“ซาลาเปามีเนื้อไม่ได้พับไว้ แป้งชาดจะใช้ดีไม่ได้อยู่ที่ตลับ” เจ้าของแผงลอยที่สกปรกได้หยิบตลับแป้งชาดขึ้นมา แล้วถูบนร่างกายตัวเอง จากนั้นเปิดออกอย่างระมัดระวัง เผยให้เห็นแป้งชาดสีชมพูที่อยู่ด้านใน
“แป้งชาดพวกนี้ ข้านำมาจากเมืองดอกท้อต่างก็เป็นคุณภาพชั้นดีทั้งนั้น เดิมทีตามเทศกาลต่างๆ ต้องการจะขายให้ได้ราคาดี แต่ไม่คิดว่าเมื่อวานโดนไฟไหม้ ก็เลยกลายมาเป็นเช่นนี้” เจ้าค้าขายถอนหายใจยาว “ไม่เช่นนั้นแป้งชาดดีๆ พวกนี้ ข้าจะขายถูกๆ ได้อย่างไร? กัน”
ผู้หญิงคนนั้นทำหน้าสงสัย แต่ก็ยังเดินเข้าไปดมตลับแป้งชาดที่ได้เปิดอยู่ สีหน้าดูอ่อนลง “ขายอย่างไร?”
“ถูกๆ สิบตำลึง”
“ทั้งหมด?” ผู้หญิงมีท่าทีที่อยากได้
“หนึ่งตลับ!”
“หนึ่งตลับสิบตำลึงคือขายถูกแล้ว?” ผู้หญิงคนนั้นเสียงแหลมขึ้นทันที “เจ้าคิดว่าเจ้าคือแป้งชาดของแดงดุจท้อ?”
“ฮูหยินกล่าวติดตลกแล้ว หากว่าของพวกนี้ไปวางไว้ที่แดงดุจท้อจริงๆ หนึ่งตลับอย่างน้องต้องร้อยตำลึง นี้คือแป้งชาดคุณภาพชั้นดีของดอกท้อเสาวภาคย์”
เจ้าของร้านยกมือชี้ไปร้านค้าที่อยู่ด้านหลัง “หากไม่เชื่อ ท่านสามารถไปถามได้ ไม่ต้องพูดถึงแดงดุจท้อ ถึงแม้ร้านขายแป้งชาดชั้นดีของร้านอื่นๆ ในตลาดนี้ ดอกท้อเสาวภาคย์ หนึ่งตลับอย่างน้อยต้องหกสิบตำลึงเชียว”
“ตอนนี้ของข้าคือหนึ่งตลับเงินสิบตำลึง นั้นแม้แต่เงินทุนยังไม่พอเลย” เจ้าค้าขายยื่นแป้งชาดนั้นไปด้านหน้าของผู้หญิง “ของจะดีไม่ดี ข้าน้อยพูดแล้วก็ไร้ประโยชน์ ท่านลองดู! ลองแล้วหากรู้สึกว่าไม่ดี หรือว่าไม่ใช่ดอกท้อเสาวภาคย์ ท่านเดินออกไปได้เลย”
“ทุกท่าน” เขาได้กวาดสายตาไปที่ฝูงชน “มีท่านไหนที่เคยใช้ดอกท้อเสาวภาคย์ของแดงดุจท้อ ท่านสามารถมาทดลองดอกท้อเสาวภาคย์ของข้าได้ และดูว่านี่ก็ไม่ได้แย่ไปกว่าแดงดุจท้อ?”
“ข้าลองดูก่อน!”
