ตอนที่ 126 เป็นแม่สื่อ
สุดท้าย หมอเกิ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการตั้งชื่อลวก ๆ ก็ตั้งชื่อให้ยาเม็ดนี้ว่า ‘ยาต้านโรคไข้หวัด’ ซึ่งแปลว่ายาพิชิตโรคไข้หวัดใหญ่นั่นเอง
กลิ่นของยาแทบจะล้นออกมาจากขวดยาอยู่แล้ว
เจียงป่าวชิงพยักหน้าอย่างจริงจัง “อืม… หมอเกิ่งมีความสุขก็ดีแล้วล่ะ”
แน่นอนว่าเกิ่งจื่อเจียงต้องมีความสุขอยู่แล้ว เขาไปซื้อขวดกระเบื้องเล็ก ๆ ที่ร้านเครื่องเคลือบที่อยู่ท้ายซอย จากนั้นก็ไปซื้อกระดาษสีแดงขนาดใหญ่จากร้านกระดาษและพู่กัน แล้วลากเจียงป่าวชิงให้ไปตัดแผ่นฉลากที่เป็นตารางขนาดสามนิ้วด้วยกัน นอกจากนี้ เขายังอยากให้เจียงป่าวชิงช่วยพูดเกี่ยวกับตัวอักษรที่จะเขียนลงไปในกระดาษอีกด้วย
เจียงป่าวชิงมองเกิ่งจื่อเจียงที่ตื่นเต้นจนออกนอกหน้า จากนั้นนางก็ปฏิเสธอย่างชัดเจน “คือ… ข้าเขียนหนังสือไม่เป็น ขอบคุณ”
ข้ออ้างที่ว่าไม่รู้หนังสือนี่มันมีประโยชน์ดีจริง ๆ เจียงป่าวชิงมองเกิ่งจื่อเจียงที่มองนางอย่างเสียดาย จากนั้นเขาก็ไม่พูดเรื่องที่จะให้นางเขียนหนังสืออีก ดังนั้น เกิ่งจื่อเจียงจึงถือพู่กันตัวเองและเขียนคำว่า ‘ต้านโรคไข้หวัด’ ลงไปบนกระดาษสีแดงขนาดเล็กที่ตัดเสร็จแล้วด้วยความตั้งใจ หลังจากนั้นก็ทาด้วยแป้งเปียกและติดลงไปบนขวดกระเบื้อง
ตัวอักษรสีดำ กระดาษสีแดง ขวดกระเบื้องสีขาว
ดูภาพรวมนี้แล้ว เหตุใดเจียงป่าวชิงถึงรู้สึกว่าเกิ่งจื่อเจียงเหมือนเป็นคนเร่ร่อนที่ขายยาปลอมเพื่อหลอกเงินทำนองนั้นเลย
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ เกิ่งจื่อเจียงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาเอนหลังพิงบนเก้าอี้และมองขวดยาที่จัดวางอยู่บนโต๊ะหนังสือด้วยสายตาแห่งความรักใคร่ภูมิใจ ทว่าจู่ ๆ เขาก็กระโดดโลดขึ้นมาเหมือนสปริงและตบศีรษะตัวเองเบา ๆ “โอ้! ข้าเกือบลืมไปแล้วเชียว”
เขาลุกขึ้นไปรื้อในลิ้นชักใต้โต๊ะหนังสืออยู่สักพัก จากนั้นก็หยิบบัญชีใหม่ออกมา เขาขีดเขียนอะไรสักอย่างบนบัญชีอย่างตั้งใจ จากนั้นก็ส่งให้เจียงป่าวชิงด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “แม่นางเจียง ข้ารู้ว่าเจ้าอ่านหนังสือออก เจ้าลองดูสิ”
