การประสูติของพระชายาและงานแต่งงานของมกุฎราชกุมารไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองของราชวงศ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงประชาชนทั้งหมดในจักรวรรดิด้วย นอกจากนี้ยังหมายความว่าว่าที่พระจักรพรรดิพร้อมจะเข้ามาสืบทอดบัลลังก์แทนพระจักรพรรดิองค์ปัจจุบันซึ่งไม่เคยดำเนินการใดๆ เพราะถูกกดดันจากอิทธิพลของขุนนาง
หลังเสร็จพิธีบรรดาสามัญชนที่มารวมตัวกันหน้าพระราชวังก็พากันวิ่งออกไปบนท้องถนนเพื่อเฉลิมฉลองการเข้าสู่ยุคใหม่สรรพด้วยสุรายาดองและการร้องรำทำเพลง ในขณะที่เหล่าขุนนางยังอยู่ในพระราชวังเพื่อหารือเกี่ยวกับอนาคตของจักรวรรดิกันจนย่ำรุ่ง
“เจ้าชายไปไหนแล้ว”
“นั่นสิ ผมเองก็มองหามาตั้งแต่เมื่อครู่แล้วแต่ก็ไม่พบ”
“อยู่ไหนกันนะ”
“ที่แน่ๆ คือไม่ได้อยู่ในสวน”
“ไม่ใช่ว่าเดินกลับห้องแล้วหรอกใช่ไหม”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องมีใครเห็นบ้างแล้วสิ”
แน่นอนว่าเป้าหมายหลักของพวกขุนนางย่อมเป็นตัวละครสำคัญในวันนี้อย่างอาซกับอาเรีย แม้พวกเขาจะอยู่บนเรือลำเดียวกันแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ต้องการพบและพูดคุยกันต่อหน้าเพื่อสร้างความสนิทชิดเชื้อ
ต่อให้คนพวกนี้จะเป็นพวกเดียวกับองค์รัชทายาทที่ต่อต้านพวกชนชั้นสูง แต่ขุนนางก็ยังเป็นขุนนางวันยังค่ำ พวกเขายังไม่อาจตัดผลประโยชน์ตัวเองออกไปได้อย่างสมบูรณ์จึงพากันตามหาอาซกับอาเรีย
แน่นอนว่านอกจากคนพวกนี้แล้วยังมีซาร่าและมาร์ควิสวินเซนต์ที่รอเจออาเรียอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่ทั้งสองเองก็พบอาเรียไม่ได้เช่นกัน
“ฉันไม่คิดว่าเราจะได้เจอเธอนะคะ”
“วันนี้เป็นวันแรกของพิธีผมว่ามันพอจะเข้าใจได้ครับ พวกเขาทลายกำแพงอันยิ่งใหญ่ลงได้จนได้แต่งงานกัน ทั้งสองคนถึงได้หนีไปเพราะอยากอยู่ด้วยกันเพียงลำพังไม่ใช่หรือครับ”
มาร์ควิสวินเซนต์เอ่ยตอบน้ำเสียงโศกเศร้าของซาร่าว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ทั้งสองทำ และเขาเองก็ดูเศร้าเช่นเดียวกันกับเธอ
คนที่วิ่งหนีไปหาใช่ใครอื่นหากแต่เป็นถึงองค์รัชทายาทและพระชายาแห่งจักรวรรดิ แม้พวกเขาจะหนีหายไปไม่ยอมมาพบหน้ากับคนที่รออยู่แต่ใครเล่าจะกล้าตำหนิ
โรฮันเพียงทิ้งจนสั้นๆ เอาไว้ก่อนจะออกจากจักรวรรดิไปราวกับคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าอาซจะทำแบบนี้ และตัวเขาเองก็ทิ้งโครอามานานแล้วเหมือนกัน
