ตอนที่ 3107 โลหิตชีพจรเทพสปิริตที่พิเศษ
หลังจากที่ได้ฟังรายงานจากลู่ซานจี สตีลซีนก็พูดอย่างเย็นชาว่า “นี่มันบ้าบอสิ้นดี”
“นายท่านสตีลซีน หานเซิ่นนั้นมีความสัมพันธ์ที่พิเศษกับองค์รัชทายาท การจะจัดการกับเขานั้นดูเหมือนจะไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่พวกเราคาดการณ์เอาไว้” สู่ซานจีพูด
สตีลซีนพูดอย่างดูถูก “อาณาจักรฉันถูกสร้างขึ้นด้วยคนอย่างพวกเรา องค์ราชานั้นเป็นคนฉลาด เขาจะไม่ปล่อยให้องค์รัชทายาททําอะไรตามใจชอบแบบนั้น พวกเราต้องกําจัดคนชั่วร้ายคนนี้ไป ไม่อย่างนั้นอาณาจักรอาจจะต้องหายนะจากการกระทําของเขา”
“แต่ในตอนนี้องค์รัชทายาทอาศัยอยู่ในปราสาทของเฟิงเฟยเฟย พวกเราคงจะทําอะไรไม่ได้” ลู่ซานจีดูลําบากใจ
ใบหน้าของเขายังคงรู้สึกเจ็บ เขาไม่กล้าจะไปที่ปราสาทของตระกูลเฟยอีก
สตีลซีนโบกมือพร้อมกับพูดว่า “ไม่มีความจําเป็นต้องไปจับตัวเขามา ถ้าพวกเราต้องการจะฆ่าเขา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกล พวกเราก็กําจัดเขาได้”
“นายท่านหมายความว่ายังไง?” ลู่ซานจีถามขณะที่มองไปที่สตีลซีนด้วยสีหน้าสับสน
สตีลซีนยิ้มและเรียกยีนเรซตัวหนึ่งออกมา ยีนเรซนี้มีรูปร่างเหมือนกับรูปปั้นทองแดง มันคือซือหมิงเดม่อนเรซของกงซูจื่อ “ซื่อหมิงเดม่อนเรซนั้นเป็นยีนเรซที่หาได้ยาก กงซูจือนั้นได้มันมาจากชีพจรพระเจ้าลึกลับ และมันบังเอิญเหมาะสมกับโลหิตชีพจรเทพสปิริตของข้าพอดี ข้าพยายามจะซื้อมันมาจากเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะขายมันทุกครั้ง แต่ครั้งนี้เขามามอบมันให้กับข้าด้วยตัวเอง ตอนนี้เมื่อข้าได้ซื่อหมิงเดม่อนเรซมา พวกเราก็จะลองใช้มันกับหานเซิ่น”
“ข้าได้ยินมาว่าซื่อหมิงเดม่อนเรชนั้นจําเป็นต้องใช้ยีนของเหยื่อ” ลู่ซานจีพูด
“ในตอนนี้หานเซิ่นต้องระมัดระวังตัวอย่างมาก ข้าไม่คิดว่าพวกเราจะได้ยีนของเขามาง่ายๆ”
สตีลซีนมองซื่อหมิงเดม่อนเรซด้วยดวงตาที่หลงใหล “นั่นเป็นเพราะว่าคนที่ใช้มันคือกงซูจือ ถึงเขาจะมีชื่อเสียงเรื่องการหาชีพจรพระเจ้า แต่ในเรื่องการใช้ยีนเรซนั้นเขาไม่ได้เรื่องเลยสักนิด ซือหมิงเดม่อนเรชนั้นเป็นยีนเรซที่ทรงพลัง แต่เขาไม่ได้ใช้มันอย่างถูกต้อง ถ้าเขาใช้มันเป็น ป่านนี้เฟิงเฟยเฟยก็คงจะตายไปแล้ว
สตีลซีนยื่นมือออกไปสัมผัสซื่อหมิงเดม่อนเรซ มันเหมือนกับว่าเขากําลังลูบผิวของคนรัก เขาพูดต่อไปว่า “พลังที่แท้จริงของซือหมิงเดม่อนเรซไม่ได้มีแค่นั้น และมันยังเข้ากันได้ดีกับโลหิต ชีพจรเทพสปิริตของข้า ในตอนนี้มันได้กลายเป็นยีนเรซเอ็กซ์คลูซีฟที่ทรงพลังยิ่งกว่าเดิม”
ลู่ซานจีมองไปที่ซื่อหมิงเดม่อนเรซด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาไม่เคยได้เห็นมันมาก่อน ตอนนี้เมื่อเขาได้เห็นมัน เขาก็สังเกตเห็นว่ามันมีรูปร่างเหมือนกับรูปปั้นทองแดงที่ไร้ใบหน้า
