* * *
อาซที่หายออกไปจากพระราชวังพร้อมอาเรียอยู่ที่บ้านพักตากอากาศต่อถึงสามวันถึงจะกลับพระราชวังมาเงียบๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แม้จะเป็นเพียงสามวันในบ้านพักหลังเล็กๆ แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขและสนุกที่สุดสำหรับทั้งสองคน
ไม่มีอะไรให้ทำมากนัก แล้วก็ไม่มีอะไรจะทำด้วย พวกเขาแทบจะขังตัวเองอยู่แต่ในห้องนอน จะเว้นก็แต่ออกมาทานอาหารที่พ่อบ้านเตรียมไว้เงียบๆ แต่แค่เท่านั้นก็เพียงพอจนเหลือล้นแล้วล่ะ
อาซยังอยากอยู่ที่นั่นต่ออีกหลายปีโดยไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นใดอีก แต่เขารู้ดีกว่าใครว่าเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ สุดท้ายเขาจึงต้องสลัดความเสียดายที่ค้างคาอยู่ในใจออกไปและสัญญาว่าครั้งหน้าจะมาอีกให้ได้
แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่บอกใครไปเสียเลย เพราะเขาได้แอบออกมาระหว่างที่อาเรียกำลังหลับและย้ายที่กลับมายังพระราชวังเพื่อแจ้งว่าทั้งสองจะไม่อยู่ที่วังสักพัก
ด้วยเหตุนี้การหลบหนีของเจ้าชายและพระชายาในวันอภิเษกสมรสจึงจบลงอย่างเงียบเชียบไร้เรื่องวุ่นวายใดๆ
และหลังจากนั้นไม่นานนัก
“เช้าแล้วเหรอ…”
เมื่อแสงแดดเริ่มส่องลอดมาทางหน้าต่าง อาซหันมองอาเรียที่นอนหนุนแขนเขาอยู่แล้วพูดพึมพำกับตัวเองเบาๆ น้ำเสียงของเขาฟังดูหงุดหงิดเมื่อคิดว่าเหตุใดเวลาเช้าจึงได้มาถึงเร็วปานนี้
มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เขากลับมาที่พระราชวัง เวลาที่ต้องอยู่ห่างจากเธอมีมากกว่าเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันเสียอีก แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อนี่คือผลลัพธ์ของสิ่งที่เขาทำ
งานของเขาล่าช้าเนื่องจากงานอภิเษก แล้วเขายังจะหนีไปบ้านพักตากอากาศกับอาเรียหลังจากงานอภิเษกและไม่ยอมกลับมาเป็นเวลาหลายวันอีก
เวลาสามวันนั้นมากพอที่จะผลักอาซให้จมลึกลงไปในหลุมลึกแห่งภาระหน้าที่
“…คุณอาซ”
อาซคลายความขุ่นเคืองด้วยมองไปที่ใบหน้าของอาเรีย ก่อนที่เธอจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นเมื่อยามเช้ามาเยือน เธอเรียกชื่อเขาเมื่อได้สบตากันและเห็นว่าเขามองเธออยู่
จากนั้นอาซก็รู้สึกเต็มตื้นในใจราวกับว่าเขาไม่เคยหงุดหงิดมาก่อน หากเทียบกับเมื่อก่อนที่ได้เจอเธอเพียงเดือนละครั้งแล้ว เขาคิดว่าเขามีความสุขมากจริงๆ
“…เจ้าหญิงของผมตื่นแล้วสินะครับ”
“ค่ะ อรุณสวัสดิ์นะคะ เมื่อคืนฝันดีไหม”
ฝันดีอย่างนั้นหรือ อันที่จริงเขาเพิ่งได้นอนไม่มากนักเพราะใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการมองแต่อาเรีย ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นช่วงเวลาที่น่าพึงใจและมีค่ายิ่งกว่าแค่ฝันเพียงอย่างเดียว
