โธ่!
มู่อวิ๋นซีถอนหายใจลึกๆ มององค์หญิงใหญ่ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม พร้อมกับพยุงมู่ซิ่วให้ลุกขึ้น
“ท่านพี่ ยาสร้างเนื้อข้าไม่ได้นำติดตัวมา อีกประเดี๋ยวจะให้ไป่หลิงนำไปส่งให้ท่าน แต่ไม่อาจจะให้เยอะได้ เพียงแค่เม็ดเดียว ท่านนำไปใส่กับจินชวงเย่า หลังจากหากใช้แล้วรู้สึกดีขึ้นก็ทำต่อไป หากว่ารู้สึกไม่ดีก็ให้หยุดใช้ทันที ได้หรือไม่?”
มู่ซิ่วลังเลอยู่ครู่ พยักหน้า
กลับมาที่ลานชิงจื่อ เห็นมู่อวิ๋นซั่นนำยาสร้างเนื้อออกมาจากแขนเสื้อ ไป่หลิงเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “คุณหนู? ท่านไม่ใช่ได้นำยาสร้างเนื้อติดตัวมาอยู่หรือ?”
“ช่วยเทน้ำให้ข้าด้วย”
มู่อวิ๋นซีหยิบขวดกระเบื้องขาวออกมาจากตู้ที่ตั้งชิดติดผนัง เทยาเม็ดสีเหลืองคล้ำออกมาหนึ่งเม็ด ลงไปละลายในน้ำที่ไป่หลิงนำมา หลังจากนั้นใช้เข็มเงินเจาะยาสร้างเนื้อให้เป็นรูแช่ลงไป และหลังจากทำซ้ำหลายๆ ครั้งแล้ว ได้นำออกมาใส่ขวดกระเบื้องขาวที่ว่างเปล่าแล้วยื่นให้ไป่หลิง “นำไปให้ท่านพี่ใหญ่ของข้า”
“นี่คือ?” ไป่หลิงประหลาดใจ
“เจ้าเชื่อใจข้าไหม?” มู่อวิ๋นซีจ้องไปที่ไป่หลิงอย่างนิ่งๆ เห็นนางพยักหน้าถึงพูดต่อว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องถามอะไร นำสิ่งนี้ไปส่งให้คุณหนูใหญ่ และไม่ต้องพูดอะไร ต่อไปเจ้าก็จะรู้เอง”
“นี้คืออะไร?”
ไป่หลิงเพิ่งออกไป ก็มีเสียงตุ้มต่ำที่ไพเราะดังขึ้นจากด้านหลังของนาง
“ยาพิษ” มู่อวิ๋นซีตอบกลับ มุมปากยกขึ้นยิ้ม
“วางยา……เจี่ยอี้?” จอนคิ้วของเขาได้ค่อยๆ ขมวดขึ้น
“ไม่ตายหรอก”
เขาโน้มตัวไปด้านหน้า ดวงตาสีดำราวกับหมึกเหมือนได้ซ้อนดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับไว้สองดวงตรงหน้านาง “เจ้าคิดดีแล้ว?”
มู่อวิ๋นซีหายใจหนืด แก้มแดงขึ้นทันที “อืม”
นางได้คิดดีแล้ว
นางช่วยมู่ซิ่ว แน่นอนว่าเพราะมู่ซิ่วเป็นพี่สาวของนาง
แต่ หลังจากนี้ไป ถึงมู่ซิ่วจะไม่ร่วมมือ ไม่ยินยอม ไม่ซาบซึ้งใจ นางก็จะทำในสิ่งที่นางสามารถทำได้ ไม่ใช่ความละอายใจ แต่เมื่อคิดย้อนกลับไป ให้คุณค่ากับจิตสำนึกของตัวเอง และให้ค่าในฐานะที่เป็นน้องสาวของนาง
แสงเทียนที่สั่นไหว คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืนของสองคนมองกันเงียบๆ ถึงจะไม่มีใครพูดอะไร แต่ดูเหมือนได้พูดคุยกันร้อยพันคำพูด
เป็นเวลาอยู่หลายวัน ที่จวนตระกูลมู่ไม่มีความวุ่นวายอะไรเลย
ในช่วงเย็นของนี้ มู่อวิ๋นซีกับมู่จื่อชวนกำลังอยู่ที่ลานหย่งเหอพูดคุยเป็นเพื่อนองค์หญิงใหญ่ และได้มีสาวใช้เข้ามารายงาน “องค์หญิง ท่านรองมู่กับฮูหยินเล็กหลิ่วมาแล้วเพคะ”
ทันทีที่นางพูดจบ มู่เซิ่งและหลิ่วเย่ก็ได้เดินเข้ามาทีละคน
“คำนับพี่สะใภ้!” มู่เซิ่งเดินเข้าไปคารวะองค์หญิงใหญ่ จากนั้นมองไปด้านมู่จื่อชวนกับมู่อวิ๋นซีหัวเราะพร้อมกล่าวว่า “พอดีจื่อชวนกับอวิ๋นซีก็อยู่ด้วย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาให้จื่อโหรววิ่งไปอีกรอบ”
กล่าวจบ เขาได้หันไปมององค์หญิงใหญ่ด้วยความรู้สึกเศร้า “พี่สะใภ้ พรุ่งนี้จื่อโหรวจะต้องแต่งงานแล้ว นางบอกว่าหลายปีที่ผ่านมาข้าเป็นพ่อแต่ไม่ได้ทำหน้าที่พ่อกับนางเลย ทั้งหมดได้พี่สะใภ้คอยดูแลเอาใจใส่นาง ดังนั้นนางต้องการมาพบท่านอีกครั้ง ต้องการที่จะมาขอบคุณท่านและมากล่าวคำลา”
“องค์หญิง!” หลิ่วเย่ได้คุกเข่าลงตรงหน้าองค์หญิงใหญ่ “คุณหนูสามมีความต้องการแค่นี้ ได้โปรดองค์หญิงอนุญาตด้วย หากองค์หญิงไม่ต้องการเจอหน้านางจริงๆ ก็ไม่ต้องสนใจนาง เพียงแค่ให้นางเข้ามาคำนับพระองค์ก็เพียงพอแล้ว”
องค์หญิงใหญ่ถอนหายใจยาว “ช่างเถิด ให้นางมาเถิด”
“ขอบพระทัยองค์หญิง!”