เจียงป่าวชิงมองดูเล็กน้อย นี่คือค่ายาต้านโรคไข้หวัดหกขวดที่นางส่งมาก่อนหน้านี้ ราคาที่เกิ่งจื่อเจียงตั้งไว้ไม่ถือว่าสูงมากนัก หนึ่งขวดมียาเม็ดยี่สิบเม็ด สิบสลึงต่อยาหนึ่งเม็ด ยาต้านโรคไข้หวัดหกขวดรวมเป็นหนึ่งร้อยยี่สิบเม็ด รวมแล้วเป็นเงินสองตำลึงกว่า ๆ เกิ่งจื่อเจียงหยิบเศษเงินที่หนักประมาณหนึ่งออกมาจากในกล่องใส่เงิน จากนั้นก็ส่งให้เจียงป่าวชิง
เกิ่งจื่อเจียงคนนี้เป็นคนจริงใจจริง ๆ ยาขวดแรกก่อนหน้านี้ เจียงป่าวชิงบอกชัดเจนแล้วว่าจะให้เขา แต่เขาก็ยังคงคิดค่ายาขวดนั้นเข้าไปในบัญชีให้นางอีก
เกิ่งจื่อเจียงมองสายตาของเจียงป่าวชิงอย่างระมัดระวัง “แม่นางเจียง ต่อไปเราจะใช้บัญชีนี้มาคิดเงินค่ายาต้านโรคไข้หวัด คนที่มาตรวจโรคที่ร้านยาข้าส่วนมากจะเป็นคนยากคนจน อีกอย่าง เครื่องปรุงยาที่เราใช้ก็ไม่ได้ล้ำค่าและหายากอะไร ดังนั้น ข้าคิดว่าเมื่อขายครั้งต่อไป ราคายังคงเป็นสิบสลึงต่อยาหนึ่งเม็ด หากว่าเจ้ารู้สึกว่าราคาต่ำไป ข้าสามารถให้กำไรในส่วนของข้ากับเจ้าได้ หรือไม่อย่างนั้น ส่วนของเจ้าเจ็ดสิบ ส่วนของข้าสามสิบก็ได้”
สามสิบส่วนในร้อยส่วนนี้ เจียงป่าวชิงคาดว่าคงไม่พอแม้แต่เงินทุนค่าเครื่องปรุงยาด้วยซ้ำ นางส่ายหน้า “ไม่ ๆ ๆ ข้าสามสิบ เจ้าเจ็ดสิบเถอะ ถึงอย่างไรเจ้ายังต้องรับผิดชอบเรื่องเงินทุนอยู่ แล้วยังต้องตรวจโรคให้คนและพิจารณาปริมาณอีก ส่วนเรื่องกำไรก็ไม่ต้องรีบหรอก คิดบัญชีเพียงแค่เดือนละครั้งก็ได้”
เกิ่งจื่อเจียงรู้สึกตื้นตันใจจนตาแดงก่ำ เขารู้ตั้งนานแล้วว่าเจียงป่าวชิงเป็นคนจิตใจดี แต่เขาไม่คิดว่าจิตใจของเจียงป่าวชิงจะดีถึงเพียงนี้ ใบสั่งยาของยาต้านโรคไข้หวัดนี้ หากว่านางอยากแลกเป็นเงินจริง ๆ นางเอาไปขายให้ร้านยาใหญ่ ๆ ก็คงจะได้เงินเยอะกว่าร้านยาของเขามาก
“ไม่ นี่ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่…” จิตใจของเกิ่งจื่อเจียงไม่เป็นสุข เขารู้สึกไม่สบายใจมาก “เดิมทีก็ตั้งราคาต่ำอยู่แล้ว หากว่าเจ้าเอาเพียงสามสิบส่วน มันก็จะน้อยเกินไป”
เจียงป่าวชิงพูดขึ้นช้า ๆ “ไม่เหมาะสมที่ไหนกัน ? ข้ายากจนมากก็จริง แต่ก็ไม่ถึงกับอยู่ที่เส้นตายขนาดที่ถึงกับต้องใช้ทักษะการแพทย์มาคดโกงเงินของคนยากจน อย่างที่ว่ากันว่าวิญญูชนต้องการเงินทองทรัพย์สิน ก็ต้องได้ มาด้วยวิธีที่ถูกต้อง ราคาที่เจ้าตั้งไว้ ข้าว่ามันดีมากเลย เจ้าเอาในส่วนเจ็ดสิบไปให้สบายใจเถอะ ถึงอย่างไรถ้าหักลบกับเงินทุนแล้ว อันที่จริงเจ้าก็ได้เงินไม่มากเท่าไหร่ไม่ใช่หรือ ?”