ท่านชายรูปงามในชุดเสื้อคลุมสีฟ้าครามเดินมาข้างหน้า เอื้อมมือไปแตะดอกท้อเสาวภาคย์เบาๆ จากนั้นค่อยๆ ถูที่หลังมือ ยกขึ้นไว้ที่จมูกแล้วดม “คือเป็นดอกท้อเสาวภาคย์ชั้นดี ไม่ได้แย่ไปกว่าแดงดุจท้อเลย ให้ข้าตลับหนึ่ง”
“ได้เลยขอรับ!” เจ้าของร้านหยิบตลับแป้งชาดอย่างมีความสุขหลังจากที่เปิดให้ทุกคนดูแล้วปิดไว้ จึงได้ห่อใส่ผ้าสีเทาแล้วส่งไปให้ท่านชายรูปงาม
มู่อวิ๋นซีเหลือบมองไป่หลิง ไป่หลิงได้วางเงินสิบตำลึงหนึ่งก้อนแล้วพูดว่า “ให้ข้าด้วยตลับหนึ่ง”
“ได้ขอรับ!” เจ้าของร้านห่อหนึ่งตลับส่งให้ไป่หลิงอย่างเชี่ยวชาญ
“ไม่กลัวสินค้าไม่เป็นที่รู้จัก กลัวแต่สินค้าจะถูกนำมาเทียบกันเอง! ถึงแม้ทุกท่านจะไม่เคยใช้ดอกท้อเสาวภาคย์ของแดงดุจท้อ หรือว่าท่านไหนเคยใช้ดอกท้อเสาวภาคย์ของร้านอื่นก็สามารถมาลองใช้ดู ดูว่าจะดีกว่าที่เคยใช้ก่อนหน้านั้นหรือไม่? เพียงแค่เงินสิบตำลึงเท่านั้น ท่านก็คือพี่น้องในผู้คนที่นี่ที่โดดเด่นที่สุด”
มู่อวิ๋นซีจ้องมองเจ้าค้าขายสักพัก และได้เบียดออกมาจากกลุ่มคนกับไป่หลิง
“คุณหนูว่านี้ใช่ดอกท้อเสาวภาคย์หรือไม่เจ้าคะ?” ไป่หลิงสงสัยอยู่เล็กน้อย เมื่อกี้พวกนางไม่ได้เดินเข้าไปตรวจสอบดูเลย
“ไม่จำเป็น ให้ข้าดูหน่อย”
“สกปรกเจ้าค่ะ รอกลับไปก่อน ข้าน้อยจะเช็ดฝุ่นด้านนอกออกให้สะอาดแล้วคุณหนูค่อยดูนะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร ให้ข้าเถิด”
มู่อวิ๋นซีรับห่อผ้าของดอกท้อเสาวภาคย์ที่ไป่หลิงส่งให้ เปิดออกจาก จากนั้นได้หยิบเอาดอกท้อเสาวภาคย์ ออกมาจากกล่องดำๆ นั้น และได้ลูบไปบนตลับนั้น
“เป็นอย่างไร คุณหนู?”
“แม่หนูขาดเงินหรือ? ทำไมถึงได้ซื้อของแบบนี้?” สวมหน้าทะเล้น ชายที่ร่างกายแข็งแกรงขวางทางไปของมู่อวิ๋นซี
มู่อวิ๋นซีดึงไป่หลิงหันหลังกลับ ได้พบว่าด้านหลังได้ถูกชายร่างใหญ่สามคนเอียงหน้าเอียงไหล่ทำท่าจะยิ้มก็ไม่ยิ้มล้อมไว้ไม่รู้ตอนไหนไม่รู้ตัว
“คุณหนู ทำอย่างไรดีเจ้าคะ?” น้ำเสียงของไป๋หลิงสั่นเครือเล็กน้อย
“ไม่ต้องกลัว พวกเขาไม่กล้าทำอะไรหรอก ที่นี่มีคนพลุกพล่านไปมา เพียงแค่เอะอะโวยวายขึ้นมาก็สามารถดึงดูดคนผิงจุ่นซือได้” มู่อวิ๋นซีจับมือของไป่หลิงไว้โดยไม่มีความหวาดกลัว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยังมีเฟิ่งเชียนเย่อีก
“ฮึ!” ชายที่สวมชุดสีเขียวอยู่ตรงกลางกำลังทะเลาะกัน และได้ส่งเสียงขึ้นทันที
“แม่นางหมู่ตัน! เป็นเจ้าที่ไร้เดียงสา หรือเป็นข้าหวงซานที่ไร้เดียงสา? ใช่คนของผิงจุ่นซือไม่ยอมให้ที่ตลาดตงซื่อเกิดปัญหา แต่มิได้บอกว่าไม่ยอมให้พวกข้าจับแม่นางที่หนีไปได้ และหากรู้ว่าสัญญาการขายตัวของเจ้ายังอยู่ที่หอมาลา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายพวกเราหอมาลาพูดแล้วคือจบ”
“เด็กๆ จับเจ้าคนชั้นต่ำนี้กลับไปที่หอมาลาให้ข้า หากนางขัดขืน ตีให้ขาหักได้เลย! อ้อ อีกอย่าง อย่างทำให้ใบหน้ามีแผล ไม่เช่นนั้นลูกค้าจะลงปากได้อย่างไร”
“ฮ่าฮ่าฮ่า……”
ชายร่างใหญ่ที่อยู่ด้านหลังนั้นต่างหัวเราะชอบใจ เสียงหัวเราะช่างน่าสมเพชและไร้ความปรานีนัก
“ดูไม่ออกจริงๆ ว่าหญิงสาวที่งดงามเช่นนี้มาจากหอมาลา?”