หลิ่วเย่ลุกขึ้นด้วยใบหน้าที่ซาบซึ้ง ไม่นานได้นำมู่จื่อโหรวเข้ามา
ทันทีที่นางเข้ามาก็ได้ลงไปคุกเข่าต่อหน้าองค์หญิงใหญ่อย่างตรงไปตรงมา “จื่อโหรวเข้าเฝ้าท่านป้า ขอบพระทัยท่านป้าสำหรับความเมตตาในเลี้ยงดูในช่วงหลายปีที่ผ่านมา”
พูดจบ นางได้เอาศีรษะโขกพื้นไปสามที
“ลุกขึ้นเถิด” องค์หญิงใหญ่ก็ไม่ได้ทำให้นางลำบากใจ “แต่งงานไปต้องทำตามสามี อีกอย่างหากเจ้าก็เป็นสนมแล้ว ต่อไปต้องเชื่อฟังสามี เคารพท่านฮูหยิน และรักใคร่กลมเกลียวกับพี่น้อง เข้าใจหรือไม่?”
มู่จื่อโหรวไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มเย้ยหยัน “ความหมายของท่านป้าคือการเป็นสนมเป็นเรื่องที่น่าอายมากหรือเพคะ? แต่ในความคิดของข้าไม่น่าอายเลยแม้แต่น้อย หลานสาวของท่านก็ไม่ใช่สนมเช่นกันหรือ?”
สีหน้าขององค์หญิงใหญ่ขรึมขึ้น ในใจมู่อวิ๋นซีดังตึกขึ้น และได้แย่งลุกขึ้นก่อนที่มู่จื่อโหรวจะพูดขึ้นอีก “ไม่ว่าต่อไปข้าจะเป็นหรือไม่ได้เป็นสนม มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า ท่านย่าเหนื่อยแล้ว ต้องการพักผ่อน เจ้ากลับไปเถิด”
“ถุย!”
เมื่อได้เจอกับมู่อวิ๋นซีแล้ว หน้าเล็กๆ ของมู่จื่อโหรวก็ดูเคร่งขรึมขึ้น “มู่อวิ๋นซี เจ้าสามารถติดทองบนใบหน้าตัวเองได้จริงๆ เป็นสนม เจ้าก็เหมาะสม? ท่านป้าอย่าเข้าใจข้าผิด ที่ข้าหมายถึงไม่ใช่มู่อวิ๋นซี แต่เป็นมู่ซิ่ว”
“หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว!” มู่เซิ่งตะคอกออกมา มองดูองค์หญิงใหญ่ด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “พี่สะใภ้ ต้องขอโทษท่านด้วย ข้าจะพานางออกไป”
มู่จื่อโหรวยกมือหลบมู่เซิ่งที่จะดึงแขนของนาง พูดหัวชนฝาว่า “ข้าไม่ไป! ท่านพ่อ ท่านบอกตามความจริงมา มู่ซิ่วใช่สนมหรือไม่?”
มู่เซิ่งหุบปากไม่ได้พูดอะไร จากนั้นนางได้มองไปที่หลิ่วเย่ “ท่านแม่ ท่านว่ามู่ซิ่วเป็นสนมหรือไม่?”
หลิ่วเย่กับใบหน้าที่ลำบากใจ “เจ้า……เจ้าอย่าพูดเหลวไหล”
“ใครพูดเหลวไหล เรื่องนี้ใครๆต่างก็รู้กันหมด ก็มีแค่ครอบครัวลูกคนโตโง่ๆไม่กี่คนที่ยังถูกขังไว้ในความมืด” มู่จื่อโหรวดูสะใจมาก
“ใครอยู่ข้างนอก เอาตัวมู่จื่อโหรวออกไป!” มู่อวิ๋นซีหน้าขรึม มู่จื่อโหรวนี้คือมาเคารพกล่าวคำลาองค์หญิงใหญ่หรือ คือต้องการที่จะมาแทงองค์หญิงใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย?