“ครับ ฝันดีมากๆ ด้วยล่ะครับ ชายาของผมก็เหมือนกันใช่ไหม”
อาซตอบก่อนจะจูบหน้าผากอาเรียแค่สั้นๆ อาเรียยิ้มก่อนจะตอบว่าเธอเองก็เช่นกัน
“ค่ะ อาซ”
ทำไมเธอถึงน่ารักได้ขนาดนี้กันนะ เขารู้สึกแปลกใจมากเหลือเกิน อาซไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะมีความสุขได้กับแค่การพูดคุยด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
อาซโอบกอดอาเรียไว้ในอ้อมแขนพร้อมด้วยความรู้สึกที่เขาเองก็ไม่อาจจัดการได้ หากเป็นไปได้เขาอยากจะอยู่แบบนี้ไปตลอดทั้งวัน
ทว่าไม่นานเขาก็ต้องปล่อยอาเรียออกจากอ้อมอกเมื่อได้ยินเสียงของบรรดานางกำนัล บ่งบอกว่าวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
พอเป็นแบบนี้อารมณ์ของอาซก็ดิ่งลงทันตาอย่างกับไม่เคยอารมณ์ดีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการล้างหน้าหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าต่างก็น่ารำคาญเหมือนกันทั้งหมด เพราะหลังจากมื้อเช้าเขาต้องอยู่ห่างจากอาเรียเป็นเวลานาน
ดังนั้นเขาจึงพยายามถ่วงเวลาอาหารให้ช้าลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่อาเรียกลับทานอาหารของเธอตามปกติ และถือชาที่นางกำนัลนำมาให้ราวกับว่าเธอไม่ได้รู้สึกเหมือนกันกับเขา
“กลิ่นหอมดีนะ”
“เป็นชาที่ทำจากผลไม้ตามฤดูกาลค่ะ”
“กลิ่นเหมือนพีชเชียว”
“ค่ะ ชานี้ทำจากพีชค่ะ พระชายา”
“อย่างนั้นเหรอ รสชาติใช้ได้เลยนะ”
“เป็นเกียรติของดิฉันที่รสชาติถูกพระชายานะคะ ประสงค์จะให้ดิฉันเพิ่มในสิ่งนี้ในมื้อกลางวันด้วยไหมคะ”
“เอาสิ”
คำชมจากอาเรียทำให้นางกำนัลหน้าแดง ดูเหมือนอาเรียที่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นชายาในมกุฎราชกุมารแล้วจะปรับตัวกับชีวิตในวังได้ดีกว่าอาซที่ไม่อยากแยกจากเธอแม้แต่วินาทีเดียว
นั่นเพราะบรรดาข้าราชบริพารต่างก็ติดตามเธออย่างดี ส่วนอาเรียเองก็พยายามใช้ความสามารถทั้งหมดที่ตัวเองมีในการปรับตัวอย่างเต็มที่
แน่นอนว่ายังมีความยากลำบากอยู่บ้าง อย่างเช่น การเรียนรู้มารยาทใหม่ การเรียนรู้ว่าพระชายาในมกุฎราชกุมารมีงานอะไรที่ต้องทำบ้าง หรือการมองคนจำนวนมากให้ออก แต่อาเรียก็พยายามอย่างหนักโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ คนส่วนใหญ่จึงเต็มใจจะที่จะช่วยให้อาเรียปรับตัวเข้ากับพระราชวังได้
ทุกคนชอบเธอมากพอที่จะหัวเราะเบาๆ ให้กับความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ของอาเรีย แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนของพระราชวังที่มีบรรทัดฐานที่เข้มงวดเกี่ยวกับเรื่องมารยาท
“ไว้เจอกันตอนเย็นนะคะ อาซ”
