“เดี๋ยวก่อน!”
มู่เซิ่งเรียกแม่นมโจวที่จะออกไปสั่งคนให้หยุด แล้วเหลือบมององค์หญิงใหญ่ “พี่สะใภ้ วันนี้ฟ้าก็มืดแล้ว มีเรื่องอะไรพรุ่งนี้ค่อยพูดเถิด”
“ใช่เพคะ” หลิ่วเย่ก็ได้พูดซ้ำ “เรื่องนี้ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้น นี้ก็ปีกว่าแล้ว ข้าเห็นว่าชีวิตของคุณหนูใหญ่ก็สบายดี”
องค์หญิงใหญ่เหลือบตาจ้องมองด้านหลิ่วเย่ สายตาราวกับมีด โมโหจนจะหั่นนางออกเป็นสามท่อน
เสียงของหลิ่วเย่ก็ได้เงียบไป
องค์หญิงใหญ่ฮึด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “ถึงซิ่วซิ่วจะเลอะเลือน แต่ข้าไม่ได้เลอะเลือน!หลานสาวของข้า ถึงจะถูกหย่าแล้ว ก็จะเป็นสนมใครไม่ได้!แม่นมโจว ยื่นทื่ออะไรอยู่ ยังไม่ไปอีก?”
“เดี๋ยวก่อน!” มู่เซิ่งขัดขวางแม่นมโจวอีกครั้ง แล้วเงยหน้ามององค์หญิงใหญ่ ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสนและลำบากใจ
“ทำไม? เจ้ายังอยากจะขัดขวางข้างั้นหรือ?” องค์หญิงใหญ่โมโหมาก สีหน้าซีด ที่ขมับได้เต้นกระตุกขึ้นทันที
“ฮึ!” มู่จื่อโหรวที่ได้ก่อความวุ่นวายขึ้นอีกด้านยิ้มเยาะเย้ยออกมา “ข้าว่านะท่านป้า ตอนนี้ท่านอย่าเพิ่งมาสนใจเรื่องที่มู่ซิ่วจะเป็นสนมหรือไม่ แต่ตอนนี้มู่อวิ๋นซีกำลังจะตายแล้ว”
“จื่อโหรว!” หลิ่วเย่ตะคอกใส่มู่จื่อโหรว และเหลียวมององค์หญิงใหญ่ที่เหมือนจะสู้ทุกอย่างแล้ว “องค์หญิง คำพูดของจื่อโหรวแม้จะฟังไม่เข้าหู แต่ว่าคำพูดที่ดีมักฟังไม่น่าฟัง ท่านลองนึกถึงคุณหนูรองก่อนจะทำอย่างไรดี?”
“อวิ๋นซีเป็นอะไร?” องค์หญิงใหญ่กวาดสายตามองมู่อวิ๋นซีอย่างสงสัย แววตาได้ลดลงที่มู่เซิ่ง ในใจรู้สึกเป็นห่วงมาก
“ใต้เท้าโจวจากจิงจ้าวอิ่นเป็นผู้นำส่งสารอย่างเป็นทางการ ได้อยู่ด้านนอกลานหย่งเหอแล้ว โดยกล่าวว่าอวิ๋นซีมีความเกี่ยวข้องกับคดีชีวิตคน และต้องการจับตัวนางนำกลับไปที่ศาล” มู่เซิ่งถอนหายใจยาว(จิงจ้าวอิ่นเป็นตำแหน่งขุนนางในสมัยโบราณ ทำหน้าที่ดูแลราชธานี แต่ในนิยายเรื่องนี้จะเขียนเป็นสำนักงานบริหารเมืองหลวง)
องค์หญิงใหญ่ตกตะลึง ร่างกายโซเซถอยล้มลงไปด้านหลัง
หลิ่วเย่ที่พร้อมก้าวเข้าไปอย่างเร็วเพื่อที่ช่วยพยุงองค์หญิงใหญ่ในทันที แขนเสื้อที่ใหญ่กว้างได้เลื่อนผ่านปิ่นปักผมโดยไม่มีร่องรอยที่ยุ่งเหยิงแม้แต่เส้นเดียว สายตาที่เป็นประกายแห่งความปีติก็ได้กลายเป็นกังวลขึ้นมาทันที
“องค์หญิง? องค์หญิง?”