แต่เมื่อเขามองดูมันดีๆ เขาก็พบว่ามันไม่ใช่แค่รูปปั้นทองแดงธรรมดา ภายในรูปปั้นนั้นมีเส้นสีแดงที่ดูคล้ายกับเส้นเลือดอยู่ทั่วร่างกาย
“เจ้าเห็นเส้นสีแดงนี้ไหม?” สตีลซีนพูด
“นั่นคือสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาหลังจากที่ซื่อหมิงเดม่อนเรซกลายเป็นยีนเรซเอ็กซ์คลูซีฟ มันวิวัฒนาการโดยโลหิตชีพจรเทพสปิริตของข้า ตอนนี้ซือหมิงเดม่อนเรชนั้นไม่จําเป็นต้องใช้ยีนของเป้าหมายอีกต่อไป พวกเราฆ่าเขาได้”
หลังจากที่พูดจบ สตีลซีนก็ยื่นมือออกมาและเฉือนนิ้วของตัวเอง เขาใช้เลือดของเขาเขียนชื่อ “หานเซิ่น” ลงไปบนรูปปั้นทองแดงที่ไร้ใบหน้า ทันใดนั้นชื่อของหานเซิ่นก็เรืองแสงสีเลือดประหลาดออกมา
แสงสีเลือดนั้นดูเหมือนกับโรคติดต่อ มันลามไปทั่วร่างกายของซือหมิงเดม่อนเรซ และแสงสีเลือดก็สว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกันรูปร่างของซื่อหมิงเดม่อนเรซก็เริ่มบิดเบี้ยว มันกําลังเปลี่ยนเป็นรูปร่างของหานเซิ่น
สตีลซีนพูดด้วยใบหน้าอวดดี “พลังที่แท้จริงของซือหมิงเดม่อนเรชนั้นเป็นพลังที่คล้ายคลึงกับชะตากรรม วิธีการใช้ขั้นต่ําของมันคือการใช้ยีนของเป้าหมายที่ต้องการจะกําจัด อย่างเส้นผมหรือเศษผิวหนัง แต่วิธีการใช้ที่ถูกต้องนั้นไม่ได้ยุ่งยากแบบนั้น พวกเราเพียงแค่ต้องใช้ชื่อของเป้าหมายเท่านั้น หลังจากนั้นพลังของซือหมิงเดม่อนเรซก็จะทํางาน แน่นอนว่าชื่อนั่นจะต้องเป็นชื่อที่คนๆนั้นใช้เป็นประจํา มันจะเป็นชื่อเล่นของคนๆนั้นก็ได้ ชื่อนั้นเป็นแค่สัญลักษณ์ของชะตากรรม ถ้าเขาใช้สัญลักษณ์นั้นบ่อยๆ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ชื่อจริง แต่มันก็ยังมีสัญลักษณ์ชะตากรรมของเขาอยู่ และพลังของซื่อหมิงเดม่อนก็จะเชื่อมต่อไปถึงตัวเขา”
“พลังของซือหมิงเดม่อนเรซนี่น่ากลัวจริงๆ” ลู่ซานจีพูดด้วยความดีใจ “ครั้งนี้หานเซิ่นคนนั้น จะต้องตาย”
ในตอนที่รูปปั้นทองแดงบิดเบี้ยวจนกระทั่งใบหน้าของหานเซิ่นปรากฏบนใบหน้าของมัน เมื่อเห็นแบบนั้นลู่ซานจีก็เอยชมขึ้นว่า
“จริงๆด้วย นั่นเป็นใบหน้าของหานเซิ่น ในตอนนี้เมื่อนายท่านมีซือหมิงเดม่อนเรช มันก็ไม่มีใครหยุดนายท่านได้อีก”
สตีลซีนยิ้ม “ถึงซือหมิงเดม่อนเรซจะทรงพลัง แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีจุดอ่อนเลย ถ้าคู่ต่อสู้แข็งแกร่งเกินไป หรือว่ามีโลหิตชีพจรเทพสปิริตที่ทรงพลังปกป้องพวกเขาอยู่ พลังของซื่อหมิง เดม่อนเรซก็จะใช้ไม่ได้ผล
ลู่ซานจีดูกังวลขึ้นมาทันที “ข้าได้ยินมาว่าหานเซิ่นนั้นอาจจะเป็นขุนนางเลือดพระเจ้า พลังของซื่อหมิงเดม่อนเรซจะใช้ได้ผลกับเขาไหม?”