“หยุด!”
องค์หญิงใหญ่ผู้เงียบนิ่งอยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น นัยน์ตาที่แหลมคมจ้องมองมู่จื่อโหรวอย่างลึกซึ้ง สุดท้ายก็ลงมาอยู่ที่บนใบหน้ามู่เซิ่ง “เจ้าบอกข้ามา มู่ซิ่วใช่สนมไหม?”
“พี่สะใภ้!” ใบหน้ามู่เซิ่งดูสับสน และได้ลังเลที่จะตอบคำถามนี้ “หากรู้ว่าจื่อโหรวจะสร้างปัญหาเช่นนี้ ข้าก็ไม่อ้อนวอนพี่สะใภ้เพื่อนาง”
“ท่านป้า ท่านก็อย่าบังคับท่านพ่อของข้าเลย ข้าจะบอกท่าน หากตอนนี้ฮูหยินของเจี่ยอี้แช่มู่ ไม่แต่จะไม่ใช่มู่ซิ่ว ยังจะมีพี่รองของข้ามู่จื่อหลัน ท่านพ่อ” มู่จื่อโหรวมองไปที่มู่เซิ่งด้วยความสะใจ “ข้าพูดผิดหรือไม่?”
“เจ้าพอได้แล้ว ยังจะพูดไร้สาระอีก……”
“มู่เซิ่ง!”
องค์หญิงใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงโมโห แทรกคำพูดของมู่เซิ่งแล้วได้ลุกขึ้น “ข้าถาม มู่ซิ่วใช่สนมหรือไม่?”
“พี่สะใภ้” ใบหน้าที่ละอายของมู่เซิ่ง “ไม่ใช่ข้าต้องการปิดบังท่าน นี้คือความคิดของซิ่วซิ่ว”
ร่างกายขององค์หญิงใหญ่สั่นไหว เกือบจะยืนไม่นิ่ง
หลิ่งเย่เดินเข้าไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะเข้าไปพยุงองค์หญิงใหญ่แต่ก็ถูกนางหลบออก
นางเดินเข้าหามู่เซิ่งทีละก้าวทีละก้าว “เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“พี่สะใภ้” มู่เซิ่งถอนหายใจ “หลังจากที่ซิ่วซิ่วแต่งเข้าจวนตระกูลเจี่ยได้สองปี นายท่านเจี่ยก็ได้จากไปด้วยโรคร้ายแรงอย่างกะทันหัน ฮูหยินใหญ่เจี่ยที่ร่างกายแข็งแรงก็เริ่มป่วยนอนติดเตียงตลอด”
“เจ้าเด็กเจี่ยอี้นั้นได้เชิญนักพรตมาที่จวนปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไป ใครจะไปรู้ว่านั้นจะพูดว่าซิ่วซิ่วเป็นตัวซวยกลับมาเกิด เพื่อที่จะทำให้พ่อแม่ สามีและลูกได้รับความโชคร้าย เดิมทีคำพูดพวกนี้เจี่ยอี้ก็ไม่ได้เชื่ออะไร และปีนี้ทั้งปีตระกูลเจี่ยก็ไม่เคยสงบเลย”
“จื่อหลัน ยังมีสนมอีกคนก็ได้มีทายาทแล้ว ก็มีแต่ซิ่วซิ่วที่ยังไม่มี พอถึงปีที่แล้ว นี้ก็เข้าปีที่เจ็ดแล้ว เจ็ดปีก็ยังไม่มีเลย เจี่ยอี้ต้องการจะหย่ากับซิ่วซิ่วแล้ว และนี้คือจื่อหลันได้ขอร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจี่ยอี้ถึงรับปากที่จะไม่หย่ากับนาง แต่ก็ได้ลดการเป็นภรรยาหลวงมาเป็นแค่สนม และให้จื่อหลันมาเป็นภรรยาหลวงแทน”
“เรื่องนี้ ซิ่วซิ่วก็ยินยอม นางก็ขอให้เราปกปิดท่านไว้ นางกลัวว่าท่านจะเสียใจ ยังโชคดีที่ลูกของจื่อหลันก็กตัญญู ทุกครั้งกลับมาก็ให้ความร่วมมือกับซิ่วซิ่ว”
“ร่วมมือ?”
ใบหน้าขององค์หญิงใหญ่ซีดลง ตอนนี้เมื่อนึกถึงคำพูดที่พูดของมู่จื่อหลันที่ว่าการเป็นสนมควรทำอย่างไร ในใจนางปวดร้าวไปหมด “ทหาร ไปที่จวนตระกูลเจี่ย เชิญเจี่ยอี้พร้อมกับเมียสนมมาพบข้า”