หลังจากได้พูดคุยเพียงสั้นๆ กับคนในตระกูลมาร์ควิสเปียสต์ซึ่งเป็นวงศาคณาญาติของอาเรียแล้ว พวกคนในตระกูลก็มุ่งหน้ากลับคฤหาสน์เพราะไม่อยากมาเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์อยู่ในพระราชวังอีก
พวกเขารู้ดีว่าจากนี้ไปคงเจออาเรียได้ลำบากจึงกลับไปพักผ่อนที่คฤหาสน์แล้วค่อยออกเดินทางกลับโครอา
ไม่น่าเชื่อที่สถานที่ที่อาซพาอาเรียหนีมาหลังจากกันทุกคนและไล่กระทั่งมหาดเล็กออกไปจะเป็นสวนของพระราชวังเอง
ซึ่งก่อนหน้านี้อาเรียก็เคยมาที่นี่แล้ว
“เป็นวันที่ยุ่งน่าดูเลยนะครับ”
“…นั่นสิคะ”
อาเรียเอ่ยตอบอาซอย่างแผ่วเบาขณะทอดสายตามองบ่อน้ำไปด้วย วันนี้เป็นวันที่ทั้งยุ่งและวุ่นวายอย่างที่เขาพูดจริงๆ
และยังเป็นวันชุลมุนที่พวกเขาอาจเป็นลมล้มพับไปหากยังทำตามตารางกำหนดการทั้งหมดอยู่ในสวนนั่น เพราะเป็นห่วงอาเรีย อาซจึงพาเธอมาที่สวนของพระราชวังซึ่งไม่มีใครสามารถเข้ามาได้เว้นเสียแต่จะเป็นสมาชิกในราชวงศ์
“ต่อไปก็คงยุ่งแบบนี้เหมือนกัน คุณจะเป็นอะไรไหมครับ”
“ยุ่งกว่านี้ก็เคยมาแล้วนี่คะ ยุ่งจนแทบอยากจะย้อนเวลาเลยล่ะค่ะ”
แม้การใช้นาฬิกาทรายจะทำให้เธอต้องหลับเป็นตายไปทั้งวัน แต่มันก็ทำให้เธอได้ใช้เวลาที่ย้อนกลับไปได้อย่างมีค่ามากขึ้นเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนนี้ไม่มีใครต้องการทำร้ายเธอด้วยเหตุผลต่ำช้าอีกแล้ว ดังนั้นต่อให้เธอจะยุ่งจนร่างกายเหนื่อยล้าแต่อย่างน้อยก็ใจก็ไม่ได้เหนื่อยไปด้วย เท่านี้ก็พอแล้ว
“ผมคงประเมินชายาของผมต่ำเกินไปสินะครับ”
“ใช่แล้วล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงไปนะคะ คุณน่าจะเหนื่อยกว่าฉัน เรากลับห้องกันไม่ดีกว่าหรือคะ”
เมื่ออาเรียถามว่าเขาจะกลับห้องหรือไม่อาซก็ขมวดคิ้ว สีหน้าเขาเหมือนกำลังนึกถึงสิ่งที่เกลียดแสนเกลียดอยู่
เหตุใดเขาจึงทำหน้าเช่นนั้นทั้งๆ ที่เธอแค่ชวนกลับห้อง อาเรียได้แต่กะพริบตาปริบๆ รอคำตอบจากอาซเพราะเธอเองก็ไม่เข้าใจ
“ตอนนี้… ที่นั่นคงคนเยอะไปหมดแล้วล่ะครับ”
“…คนเยอะหรือคะ”
ในห้องนอนคนอื่นอย่างนั้นหรือ ทำไมล่ะ อาเรียรอคำตอบจากอาซอีกหน
อาซลังเลอยู่สักพักก่อนจะค่อยๆ ตอบออกมาช้าๆ อย่างไม่มีทางเลือก
“…เพราะนี่คือคืนแรกของราชวงศ์ครับ เป็นธรรมเนียมที่พวกเขาต้องมาคอยดูน่ะครับ”
“คะ คอยดูหรือคะ!”
อาเรียถามกลับเสียงดัง พวกเขาจะมาคอยมองคอยดูคืนแรกแบบนี้ได้อย่างไร! หากแต่งงานแล้วจะเป็นแบบนี้หรือ…!
อาเรียตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เปลือกตาของเธอสั่นไหวอีกทั้งแววตาก็กลอกวนไปมา เธอดูตกใจมากกว่าครั้งใด
“การแต่งงานของราชวงศ์ส่วนใหญ่จะเป็นการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ดังนั้นพวกเขาจึงมาคอยดูว่าเราอยู่ด้วยกันในคืนแรกจริงๆ เพราะเรื่องของทายาทน่ะครับ …เห็นคุณตกใจแบบนี้ผมว่าผมคิดถูกแล้วล่ะที่พาคุณมาที่นี่”
“…เลือกได้ยอดเยี่ยมมากค่ะ น่ากลัวจริงๆ เลยนะคะ ทำไมถึงมีธรรมเนียมแปลกๆ แบบนี้ได้…”
จะมีเรื่องอะไรน่าขนลุกไปกว่าการต้องผ่านคืนแรกไปโดยมีใครเฝ้ามองอยู่อีกหรือ มันคงกลายเป็นความอัปยศที่เธอจะจดจำไปจนตายเลยทีเดียว
ถึงอย่างนั้นไม่ชอบก็ส่วนไม่ชอบ เธอไม่อาจอยู่ตรงนี้ไปตลอดได้ มีอย่างที่ไหนเจ้าสาวที่เพิ่งเข้าพิธีมาใช้ช่วงเวลาคืนแรกอยู่หน้าสระน้ำ นั่นดูเป็นเรื่องโชคร้ายมากกว่าอีกไม่ใช่หรือ
“แล้วต้องทำอะไรต่อคะ”
เมื่ออาเรียถามอาซก็ค่อยๆ เสนอแผนการอื่น ดูเหมือนว่าเขาจะคิดมาก่อนแล้ว
“เราไปที่… บ้านพักตากอากาศของผมที่เคยไปเมื่อคราวก่อนดีไหมครับ”
บ้านพักตากอากาศของอาซ
สิ่งที่เขาพูดทำให้อาเรียจำบ้านพักตากอากาศของอาซที่อยู่ท่ามกลางป่าไม้ได้ในทันที หากเป็นที่นั่นละก็ ไม่มีใครตามพวกเขาไปได้แน่
อาเรียกำลังจะพยักหน้า ทว่าอาซกลับพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“แต่ว่าเรามีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งครับ”
“ปัญหาหรือคะ… ปัญหาอะไรคะ”
เธอรู้ดีว่าไม่มีใครรออยู่ที่นั่นแน่นอน หรือว่ามีใครไปรอไว้เผื่อจะมีเรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ
เมื่อคิดได้แบบนั้นเธอก็ยิ่งทำสีหน้าเร่งให้เขารีบตอบ อาซมองอาเรียด้วยแววตาสีน้ำเงินเข้มอยู่สักพักก่อนจะยอมตอบคำถามของเธอช้าๆ
“อย่างที่คุณก็รู้ดี ที่นั่นไม่มีใครนอกจากเราสองคน”
“…คะ แล้วนั่นมันเป็นปัญหาตรงไหน…”
อาเรียเอ่ยแต่ยังไม่ทันถามจนจบเธอก็ตัวแข็งไปเสียก่อน เพราะเธอรู้แล้วว่าคำพูดของเขาไม่ใช่แค่บอกเป็นนัยว่าจะไม่มีใครมองเห็นพวกเขาแค่เพียงอย่างเดียว
เรื่องนั้นแค่มองตาอาซก็รู้ได้แล้ว เขาเพิ่งแต่งงานกับผู้หญิงที่เขาหวังจะครอบครองมาตลอดและตอนนี้ทั้งสองก็กำลังจะได้ใช้เวลาในค่ำคืนแรกไปด้วยกัน ดังนั้นสิ่งที่อยู่ในความคิดเขาย่อมมีเพียงสิ่งเดียว
“…ถ้าอย่างนั้นเรารีบไปกันเถอะค่ะ”
และนั่นก็เป็นสิ่งที่อาเรียหวังเช่นเดียวกัน
คำตอบของอาเรียทำให้อาซเบิกตาโต ราวกับมันเป็นคำตอบที่เขาเองก็ไม่คาดคิด
“ไม่อยากไปหรือคะ”
คราวนี้อาเรียกลับต้องเป็นฝ่ายถามอาซ
จะไม่อยากได้อย่างไร อาซรีบจับมืออาเรียก่อนที่ทั้งสองคนจะหายไปจากสวนอย่างไร้ร่องรอย
* * *
ที่บ้านพักตากอากาศไม่มีใครอยู่อย่างที่อาซพูด ไม่มีแม้แต่พ่อบ้าน ไม่สิ บางทีพวกเขาอาจไม่ทันได้มองมากกว่า
