใจ ทว่าหลังจากนั้นเธอก็เห็นโจวเหว่ยชิงโผเข้าไปกอดชายชราคนนั้น!
ใบหน้าที่งดงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์แสดงความตกตะลึงออกมาอีกครั้ง ราวกับว่าเธอเพิ่งตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างได้ เหตุผลที่โจวเหว่ยชิงแก่แดดและไร้ยางอาย…เหตุผลที่ทำให้จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความคิดสกปรก…
“เอ๋ เจ้าเด็กเหลือขอตัวน้อย! ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่? บิดาของเจ้าให้เจ้ามาเรอะ?” ชายชราผู้นั้นกลอกตาไปมา เขาดูประหลาดใจมาก แต่ทว่าหลังจากนั้นก็พูดอย่างโมโห “ปล่อยตาแก่อย่างข้าเดี๋ยวนี้! บิดามันเถอะ! ข้าไม่ได้ชอบผู้ชายนะโว้ยยย! มากอดข้าทำไมหา!!”
หลัวเขอตี้มองดูพวกเขาอย่างตะลึงงันและพูดว่า “มู่เอิน เจ้าเด็กน้อยนี่เป็นลูกศิษย์ของเจ้างั้นรึ? งั้นก็หมายความว่าเขาเป็นลูกชายของตาแก่โจว? ไหนเจ้าบอกว่าเด็กเหลือขอนั่นเป็นเศษสวะไง? ตาแก่โจวเป็นคนหัวโบราณและจริงจังจะตายไป เขาจะกล้าปล่อยให้ลูกชายมาเรียนรู้จากคนอย่างเจ้าจนเสียผู้เสียคนเรอะ? ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้จะมีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย ทั้งยังดูคุ้นเคยมากอีกด้วย เขาเรียนรู้มาจากเจ้านั่นเอง ตาแก่อย่างเจ้านั่นแหละ!”
มู่เอินเริ่มโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว เขาผลักโจวเหว่ยชิงออกและกล่าวว่า “หลัวเขอตี้ ตาแก่เจ้าเล่ห์! เจ้ากำลังพูดว่าอะไรนะ? เจ้าหมายความว่ายังไง? เขาเสียผู้เสียคนเพราะข้า? ข้าไปทำแบบนั้นตอนไหน? บิดามันเถอะ! ข้าแค่สอนศิษย์ให้ได้ดี! เข้าใจหรือไม่! หากเจ้ายังขืนพูดไร้สาระไปมากกว่านี้ ข้านี่แหละจะทำให้เจ้า ‘เสียผู้เสียคน’ เอง!”
“เอาล่ะๆ เจ้าทั้งสองอย่างขึ้นเสียงใส่กันหน่อยเลย เบาลงได้แล้ว อย่าทำให้เด็กๆ หวาดกลัวสิ” ชายวัยกลางคนผู้หล่อเหลาส่ายหัวอย่างปลงๆ เขาหันมาที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโจวเหว่ยชิงก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “อย่าไปสนใจพวกเขาเลย ถึงแม้พวกเขาจะทะเลาะกันอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ แต่จริงๆแล้วพวกเขาสนิทกันมากเลยอดไม่ได้ที่จะต้องเถียงกันทุกครั้งที่พบหน้า อย่าไปสนใจเลย พวกเขาไม่มีความแค้นต่อกันหรอก ให้ข้าแนะนำตัวเองก่อนเถิด ข้าชื่อว่าหัวเฟิง เป็นหัวหน้าหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์”
ทันทีที่หัวเฟิงเปิดปากของเขา มู่เอินและหลัวเขอตี้ต่างก็เงียบลงในพริบตา โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์โค้งคำนับให้หัวเฟิงและกล่าวว่า “คำนับท่านอาวุโสหัวเฟิง”
โจวเหว่ยชิงไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะได้พบกับมู่เอินที่นี่ 4 ปีที่แล้ว ในวันเกิดครบรอบ 10 ปีของโจวเหว่ยชิง แม่ทัพ โจวก็นำชายชราสกปรกผู้นี้มาหาเขา และขอให้โจวเหว่ยชิงคำนับเขาเป็นอาจารย์ หลังจากนั้นเขาก็ไปไหนมาไหนกับมู่เอินเป็นเวลาถึง 2 ปีและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เขาสอน เขาไม่ได้เรียนรู้วิธีการต่อสู้หรือวิธีการการฆ่าฟันใคร เพียงแค่เรียนรู้วิธีเอาตัวรอดในสังคม ทำตัวอย่างไรให้อยู่บนโลกนี้ได้อย่างปลอดภัย รวมถึงวิธีรับมือและจัดการกับผู้คนประเภทต่างๆ แน่นอนเขายังได้เรียนรู้กลโกงต่างๆ และเล่ห์เหลี่ยมแยบพรายอีกนับไม่ถ้วน
แม่ทัพโจวประเมินชายชราสกปรกผู้นี้ให้โจวเหว่ยชิงฟังว่า เขาอาจไม่มีพลังอำนาจมากนัก แต่ในสังคมนี้เขาเป็นคนประเภทที่มีความสามารถเอาตัวรอดได้ดีที่สุด หากเจ้าสามารถเรียนรู้ความสามารถของเขาได้ อย่างน้อยในอนาคตเจ้าก็จะไม่มีวันอดตาย
ในความเป็นจริง สิ่งที่โจวเหว่ยชิงไม่รู้ก็คือแม่ทัพโจวต้องกรุ่นคิดและต่อสู้กับตนเองอย่างหนักเป็นเวลานานกว่าจะตัดใจขอให้มู่เอินสอนบุตรชายของเขาเช่นนี้ ฉายาของมู่เอินก็คือวายร้ายตาเทพ เพราะฉะนั้นทุกคนจึงสามารถจินตนาการได้ว่าโจวเหว่ยชิงจะเรียนรู้อะไรจากเขาไปบ้าง สำหรับโจวเหว่ยชิงที่อายุเพียง 14 ปีแต่กลับรู้เรื่องราวต่างๆ มากจนแก่แดดเกินวัย นั่นอาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะช่วงเวลา 2 ปีที่เขาเรียนรู้จากมู่เอินนั่นเอง
หัวเฟิงยิ้มแย้มและพูดว่า “ยินดีต้อนรับพวกเจ้าทั้งคู่เข้าสู่หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ผู้อาวุโสหัวเฟิง ไม่มีการทดสอบครั้งสุดท้ายก่อนที่พวกเราจะเข้าร่วมอย่างเป็นทางการหรอกหรือ?”