หลังทานอาหารเสร็จอาเรียก็จูบแก้มอาซก่อนจะยิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวาน ใจอาซอยากจะแบ่งเวลาที่ไม่ค่อยมีมาทานอาหารกับอาเรีย แต่คนรอบตัวคงไม่ปล่อยให้เขาและอาเรียทำอย่างนั้น
เพราะยังมีคนอีกมากมายในพระราชวังที่หวังจะได้สนทนากับอาเรียในทุกครั้งที่มีโอกาส อาเรียซึ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเรียนเพราะเธอยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้มากมาย ไหนจะต้องรับมือกับผู้มาเยือนอีก ดังนั้นเธอเองก็ยุ่งจนแทบไม่มีเวลาเช่นเดียวกับเขา
“ครับ… เจอกันตอนเย็นนะครับ”
เขาควรดีใจที่คนที่เขารักสามารถอยู่ได้อย่างสบายใจไร้ปัญหา แต่น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกเศร้าใจ และรำคาญใจเหลือเกิน
“เรียนเจ้าชายอัสเทอโรพี รายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ทางภาคใต้มาถึงแล้วครับ ประสงค์ให้ผมแจ้งตอนนี้เลยไหมครับ”
“…”
“…เจ้าชาย”
ดังนั้นเขาจึงไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะจดจ่ออยู่กับราชกิจตรงหน้า ที่มีมากมายจนล้นถึงขนาดที่แม้ว่าเขาจะงีบหลับเพียงนิดแล้วลุกมาทำก็ยังทำไม่หมด
เขาต้องรีบสะสางงานให้เสร็จเร็วที่สุดเพื่อจะได้ไปเจออาเรีย สิ่งที่เขาต้องทำมีเพียงแค่ตรวจสอบเอกสารด้วยความเร็วที่ช้ากว่าปกติเพราะเอาแต่คิดโน่นนี่จนไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานเท่านั้นเอง
“…เอามา”
“ครับ”
ผ่านไปสักพักหลังจากอีกฝ่ายแจ้งว่ามีผู้มาเยือนเพื่อนรายงานข่าว อาซจึงอนุญาต แน่นอนว่าหากเขารับเอกสารนั้นมางานจะเพิ่มขึ้นจนล้นมือทำให้เขาไม่อาจหนีไปไหนได้อีก แต่มันก็ช่วยไม่ได้
“สีหน้าดูไม่ดีเลยครับ เจ้าชายมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
เรนที่นำเอกสารมาให้มองสีหน้าที่ดูเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ของอาซจึงเอ่ยถามออกมาแบบนั้น ทั้งที่เพิ่งจะแต่งงานมาได้ไม่นานแต่กลับมีสภาพเหมือนซังกะตายไปเสียแล้ว
เขารักพระชายามากจนโง่หัวไม่ขึ้นและไม่มีทางจะเปลี่ยนมาเกลียดเธอได้เพียงชั่วข้ามคืน เช่นนั้นแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงได้ทำตัวเหมือนตายซากแบบนั้น
เมื่อเห็นอาซไม่ยอมตอบของเขาทั้งยังขมวดคิ้ว เรนจึงบอกให้ขุนนางคนอื่นๆ ออกไปก่อนจะถามหาเหตุผลอีกครั้ง
“หากเป็นเรื่องที่ผมสามารถช่วยได้ ผมก็จะช่วยครับ เพราะถึงอย่างไรผมก็จะอยู่ที่เมืองหลวงไปอีกสักระยะหนึ่งอยู่แล้วครับ”
“จริงเหรอ เช่นนั้นช่วยตรวจสอบเอกสารแทนฉันหน่อยได้ไหม”
“…อะไรนะครับ หากผมทำได้ ผมจะทำครับ”
อาซโยนปากกาลงบนโต๊ะราวกับไม่พอใจคำตอบนั้น เพราะเรนตอบอย่างนั้นออกมาทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองทำอย่างนั้นไม่ได้