“ท่านย่า!”
มู่อวิ๋นซีรีบเดินเข้ามา ได้ยื่นมือออกไปบีบที่กลางตัวขององค์หญิงใหญ่
“คนของจิงจ้าวอิ่นมาหาอวิ๋นซีทำไม?” มู่จื่อชวนได้รีบออกไปด้วยสีหน้าที่ซีดขาว ไม่นานก็ได้กลับมาอีกครั้ง ด้านหลังยังมีใต้เท้าโจวจากจิงจ้าวอิ่น
องค์หญิงใหญ่ที่เพิ่งฟื้นค่อยๆ ลืมตาและได้เห็นใต้เท้าโจวสวมชุดที่เป็นทางการ สีหน้าซีดเผือดเกือบจะเป็นลมล้มไปอีกครั้ง
“ท่านย่า!”
หัวใจของมู่อวิ๋นซีทั้งเจ็บทั้งแน่นขึ้น “ท่านไม่ต้องเป็นห่วง แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยทำเรื่องไม่ดี นับประสาอะไรกับคนของจิงจ้าวอิ่น แม้แต่คนของศาลต้าหลี่ข้าก็ไม่กลัว”
องค์หญิงใหญ่พยักหน้า แต่ก็ยังมีความกังวลอยู่ลึกๆ ในแววตา
“ถุย! ปากแข็ง” มู่จื่อโหรวเห็นมีช่องโวยได้เยาะเย้ยไป สายตาที่มองดูมู่อวิ๋นซีกับองค์หญิงใหญ่ก็เหมือนกับมองดูคนตายอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านย่าอย่าโกรธไปเลย” มู่อวิ๋นซีเห็นองค์หญิงใหญ่ว่าจะโกรธอีกครั้ง จึงได้รีบเกลี้ยกล่อมว่า “บ้านของใครยังไม่เลี้ยงสุนัขบ้าที่เห่ามั่วสักตัวล่ะ กับสัตว์เดรัจฉาน สามารถจะพูดเหตุผลอะไรได้ไหม”
คำพูดนี้ ถึงนางกำลังพูดปลอบองค์หญิงใหญ่ แต่เธอจงใจขึ้นเสียงดังขึ้นอีก ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างได้ยินชัดเจน
สีหน้าของหลิ่วเย่ดำคล้ำลง มองไปที่สายตาของมู่อวิ๋นซียิ่งทำให้รู้สึกขุ่นเคืองมากขึ้น
“เจ้าคนสารเลว!” มู่จื่อโหรวเอ่ยปากด่าอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าต่างหากที่เป็นสัตว์รัจฉาน!เพื่อเงินแล้ว นึกไม่ถึงว่าอยู่ในแป้งน้ำยังปนของปลอมได้ ตอนนี้ฆ่าชีวิตคนไปแล้ว ยังกล้าพูดว่าตัวเองไม่เคยทำเรื่องไม่ดี ใจของเจ้าคงถูกหมากินไปตั้งนานแล้วใช่หรือไม่?”
มู่อวิ๋นซีพยุงองค์หญิงใหญ่ไปนอนที่บนตั่ง จากนั้นถึงได้เหลือบสายตาไปมองมู่จื่อโหรว มุมปากยกยิ้มเย้ยหยัน “เกรงว่าจะไม่ใช่ ใจของข้าได้ถูกเจ้ากัดกินไปนานแล้ว”
คนสารเลว นี้ก็ไม่ใช่ว่านางเป็นสัตว์เดรัจฉาน!