อาซที่มักจะย้ายตัวเองเข้าไปในป่ารอบๆ คฤหาสน์ครั้งนี้เขากลับย้ายเข้ามาภายในคฤหาสน์แล้วมาจบลงที่ห้องนอนรวดเดียว
เมื่อก่อนหน้านี้พวกเขาอยู่ในสวนของพระราชวังที่ไร้ผู้คน ทว่าเมื่อย้ายจากสวนที่เปิดโล่งมาอยู่ในห้องลับตาคน สายตาและการกระทำของอาซกลับเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา
เธอยังไม่ทันได้เตรียมตัวเลยด้วยซ้ำ อาซรวบมือรอบเอวอาเรีย มืออีกข้างก็ลูบไล้ไปตามพวงแก้มนุ่มของเธอ มันคือสัมผัสที่กำลังร้องขอคำอนุญาต
เวลาแบบนี้ยังจะมาขอก่อนอีก อาเรียยกมือโอบรอบลำคออาซเอาไว้พลางคิดว่าเขาช่างเป็นสุภาพบุรุษที่เอาใจใส่เสียเหลือเกิน ทั้งที่นี่คือสิ่งที่เธอต้องการมาตลอดแท้ๆ
ก่อนที่ริมฝีปากของทั้งสองจะทาบทับกันแทบจะในทันที ท่าทางที่ถามความสมัครใจของเธออย่างสุภาพปลิวหายไปเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้เขาไม่ต้องกลัวว่าใครจะมารบกวนหรือมาเห็นอีกแล้ว ความร้อนรนแฝงอยู่ในทุกการกระทำ
เหตุเพราะเขาต้องอดทนมานาน ต้องทำเป็นเมินเฉยต่ออาเรียที่ชอบแกล้งยั่วยวนเขาอยู่หลายต่อหลายครั้ง
เมื่อคิดว่าเธอกำลังจะถูกอาซเชยชิมจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกแม้สักชิ้น ร่างทั้งร่างก็พลันสั่นสะท้าน ยิ่งรู้สึกว่าอาซรวบมือที่เอวเธอแน่นขึ้นยิ่งพาให้คิดแบบนั้น
“อาา…”
เสียงลมหายใจที่ไม่อาจพรรณนาได้หลุดรอดออกมาเมื่อริมฝีปากของทั้งสองผละออกจากกันเพียงชั่วครู่
มือที่เคยโอบกอดรอบคออาซเลื่อนมากำไหล่เขาแทนเมื่อรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย แต่แล้วภาพตรงหน้าเธอก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วทั้งยังมีสัมผัสอ่อนนุ่มของผ้าห่มที่แผ่นหลัง
จากนั้นมือที่เคยโอบรอบเอวและลูบแก้มก็เริ่มเปลี่ยนไปทำวุ่นวายกับการปลดเปลื้องเศษผ้าแสนเกะกะที่ห่อหุ้มเรือนร่างอาเรียไว้
“เดี๋ยว…!”
‘ก่อน’ เธอแค่อยากบอกให้เขารอก่อน
ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจพูดได้จนจบ เพราะสัมผัสแสนนุ่มนวลที่ทำให้เธอส่งเสียงออกมาไม่ได้จนต้องจับไหล่ของเขาเอาไว้แทน
ความรู้สึกที่ไล้ขึ้นมาตามแนวสันหลังพาให้วิงเวียน เธอได้แต่เก็บกลั้นลมหายใจไว้อย่างหมดหนทางจากสัมผัสแปลกใหม่ที่ได้รับรู้เป็นครั้งแรกในชีวิต
อาซร้อนใจยิ่งกว่าเดิม เขาผละออกจากริมฝีปากของอาเรียแล้วกัดที่คอเธอ
“อ๊ะ…!”
สัมผัสรุนแรงทำให้อาเรียหลุดเสียงร้องออกมาสั้นๆ
ทว่านั่นไม่ใช่เพียงครั้งเดียว อาซไล่ต้อนอาเรียจนจนมุม ไม่ทิ้งเวลาให้เธอได้พักหายใจเลยสักนิด
อาซป้อนจุมพิตลึกซึ้งให้เธออีกครั้งพลางถอดเสื้อผ้าแสนเกะกะของตัวเองโยนทิ้งไป มือของเขาขยับอย่างเร่งรีบและรุนแรงเสียจนทำให้เสียเวลาสัมผัสเธอไปโดยเปล่าประโยชน์หลายครั้ง ตอนนั้นเอง
“ดะ เดี๋ยวก่อนค่ะ…!”