พระชายาจะรู้หรือไม่ เรื่องที่เจ้าชายอารมณ์ไม่ดีอยู่ตอนนี้ แน่นอนว่าเธอเองก็คงไม่รู้ เรนจึงพยายามคิดหาเหตุผลต่างๆ นานาที่ทำให้อาซโกรธเคือง
จะว่าเรื่องงาน งานก็เยอะมาตั้งแต่ไหนแต่ไรเหตุใดจึงมาหงุดหงิดเอาตอนนี้จนถึงขั้นขอให้เขาทำแทน… หากเรนคิดให้น้อยลงอีกนิดเขาน่าจะได้คำตอบ เพราะเมื่อก่อนเรื่องแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง
เขาไม่พอใจที่ไม่อาจไปเจออาเรียได้บ่อยๆ เพราะงานที่ล้นมือ ทั้งยังได้ยินข่าวว่าพระชายาใช้ชีวิตในพระราชวังได้อย่างสุขสบายอีก
ไม่ว่าพ่อของเธอจะสูงศักดิ์เพียงใด ผู้เป็นแม่ก็ยังเป็นเพียงโสเภณีต่ำต้อย ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเป็นที่รักของทุกคน หากเทียบกำพืดกับผู้เข้าชิงตำแหน่งพระชายาก่อนอาเรียอย่างไอซิสแล้วนับว่าต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
ถึงอย่างนั้นความสนใจทั้งหมดของจักรวรรดิต่างพุ่งตรงมาที่อาเรีย ดังนั้นเขาจึงได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับเธออย่างช่วยไม่ได้ ดังนั้นเรนจึงสามารถหาข้อสรุปที่เหมาะสมได้โดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังผิดหวังที่ไปเจออาเรียไม่ได้ ทั้งยังอิจฉาคนที่ได้ไปเจออาเรียแทนตัวเองด้วย
มันคงเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ของมกุฎราชกุมารผู้เถรตรงและสนใจแค่งาน ทว่านั่นคือทุกสิ่งที่เขามี เรนลองเสนอทางเลือกอย่างที่ทำมาเสมอเพราะเขาคุ้นเคยกับสภาพนี้ของอาซดี
“ให้ผมไปดูให้ไหมครับ”
“อะไร”
“พระชายาน่ะครับ อย่างไรเสียระหว่างรอให้เจ้าชายตรวจสอบเอกสารและมีพระราชโองการลงมาผมก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วครับ ผมแสร้งทำเป็นหนุ่มเสเพลเดินวางมาดไปทั่วพระราชวังได้นะครับ ไหนๆ เจ้าชายก็เสด็จไปด้วยตัวเองอยู่แล้วนี่ครับ”
“…”
“ได้แสดงเป็นขุนนางบ้างก็ไม่เลวนะครับ อย่างไรเสียก็ไม่ค่อยมีใครคุ้นหน้าผมอยู่แล้วครับ”
เขาเคยทำแบบนี้มาก่อนหลายครั้งแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เรนมีหน้าที่คอยติดตามอาเรียและรายงานเรื่องเกี่ยวกับเธอให้อาซรู้มาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นเมื่อเจ้าชายเข้าใจผิดว่ามิเอลเป็นอาเรียเมื่อครั้งแรกนั้น เขาย่อมเป็นคนแรกที่มองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
“…มารายงานทุกชั่วโมงล่ะ”
“ตามบัญชาครับ”
สุดท้ายอาซก็อนุญาตก่อนที่เรนจะออกไปจากห้องทำงาน เรนฮัมเพลงไปพลางพร้อมกับพูดกับตัวเองว่าเขาควรจะใช้กลอุบายบางอย่างทำให้อาซอารมณ์ดีขึ้น
* * *
“ตายจริง ท่านเรนใช่ไหมคะ”
“ท่านอะไรกันครับ จากนี้เรียกผมว่าเรนเฉยๆ เถอะครับ”
อาเรียส่งยิ้มให้เรนที่ไม่ได้เจอกันนานอย่างยินดี อาเรียที่ต้อนรับเรนด้วยรอยยิ้มเจิดจ้าสว่างไสวดูงดงามไม่ต่างจากนางฟ้าที่จำแลงกายมาจากสวรรค์