“มู่อวิ๋น…….
“พอได้แล้ว!” มู่เซิ่งขัดคำพูดของมู่จื่อโหรว แล้วได้หันไปคำนับใต้เท้าโจวจากจิงจ้าวอิ่น “ต้องทำให้ใต้เท้าหัวเราะเยาะแล้ว เรื่องอวิ๋นซี ข้ายังไม่มีเวลาได้ทูลกับองค์หญิง ถึงอย่างไรใต้เท้าโจวก็มาแล้ว ยังไงให้ใต้เท้าโจวทูลกับองค์หญิงอย่างละเอียดเถิด”
“ก็ดี”
ใต้เท้าโจวก็ไม่เกรงใจ เดินเข้าไปคำนับองค์หญิงใหญ่แล้วกล่าวถึงความตั้งใจนี้
“เมื่อสามวันก่อน ข้าจิงจ้าวอิ่นได้รับกระดาษเขียนคำร้อง ที่ฟ้องร้องจวนตระกูลมู่ครอบครัวลูกคนโตคุณหนูรอง เจ้าของร้านแดงดุจท้อมู่อวิ๋นซี นำของไม่ดีมาแทนของดี และการลดราคาโดยเพิ่มเกสรดอกฝูซิ่วฉิวที่มีพิษใส่ลงไปในแป้งประทินโฉมอย่างแป้งท้อธวัลพรรณและดอกท้อเสาวภาคย์ เป็นผลให้ฮูหยินฉินและอีกหลายคนที่ถูกทำให้เสียโฉม ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้ต้องสูญเสียไปอีกสองชีวิต จากนั้นจิงจ้าวอิ่นตรวจสอบแล้วว่าคดีนี้เป็นความจริง และวันนี้ถึงได้มาที่จวนตระกูลมู่เพื่อมานำตัวมู่อวิ๋นซีไปสู่กระบวนยุติธรรม
“ใต้เท้าโจว ท่านเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่?”
มู่จื่อโหรวที่มีสีหน้าหม่นหมองจู่ๆ ก็ได้มาขวางอยู่ด้านหน้ามู่อวิ๋นซี ขัดขวางสายตาของใต้เท้าโจวที่มองมายังมู่อวิ๋นซี “ถึงแม้ว่าแป้งประทินโฉมของแดงดุจท้อจะเกิดปัญหาขึ้น แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับมู่อวิ๋นซี? ข้าต่างหากที่เป็นเจ้าของร้านแดงดุจท้อ”
“ท่านชายมู่! อารมณ์ของท่านข้าสามารถเข้าใจได้ แต่เรื่องตรวจสอบมาได้เช่นนี้ ข้าเองก็ได้ตรวจสอบให้แน่ชัดแล้ว ดังนั้นได้โปรดท่านชายมู่อย่าขัดข้าที่กำลังจัดการคดี” ใต้เท้าโจวกล่าวอย่างจริงใจและอ่อนโยน
เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลมู่ เกี่ยวกับองค์หญิงใหญ่ ดังนั้นหลังจากที่ได้รับกระดาษเขียนคำร้อง เขาถึงได้ตรวจสอบถึงสามครั้ง และแดงดุจท้อเป็นชื่อของมู่อวิ๋นซีอย่างแน่นอน
“จริงๆ แล้วอวิ๋นซีเคยไปที่แดงดุจท้อแล้วหลายครั้งแต่นั่นคือไปแทนข้า” มู่จื่อชวนมองไปที่มู่เซิ่งกับหลิ่วเย่ “ท่านรองมู่ ฮูหยินเล็กหลิ่ว พวกท่านพูดสักหน่อย ตอนนี้เป็นข้าที่ไปดูแลแดงดุจท้อใช่หรือไม่?”