อาเรียผลักไหล่อาซออกไปสุดแรงเมื่อมีช่องว่างพอให้หายใจเล็กน้อยเพราะความกระดากอาย
อาเรียหอบหายใจหนักหน่วงพลางจ้องมองอาซทั้งสองแก้มแดงร้อนผะผ่าว
แต่แล้วการที่อาเรียผลักอาซออกเพื่อถามบางอย่างดูจะไม่เป็นประโยชน์กับเธอเท่าไรนัก
อาเรียรีบเอ่ยปากพูดทันทีเมื่อเห็นอาซขมวดคิ้ว
“ทะ ทำไม ทำไมถึงได้… ถึงได้…!”
ถึงได้เป็นแบบนี้ล่ะ ‘ถ้ามีอะไรอยากถามก็น่าจะรีบถามสิ’ อาซทำสีหน้าคล้ายจะพูดเช่นนี้ก่อนจะถอนหายใจแล้วเอ่ยเร่ง
“ถึงได้อะไรหรือ”
“ทำไมถึงได้… ถึงได้เก่งแบบนี้ล่ะคะ!”
คำถามของอาเรียที่ถูกเร่งนั้นทำให้อาซที่กำลังตื่นเต้นและส่งสายตาร้อนแรงมาให้เธอหยุดนิ่งไป
“หมายความว่าอะไร…”
“ฉันมั่นใจว่าคุณไม่มีผู้หญิงคนอื่นอีกนอกจากฉันแต่ว่า…!”
แต่ว่าเขากลับทำให้เธอซึ่งอายุมากกว่าถึง 10 ปีสติเตลิดเปิดเปิงถึงขนาดนี้ เขาทำให้วิญญาณเธอเหมือนหลุดออกจากร่างแบบนี้ได้อย่างไร พฤติกรรมของเขาช่างแปลกประหลาดเสียจนแม้แต่อาเรียเองก็ไม่เข้าใจ
ว่าแต่ทำไมอาซถึงได้
อาซหรี่ตาลงเมื่ออาเรียเอ่ยถามด้วยความสงสัย แววตาของเขากลับมาลุ่มลึกอีกครั้ง
เขาลูบแก้มของอาเรียก่อนจะถามกลับด้วยน้ำเสียงข่มขู่
“นั่นไม่ใช่คำถามที่ผมควรถามเจ้าหญิงของผมหรอกหรือครับว่ารู้ได้อย่างไรว่าผมเก่งหรือไม่เก่ง”
“มะ หมายความว่าอะไรคะ…! ฉันยังไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ชายคนไหนมาก่อนเลยนะคะ…!”
นั่นทำให้อาเรียถึงกับตกใจและรีบตอบอย่างตะกุกตะกักไม่สมกับเป็นเธอ เห็นแบบนั้นอาซก็ยิ้มก่อนจะกดจูบลงบนแก้มเธอ
“ผมก็เหมือนกันครับ มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้มาน่ะครับ ผมดีใจนะครับที่มันทำให้เจ้าหญิงของผมมีความสุข”
“…จากใครคะ”
“จากหนังสือที่ส่งต่อกันมาในราชวงศ์แล้วก็… จากคนที่พอจะอธิบายเรื่องพวกนี้ได้ครับ”
“…แค่หนังสือกับคำอธิบายมันทำให้คุณ ทำให้คุณ… ช่ำชองขนาดนี้เลยหรือคะ”
อาเรียกะพริบตาปริบๆ แล้วถามกลับราวกับไม่อยากเชื่อ
อาซยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะตอบคำถามอาเรียทั้งยังทำให้เกิดเงายาวทาบทับเหนือร่างอาเรีย
“ครับ ผมพูดจริงๆ ครับ เพราะอย่างนั้นเจ้าหญิงอยากลองทดสอบดูไหมล่ะครับ ว่าผมผู้ที่ร่ำเรียนมาจากตำราจะทำให้เจ้าหญิงพอใจได้มากแค่ไหน”
ถึงอย่างนั้นแววตาของเขายังคงน่าหวาดหวั่น ภายในนั้นมีแต่แรงกดดันที่กำลังเร่งให้เธอรีบตอบ
แล้วอย่างนี้เธอจะไม่ตอบได้อย่างไรกัน
“…ถ้าคุณโกหกฉันจะโกรธจริงๆ นะคะ”
รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าของอาซอีกครั้งหลังได้คำตอบ
สัมผัสจากมือที่ส่งออกมายังคงจาบจ้วงและรุนแรง ทว่ามันก็เพียงพอจะต้อนอาเรียให้จนมุมและเป็นของเขาเพียงคนเดียว
…………..