‘งามเสียจนไม่น่าแปลกที่ท่านอาซจะห่วง’ เรนยิ้มตอบพลางพูดในใจว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของอาซเป็นร้อยรอบ
“ทรงกำลังยุ่งเสียจนผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะมาเสียเที่ยวหรือเปล่า”
เป็นเช่นที่เขาพูด ตอนนี้อาเรียกำลังถูกห้อมล้อมด้วยบรรดาสตรีชนชั้นสูงมากมาย พวกเธอทุกคนต่างก็เป็นคุณหญิงคุณนายจากตระกูลขุนนางระดับสูงทั้งสิ้น
ในเมื่อตอนนี้พระชายาได้เข้ารับตำแหน่งเรียบร้อยแล้วพวกเธอก็ควรจะมาหา ทั้งมาทดสอบ ทั้งมาตีสนิท
พวกเธอต่างสงสัยในตัวตนของเรนอาเรียจึงกำลังจะอธิบาย แต่แล้วเรนกลับชิงแนะนำตัวขึ้นมาเสียก่อน
“ผมแวะมาที่พระราชวังสักครู่ตามคำสั่งเจ้านายครับ พอดีผมเคยเจอพระชายาเมื่อนานมาแล้วจึงแวะมาทักทายเท่านั้นครับ เรน ปิโนต์นะครับ”
“เข้าใจแล้วล่ะค่ะ”
“ชื่อคุ้นหูชอบกลนะคะ”
“ฉันก็คิดแบบนั้นค่ะ ปิโนต์… ปิโนต์… เคยได้ยินมาจากไหนกันนะ”
อาเรียเบิกตาโตเมื่อได้ยินคำแนะนำตัว เป็นเชิงถามว่าจนป่านนี้แล้วเขายังจะปกปิดตัวตนอยู่อีกหรือ มันถึงเวลาที่เขาควรจะเปิดเผยตัวเองได้แล้ว ไม่สิ นอกจากนั้นเธอยังจะถามอีกด้วยว่าทำไมเขายังปิดตัวตนเอาไว้ได้อีกในเมื่อเขาเล่นเดินทางเข้านอกออกในจักรวรรดิบ่อยๆ แบบนี้
“จะว่าไป ไม่ทราบว่าท่านหญิงทราบข่าวลือกันหรือยังครับ”
“ข่าวลือหรือคะ”
“ครับ ข่าวลือที่ว่าดีไซเนอร์ที่ทำชุดเดรสแบบแปลกใหม่และสวยงามกำลังได้รับความสนใจน่ะครับ”
“มีคนแบบนั้นอยู่ด้วยหรือคะ”
“ครับ มีแน่นอนครับ เป็นคนที่พระชายาน่าจะทรงรู้จักดีด้วยนะครับ”
“คนที่พระชายาทรงรู้จักหรือคะ”
รู้จักคนแบบนั้นน่ะหรือ สายตาของพวกเธอทุกคนต่างพุ่งตรงไปหาอาเรีย
เขาไปได้ยินข่าวลือพรรค์นี้มาตั้งแต่เมื่อไรกัน
เธอเพิ่งตัดสินใจว่าจะสนับสนุนดีไซเนอร์คนนั้นเมื่อไม่นานมานี้เอง เพื่อจ่ายค่าตอบแทนให้กับดีไซเนอร์ที่บังอาจพูดจาโผงผางกับเธอโดยไม่รู้ว่าเธอเป็นใครเมื่อตอนเลือกชุดแต่งงาน แต่เขาไปได้ยินมาได้อย่างไร
อาเรียเหลือบตามองเรนด้วยสีหน้าแบบนั้นก่อนจะที่สีหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างคนที่เข้าใจคำพูดของเรนในทันทีว่าเขากำลังมีแผนการบางอย่างในใจ
“…ค่ะ อืม… บางทีอาจจะเป็นดีไซเนอร์ที่ฉันสนใจอยู่ก็ได้ค่ะ …คราวนี้ฉันตัดสินใจว่าจะลงทุนกับเธอน่ะค่ะ”
“ตายจริง หากมีดีไซเนอร์แบบนั้นพระชายาน่าจะทรงบอกกันบ้างนะคะ”
“บอกตอนนี้ก็ยังไม่สายนี่ครับ กรุณาเล่าให้ผมฟังได้ไหมครับว่าเธอเป็นดีไซเนอร์แบบไหน”
เรนซึ่งหยิบยกประเด็นที่สามารถดึงความสนใจของเหล่าคุณนายทั้งหลายได้ในครั้งเดียวแทรกตัวเนียนเข้ามานั่งร่วมวงด้วยไปโดยปริยาย เขาไม่แม้แต่จะขออนุญาตด้วยซ้ำ ทว่ามันกลับเป็นไปอย่างธรรมชาติมากจริงๆ
……………