สตีลซีนหัวเราะและพูด “ถึงแม้เขาจะเป็นขุนนางเลือดพระเจ้า แต่โลหิตชีพจรพระเจ้าของเขาก็ไม่มีทางเทียบกับโลหิตชีพจรเทพสปิริตของข้าได้ เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน”
ดาวไอซ์สโนว์เป็นหนึ่งในดวงดาวใต้อาณานิคมของเมืองกําแพงหยก เมืองไอซ์สโนว์นั้นถูกสร้างขึ้นบนดวงดาวที่มีวิหารของไอซ์สโนว์ก็อดเดสเป็นจุดศูนย์กลาง
ตระกูลสตีลซีนจะได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริตจากไอซ์สโนว์ก็อดเดส พวกเขาสื่อสารและรวมร่างกับไอซ์สโนว์ก็อดเดสได้ โลหิตชีพจรเทพสปิริตของตระกูลสตีลนั้นไม่ใช่โลหิตชีพจรเทพสปิริตธรรมดาทั่วๆไป แม้แต่โลหิตชีพจรเทพสปิริตที่สมบูรณ์ก็เทียบกับโลหิตชีพจรเทพสปิริตของตระกูลสตีลไม่ได้
มันเป็นโลหิตชีพจรเทพสปิริตที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งหมายความว่าทุกคนในตระกูลนั้นจะกําเนิดมาโดยที่มีโลหิตชีพจรเทพสปิริตของไอซ์สโนว์ก็อดเดส แต่ถ้าพวกเขาต้องการจะรวมร่างกับไอซ์สโนว์ก็อดเดส พวกเขาจําเป็นต้องรวมร่างในวิหารไอซ์สโนว์ก็อดเดส
นอกจากจะมีชีพจรพระเจ้าและยีนเรซมากมายอยู่บนดาวไอซ์สโนว์แล้ว ตระกูลสตีลนั้นเปิดให้คนมาทําธุรกิจบนดวงดาวของเขาด้วย เนื่องจากมันเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะร่ํารวยด้วยตัวของพวกเขาเอง ตระกูลสตีลนั้นอยู่มาสามรุ่นและทั้งสามรุ่นก็เป็นนายพลของทหารองครักษ์ทุกรุ่น ด้วยฐานะแบบนั้นดาวไอซ์สโนว์จึงกลายเป็นดาวที่ร่ํารวยมากๆ
หานเซิ่นกําลังเดินอยู่บนถนนของเมืองไอซ์สโนว์ เขากําลังจะไปที่คฤหาสน์ของตระกูลสตีล เมื่อเขามองเห็นสิ่งก่อสร้างที่ดูเหมือนกับปราสาทที่มีประตูโลหะสูงเก้าฟุต หานเซิ่นก็มีรอยยิ้มที่เย็นชาบนใบหน้าของเขา
หานเซิ่นไม่ชอบปัญหา และเขาก็ไม่ต้องการจะสร้างปัญหาให้กับคนอื่นเช่นกัน แต่ถ้ามีคนมาสร้างปัญหาให้กับเขา เขาก็ต้องทําให้แน่ใจว่าปัญหานั้นจะไม่ตามมาหลอกหลอนเขาอีก
คฤหาสน์ของตระกูลสตีลนั้นถูกสร้างอยู่ใกล้ๆกับวิหารไอซ์สโนว์ก็อดเดส ในตอนที่เขายืนอยู่ตรงประตูของคฤหาสน์ เขาก็มองเห็นวิหารพระเจ้าที่ดูเหมือนกับน้ําแข็ง
“ดูสิว่าขุนนางเลือดพระเจ้าของที่นี่จะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน” หานเซิ่นก้าวไปที่ประตู
ในตอนที่ยามเฝ้าประตูเห็นว่าหานเซิ่นเดินเข้ามาใกล้ เขาก็เริ่มตะโกนขึ้นว่า “ที่นี่คือคฤหาสน์ของตระกูลสตีล! ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าใครก็เข้าไปข้างในไม่ได้”
Related