หัวเฟิงกล่าวว่า “พวกเจ้าทั้ง 2 คน ถูกแม่ทัพโจวแนะนำมา นั่นหมายความว่าพวกเจ้ามีสิทธิ์และมีความสามารถเพียงพอจะเข้าร่วมหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นตาแก่เจ้าเล่ห์คนนี้คงจะไม่พาพวกเจ้ามาที่นี่หรอก สำหรับการทดสอบนั้น พวกเจ้าทั้ง 2 คนจะต้องเข้าร่วมภารกิจกับพวกเราในวันพรุ่งนี้และแสดงความสามารถของพวกเจ้าออกมา…”
………………………………………
Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา – บทที่ 29.3 ทักษะการยิงธนูดั่งเทพเจ้า (3)
Posted by ? Views, Released on December 19, 2021
, Heavenly Jewel Change
Type: Web Novel Author: Tang Jia San Shao, 唐家三少
ในโลกที่ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้มีพลังเหยียบย่ำผู้อ่อนแอ
มีเด็กผู้ชายผู้หนึ่งเกิดมาเพื่อหวังจะก้าวขึ้นเป็นราชาจ้าวมณีสวรรค์
ในอาณาจักรเล็กๆ ที่ยังต้องดิ้นรนในสงครามซึ่งรายล้อม
ตัวเขาในฐานะที่เกิดในตระกูลแม่ทัพจึงจำเป็นต้องมุ่งมั่นทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
ทว่าสวรรค์กลับไม่เป็นใจ เด็กชายเกิดมาพร้อมลมปราณอุดตัน ฝึกวิชาใดๆ ก็ไร้ผล
ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเศษสวะไร้ค่าในสายตาผู้อื่น!?
ทำลายความภาคภูมิใจของบิดา… กลายเป็นความอัปยศอดสูของคู่หมั้น…
หากแต่เขากลับใช้ชีวิตอย่างปกติสุข เที่ยวเล่นจับปลาไปวันๆ โดยไร้ความละอาย!
ทว่า…เมื่อพลาดพลั้งถูกฆ่าและทิ้งให้ตาย ท้ายที่สุดสวรรค์ก็เมตตา
ไข่มุกรัตติกาลจากต่างมิติถูกดึงดูดด้วยแรงดิ้นรนอยากมีชีวิตอยู่ของเขา
มันมอบพลังที่เปลี่ยนให้เขากลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่หายากที่สุด!
สิ่งนั้นปลุกศักยภาพของเขาขึ้นมา… แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ไร้ค่า…
แต่นั่นจะเป็นของขวัญจากสวรรค์ที่มาเปลี่ยนชะตาของเขาได้จริงหรือ?
ร่วมผจญภัยไปกับ ‘โจวเหว่ยชิง’ ตัวเอกผู้ไร้ยางอายที่ใช้เล่ห์กลทุกอย่างในการเอาตัวรอดเพื่อมุ่งไปสู่จุดสูงสุดของโลกการฝึกวิชา
สร้างยอดกองทัพ ปกป้องคนที่เขารักและขยายอาณาจักรเล็กๆ ให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร!
นี่คือโลกใบที่ไม่คุ้นเคย พบกับระบบพลังใหม่ สุดยอดศาสตราวุธ และตัวเอกที่ไม่เหมือนใคร
Every human has their Personal Jewel of power, when awakened it can either be an Elemental Jewel or Physical Jewel. They circle the right and left wrists like bracelets of power.
Heavenly Jewels are like the twins born, meaning when both Elemental and Physical Jewels are Awakened for the same person, the pair is known as Heavenly Jewels.
Those who have the Physical Jewels are known as Physical Jewel Masters, those with Elemental Jewels are Elemental Jewel Masters, and those who train with Heavenly Jewels are naturally called Heavenly Jewel Masters.
Heavenly Jewel Masters have a highest level of 12 pairs of jewels, as such their training progress is known as Heavenly Jewels 12 Changes.
Our MC here is an archer who has such a pair of Heavenly Jewels.
Recommended Series
Comment
Facebook Comment