สีหน้าของมู่เซิ่งเต็มไปด้วยความลำบากใจ ไม่กล่าวอะไรสักคำ
สายตาของหลิ่วเย่มองวนอยู่ระหว่างมู่จื่อชวนกับใต้เท้าโจว จากนั้นก็มองไปที่มู่อวิ๋นซีที่อยู่ด้านหลังเขา “แต่ที่ข้าจำได้เป็นคุณหนูรองที่อยากจะไปดูแลแดงดุจท้อด้วยตัวเอง”
“พวกท่าน……”
“ท่านพี่!”
มู่อวิ๋นซีเรียกเสียงเบาๆ พวกเขาจะช่วยนางได้อย่างไร?
นางมองข้างหน้าที่สูงตระหง่านเหมือนภูเขาที่อยู่ตรงข้างหน้า ที่รั้งนางไว้อยู่ด้านหลัง ในใจก็อบอุ่นพองโต
เขาทำตามเหมือนที่นางพูดไว้จริงๆ ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็จะปกป้องนาง
นางยกมือดึงแขนเสื้อของเขาเบาๆ และเผชิญแววตาที่กังวลของเขา “ข้าไม่เป็นไร เชื่อข้าเถิด”
“แต่ว่า……”
โดยไม่รอให้เขาพูดมากกว่านี้ มู่อวิ๋นซีเดินอ้อมไปข้างหน้าเขา และมองไปที่ใต้เท้าโจวแห่งจิงจ้าวอิ่น พูดกับเขาว่า “คำนับใต้เท้าโจว เคยได้ยินมาเสมอว่าตัดสินคดีของใต้เท้าเหมือนดั่งพระเจ้า ปรากฏว่าเป็นเพราะใต้เท้ามาสอบปากคำผู้ต้องสงสัยในตอนเย็น”
ใต้เท้าโจวตกใจ และอดไม่ได้ที่จะต้องตรวจสอบผู้หญิงที่มีหน้าตาคิ้วที่ชัดเจนต่อหน้าเขาอีกครั้ง
“เดิมทีควรจะเป็นพรุ่งนี้เช้ามาพาคุณหนูมู่ไปที่จิงจ้าวอิ่นเพื่อสอบปากคำ แต่ท่านรองมู่อธิบายว่าพรุ่งนี้ที่จวนมีงานมงคล เพื่อเห็นแก่หน้าของจวนตระกูลมู่ ข้าถึงได้มาในคืนนี้เพื่อมาเชิญคุณหนูมู่ไปที่จิงจ้าวอิ่น”
องค์หญิงใหญ่มองที่มู่เซิ่งอย่างทะลุปรุโปร่ง เรื่องนี้เจ้ารู้ตั้งนานแล้ว? แต่ทำไมถึงไม่บอกข้า”
มู่เซิ่งกล่าวด้วยหน้าอย่างเหยเก “พี่สะใภ้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ก่อนหน้านั้นใต้เท้าโจวเคยถามเรื่องของอวิ๋นซีจริงๆ แต่ข้าไม่เชื่อว่าอวิ๋นซีจะทำสิ่งนี้ได้ ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่อวิ๋นซีทำนั้นมันจะเป็นจริง”
“ข้าเคยบอกตั้งนานแล้วนางสารเลวนี้ไม่ใช่ของดีอะไร” มู่จื่อโหรวใช้ประโยชน์จากนี้เพื่อที่จะพูดแทรก
องค์หญิงใหญ่โกรธจนพูดอะไรไม่ออก เพียงแค่รู้สึกเวียนศีรษะตาลาย
มู่จื่อชวนมองไปที่แววตาของมู่จื่อโหรวนอกจากความเฉยชา ทั้งยังมีความน่าขยะแขยงเพิ่มขึ้นและเป็นความขยะแขยงอย่างมาก
“คุณหนูมู่ เชิญขอรับ!” ใต้เท้าโจวได้เอียงข้างต่อหน้ามู่อวิ๋นซีและยังทำท่าทางเชิญให้กับนาง