“แม่นางเจียง เจ้าช่างเป็นคนดีจริง ๆ” เกิ่งจื่อเจียงอยากเข้าไปกอดเจียงป่าวชิงทั้ง ๆ ที่ตาแดงก่ำ แต่กลับถูกเจียงป่าวชิงยื่นมือมาขวางเพื่อปฏิเสธเสียก่อน
เจียงป่าวชิงแสดงสีหน้าเหนื่อยหน่าย “หมอเกิ่ง รบกวนช่วยระมัดระวังด้วย อย่าได้ถือจังหวะเอาเปรียบสาวน้อยอายุน้อยอย่างข้าเชียวล่ะ”
ตอนนี้เกิ่งจื่อเจียงถึงจะตอบสนองกลับมา คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา… ไม่ใช่สัตว์ประหลาดภูเขา แต่เป็นเด็กสาววัยสิบกว่าปีเท่านั้น ทว่านางฉลาดล้ำลึก
“เจ้า… พฤติกรรมต่าง ๆ ของเจ้าไม่เหมือนเด็กสาวทั่วไปเอาสียเลย” เกิ่งจื่อเจียงรีบแก้ต่างให้ตัวเองทันที “คุณธรรมสูงส่ง เจ้ามีคุณธรรมสูงส่งจริง ๆ”
“เหอะ ๆ” เจียงป่าวชิงไม่แสดงสีหน้าใด ๆ “เจ้าหมายความว่าเด็กผู้หญิงจะไม่สามารถมีคุณธรรมสูงส่งได้อย่างนั้นรึ ?”
เกิ่งจื่อเจียงเกือบคุกเข่าให้เจียงป่าวชิงอยู่แล้ว “ข้าเปล่า ข้าไม่ได้… เจ้าอย่าพูดมั่ว ๆ สิ”
เจียงป่าวชิงเหมือนนักเลงที่หยอกล้อหญิงสาวจากครอบครัวสุจริตอย่างไรอย่างนั้น นางผิวปากและไปจากร้านยาอย่างสง่า
ได้เงินมาตั้งสองตำลึงกว่า เจียงป่าวชิงจึงไปตลาดนัดเพื่อซื้อเนื้อตากแห้งกับไส้กรอกอย่างอารมณ์ดี และซื้อเครื่องปรุงสำหรับทำอาหารด้วย นางตั้งใจไว้ว่ากลับไปจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้เจียงหยุนชานกิน
ตอนที่รวมตัวกันนอกเมือง เมื่อป๋ายรุ่ยฮัวเห็นเจียงป่าวชิงถือพวกของกินมามากมาย แววตาของนางก็อดไม่ได้ที่จะกะพริบแวบหนึ่ง
ซุนต้าหูเห็นเข้า เขาก็ตกใจอยู่เล็กน้อยเช่นกัน ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเดินเข้าไปหาเจียงป่าวชิงเพื่อจะช่วยนางถือของ แต่เจียงป่าวชิงกลับหลบหลีกและพูดยิ้ม ๆ “พี่ต้าหู ของพวกนี้ไม่หนัก ข้าถือได้เจ้าค่ะ”
สีหน้าของซุนต้าหูเศร้าสลดอยู่เล็กน้อย ในที่สุดเขาก็พบแล้วว่าส่วนไหนที่ผิดปกติไป นั่นก็คือเจียงป่าวชิงกำลังทำตัวห่างเหินกับเขานั่นเอง
การรับรู้ได้ถึงข้อเท็จจริงข้อนี้ ทำให้ซุนต้าหูที่มีนิสัยตรงไปตรงมามาโดยตลอดเปรียบเสมือนได้รับการโจมตีอย่างแรง
จนกระทั่งกลับมาที่ชีหลี่โว ท่าทีที่เจียงป่าวชิงมีต่อซุนต้าหูก็ยังคงเป็นท่าทีเกรงใจและมีความห่างเหินอยู่เช่นเดิม
ซุนต้าหูรู้สึกทรมานมาก แต่เขากลับพูดอะไรไม่ได้
ป๋ายรุ่ยฮัวอุ้มเฟิ่งเอ๋อร์พร้อมกับพูดปลอบเขาอย่างนุ่มนวลไปด้วย
ซุนต้าหูเพียงฝืนยิ้มและพูดว่า “สะใภ้ตระกูลป๋าย ขอบคุณเจ้าที่เป็นห่วงข้า แต่ข้าไม่ได้เป็นอะไร ข้าขอตัวกลับไปให้อาหารล่อก่อนล่ะ” พูดเสร็จ เขาก็จูงล่อกลับไปอย่างรวดเร็ว
ป๋ายรุ่ยฮัวยืนอยู่ที่เดิม ไม่รู้เช่นกันว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
ตอนที่เจียงป่าวชิงถือเนื้อตากแห้งกับไส้กรอกกลับมาที่บ้าน นางก็ไม่คิดว่าจะมี ‘เรื่องน่าแปลกใจ’ อยู่ตรงหน้าบ้าน นั่นก็คือมีหญิงชราคนหนึ่งในชุดเสื้อสีน้ำเงินแดงที่มีดอกตู้เจวียนติดอยู่ที่ข้างหน้าผากกำลังยืดคออยู่ตรงหน้าบ้านเจียงป่าวชิง มองดูคล้ายกับว่านางกำลังสังเกตอะไรบางอย่าง
เจียงป่าวชิงเดินเข้าไปก่อนจะเอ่ยถามอย่างสงสัย “ท่านยาย มาหาใครหรือเจ้าคะ ?”