“หญิงผู้นี้ถูกจับกลับไปแล้ว คงต้องตีสักหน่อยแล้ว”
“ทำไม? รักหยกถนอมบุปผา? ไม่เช่นนั้นคืนนี้เราไปที่หอมาลา จากนั้นก็เลือกแม่นางท่านนี้”
……
“พวกเราไม่ได้มาจากหอมาลา แต่……”
“ไป่หลิง!”
จู่ๆ มู่อวิ๋นซีก็ขัดจังหวะคำพูดของไป่หลิงและส่ายหน้าให้นาง
หากเป็นคำพูดก่อนหน้านั้นของหวงซาน พวกนางบอกตระกูลไปคงดี แต่ตอนนี้หวงซานได้กัดพวกนางไว้แน่นอนแล้วว่าเป็นหญิงสาวแห่งหอมาลา ถึงพวกนางจะบอกวงศ์ตระกูลไป และหลังจากจบเรื่องแล้ว ก็จะถูกคนเอาไปนินทาทางลบอยู่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามู่เซิ่ง หลิ่วเย่รู้เข้า บางทีอาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นได้
ซิว!
ก็ในเวลานี้ เสียงผิวปากก็ดังขึ้นทันที
ท่านชายรูปงามที่เมื่อกี้ซื้อดอกท้อเสาวภาคย์ก่อนหน้านางไม่รู้มาจากที่ไหนและดึงใบหญ้าแห้งออกจากปากของเขา แล้วเดินออกมาจากผู้คนไปที่ข้างๆ นาง จากนั้นหันจมูกชี้ไปบนฟ้าแล้วมองไปที่หวงซานที่อยู่ตรงหน้านาง
“ผู้หญิงของท่านฮั่วอย่างข้ากลายเป็นหญิงแห่งหอมาลาไปตั้งแต่ตอนไหนกัน ทำไมข้าถึงไม่รู้ล่ะ?”
“ฮึ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร?” หวงซานคาดไม่ถึงว่าจะมีใครมายุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง “มาทำความรู้จักแล้วก็รีบไสหัวไปให้ข้า ไม่อย่างนั้นแม้แต่เจ้าข้าก็จะจัดการเช่นกัน”
“ถุย!” ท่านฮั่วได้ถ่มหญ้าแห้งออกจากปาก พร้อมกำกำปั้นพูดว่า “ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าข้าเป็นใครมาจากไหน”
เมื่อคำพูดจบลง หมัดของเขาก็ได้กระแทกเข้าไปที่จมูกของหวงซาน จนเลือดสาดกระเซ็น
ตึก!
หวงซานที่ล้มลงไปถึงสามฟุตได้ปีนขึ้นอย่างโซซัดโซเซ และร้องออกมาว่า “ลุย! ไปจับผู้หญิงคนนั้นไว้”
อีกห้าคนที่เหลือได้แยกออกเป็นสองฝ่ายทันที มีสามคนไปด้านมู่อวิ๋นซีกับไป่หลิง อีกสองคนไปด้านท่านฮั่ว
“หยิบอาวุธ!” หวงซานก้มลงไปดึงกริชที่อยู่ในรองเท้าของเขาออกมาแล้วพุ่งไปที่มู่อวิ๋นซี
“คุณหนู!” ไป่หลิงตกใจจนหน้าซีด และสีหน้าของนางอุ่นลงไปชั่วขณะ
ทักษะการต่อสู้ของท่านฮั่วไม่ได้ยอดเยี่ยมนัก แต่ความแข็งแกร่งนั้นดีมาก เพียงแค่ได้โดยหมัดของเขา ทั้งหมดคงได้ลอยออกไป
เขาเดินไปรอบๆ พวกนางทั้งสอง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีช่องโหว่ให้ทั้งหกคน และบางครั้งหากมีหนึ่งหรือสองคนหนีรอดไปได้ นั้นคือความโชคดีได้กลับบ้าน ยังไม่ทันพุ่งไปถึงข้างหน้าพวกนาง ก็ได้สะดุดล้มท่าหมาอย่างบอกไม่ถูก และอีกอย่างยังมีฟันหน้าหนึ่งซี่ได้หลุดลอยออกไป
“คนของผิงจุ่นซือมาแล้ว!” ไม่รู้ว่าใครตะโกนร้องออกมา
ด้วยหมัดที่หนักหน่วงและไหลลื่นของท่านฮั่ว และจากนั้นได้ถอดถุงเงินที่เอวของเขาออกมา แล้วหยิบเอาถั่วทองคำจำนวนหนึ่งออกมาพร้อมกับโปรยออกไป และดูผู้คนแห่กันเข้ามาอย่างครึกครื้น
ท่านฮั่วได้คว้าแขนของมู่อวิ๋นซั่นจากนั้นหันหลังวิ่งออกไป