การแต่งกายนี้เหตุใดจึงดูเหมือน… พวกแม่สื่อแม่ชักเลยล่ะ ?
หญิงชราที่มีดอกตู้เจวียนติดอยู่ที่ข้างหน้าผากตกอกตกใจ นางตัวสั่นและเกือบกระโดดเพราะความตกใจอยู่รอมร่อ นางกำลังจะหันไปด่า แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเจียงป่าวชิง ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนกลายเป็นยิ้มแย้มราวกับจะรีดดอกไม้ออกมาได้อย่างไรอย่างนั้น จากนั้นนางก็เรียกเจียงป่าวชิงด้วยน้ำเสียงที่ดัดให้ดูเป็นมิตรเกินจริง “ไอ้โย! เจ้าคือป่าวชิงของตระกูลเจียงใช่หรือไม่ ? ไม่เจอกันหลายปี เจ้ากลายเป็นสาวแล้ว”
เจียงป่าวชิงรู้สึกแปลกประหลาดไปเล็กน้อยที่ได้ยินใครมาพูดเช่นนี้ ส่วนเจียงหยุนชาน เขาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่หน้าบ้านจึงเปิดประตูออกมาแล้วเห็นน้องสาวกำลังคุยกับหญิงชราที่ยากจะอธิบายได้ในคำเดียวอยู่ตรงหน้าบ้าน เขาชะงักไปทันที “ป่าวชิง มีแขกรึ ?”
เจียงป่าวชิงก้าวเข้ามาในบ้านเพื่อจะวางของในมือลงก่อน แต่ใครจะไปคิดว่าหญิงชราที่อยู่ข้างหลังก็ก้าวตามมาเช่นกัน
เจ้าเสี่ยวหวงพุ่งมาหาเหมือนกระสุนปืนใหญ่พลางส่งเสียงเห่าทั้งอย่างนั้น เจียงป่าวชิงขวางไว้แล้วอุ้มมันเข้าไปปล่อยในกรง จากนั้นก็ปิดประตูไม้เล็ก ๆ ของกรงหมาเพื่อให้มันได้อยู่ในกรงกับเสี่ยวป๋าย
หญิงชราผู้นี้ทำการสังเกตตัวบ้าน จากนั้นนางก็พูดชมขึ้นมาว่า “หลังจากที่ป่าวชิงของเราหายจากอาการป่วยนั้นแล้ว พวกเขาก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่านางฉลาดขึ้นกว่าเดิม ข้ายังคิดว่าพวกเขาล้อเล่น แต่พอมาดูที่บ้านวันนี้ กลับพบว่าเจ้าทำทุกอย่างได้คล่องแคล่วจริง ๆ”
ใครคือป่าวชิงของเรา ?
เจียงป่าวชิงยังคงรู้สึกแปลกใจ นางมองหญิงชราคนนั้นเล็กน้อย “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านยายที่ชมข้า แต่ว่า… ท่านยายมีธุระอะไรก็พูดมาตรง ๆ เลย อย่าอ้อมค้อมเลยเจ้าค่ะ”
หญิงชราคนนั้นไม่รู้สึกเก้อเขิน นางกำลังจะเดินเข้าไปในบ้านต่อ แต่เจียงหยุนชานกลับขวางไว้ก่อน “ท่านยายขอรับ ท่านยายมาหาพวกเรามีธุระอะไรหรือเปล่าขอรับ ?”
หญิงชรามองเจียงหยุนชาน จากนั้นนางก็หัวเราะ “หึ ๆ เจ้าอย่าได้ร้อนใจไป เจ้าน่ะ คาดว่าต้องรออีกสองปีถึงจะใช้งานข้าได้ วันนี้ข้ามาเป็นแม่สื่อให้น้องสาวเจ้าต่างหากล่ะ”
คำว่า ‘เป็นแม่สื่อ’ ทำให้เจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิงตื่นตระหนกทันที
สองพี่น้องยืนตกตะลึงกันอยู่ที่เดิม ราวกับถูกฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะก็มิปาน
.
Related