เมืองเจียงเฉิง
อันเฉินพาศาตราจารย์หลี่มาถึงที่หมายในช่วงค่ำ
และเนื่องจากศาตราจารย์หลี่อายุหกสิบกว่าแล้ว จึงทนต่อการเดินทางไกลแบบนี้ได้ไม่ไหวนัก อันเฉินจึงพาท่านไปพักผ่อนที่โรงแรมก่อน
เสร็จแล้วก็รีบไปหาเย่ซือเยวี่ยทันที
ครั้งนี้ทุกอย่างดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น ทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น อันเฉินก็ยังห่วงเย่ซือเยวี่ยอยู่มาก ไม่รู้ว่าหญิงสาวยังขี้อาระวาดอยู่มั้ย
เขาโทรฯหาที่บ้านเพื่อบอกให้รู้ว่าเขามาถึงเมืองเจียงเฉินแล้วแต่ยังมีธุระต้องไปจัดการนิดหน่อยอาจต้องกลับดึกหน่อย ก่อนจะขับรถไปที่โรงพยาบาลท้ันที
คุณแม่อันเฉินเป็นคนรับสาย ในใจก็อดที่จะบ่นไม่ได้ว่า: “นี่เห็นงานสำคัญกว่าหรืออะไรกัน กลับมาเมืองเจียงเฉิงก็ต้องกลับบ้านก่อนเป็นอันดับแรกซิ หรือว่า…..มีแฟนแล้ว?”
คิดได้แบบนั้น คุณแม่ของอันเฉินก็วิ่งเข้าไปในห้อง ยืนพูดต่อหน้ารูปของพ่ออันเฉิน: “ไม่รู้ว่าลูกรักของคุณจะมีหลานให้ฉันอุ้มเมื่อไหร่กัน ถ้าได้สักคนก็คงจะดี ฉันเองก็จะได้ไม่รู้สึกติดค้างอะไรคุณอีก!”
……..
อันเฉินถึงโรงพยาบาลในเวลาที่ค่อนข้างดึกมากแล้ว
เขาคิดว่าแค่มาดูให้แน่ใจว่าเธอไม่เป็นอะไรก็จะกลับ จะได้ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของเธอ
เขาเดินมาถึงหน้าห้องผู้ป่วย ค่อยๆเปิดประตูเข้าไป อันเฉินเห็นคุณแม่ของเย่ซือเยวี่ยนอนหลับอยู่ข้างเตียง
ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปหา เย่ซือเยวี่ยก็ถามขึ้น: “ใคร?”
อันเฉินตกใจจนสะดุ้ง ไม่คิดว่าเธอยังไม่นอน
“ชูว์.. เบาๆหน่อย คุณแม่หลับอยู่”
พอได้ยินเสียงอันคุ้นเคย เย่ซือเยวี่ยก็ผ่อนคลายลง : “คุณกลับมาเร็วจัง………”
“ฉันเพิ่งถึงก็มาดูเธอเลย”
“อ๋อ เข้าใจละ”
ถึงแม้น้ำเสียงจะฟังดูราบเรียบ แต่ในใจของเย่ซือเยวี่ยกลับดีใจอยู่ไม่น้อย
อันเฉินเดินเข้าไปหา : “เธอยังไม่นอน? หรือว่าฉันทำให้เธอตื่น?”
“นอนไม่หลับ วันๆอยู่แต่ในห้อง นอนมากพอแล้ว”
เย่ซือเยวี่ยแค่พูดไปตามความเป็นจริง แต่ในใจอันเฉินกลับรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาแวบหนึ่ง
“สองสามวันนี้ อาจจะมีคุณหมอมาดูอาการให้ เธออาจจะได้รับการผ่าตัดเร็ววันนี้ ไม่นานเธอก็จะมองเห็นได้อีกครั้ง”
“จริงเหรอ?”
เย่ซือเยวี่ยได้ยินแบบนั้นก็ดีใจมาก แต่ก็รีบควบคุมอารมณ์ตัวเองให้สงบลง
ตอนนี้เธอไม่กล้าที่จะคาดหวังกับอะไรมากนัก เธอกลัวว่า ยิ่งคาดหวังไว้สูง ก็จะยิ่งผิดหวังมาก
“แล้ว…..ถ้าฉันไม่หายจะทำไงดี?”
“งั้นก็หาต่อไป จนกว่าจะเจอคุณหมอที่จะรักษาเธอให้หายได้”
อันเฉินตอบโดยไม่ต้องคิด
เขาไม่อยากเห็นเย่ซือเยวี่ยท้อแท้และเศร้าหมองแบบนี้
“ฉันไม่รู้ว่าฉันจะทนได้อีกนานแค่ไหน”
เย่ซือเยวี่ยยิ้มขื่น
ต่อหน้าพ่อแม่ เธอพยายามทำเป็นสดใสคิดบวกเพราะไม่อยากทำให้ท่านต้องกังวลใจ แต่ไม่รู้ทำไมกับอันเฉินเธอไม่อยากพยายามทำเป็นเข้มแข็งอีกต่อไป
“ถ้างั้นฉันก็จะอยู่กับเธอตรงนี้ และทำให้เธออดทนสู้ต่อไป”
อันเฉินนั่งลงข้างๆ แล้วหยิบแอปเปิลลูกหนึ่งมาปอกให้เย่ซือเยวี่ย
“ก็ถ้าต่อไปคุณมีครอบครัว ก็คงจะเบื่อฉันแล้วล่ะ…..”
เย่ซือเยวี่ยหันหน้าไปทางอันเฉิน เวลานี้เธออยากเห็นสีหน้าของเขาเหลือเกิน อยากรู้ว่าเขาจะตอบเธอยังไง
“ไม่มีทาง ถ้าเธอกังวลเรื่องนี้ ฉันสัญญากับเธอได้เลยว่า ก่อนที่เธอจะหายกลับมาเป็นเหมือนเดิม ฉันจะไม่แต่งงาน ไม่มีลูก แบบนี้เธอจะสบายใจขึ้นมั้ย?”
“ที่ฉันเป็นแบบนี้มันไม่ใช่ความผิดของคุณ ถ้าคุณแค่รู้สึกผิด…….ก็ไม่ต้องนะ”
อันเฉินวางแอปเปิลที่ปอกเสร็จแล้วไว้ข้างๆ รู้สึกผิดเหรอ….
ก็อาจมีบ้าง ใครให้เย่ซือเยวี่ยบอกว่าเกิดเรื่องตอนที่อยู่กับเขา
แต่พอโดนเธอถามแบบนี้ เขาเองก็เพิ่งสังเกตว่าที่เขาเป็นห่วงเป็นใยเธอมากมายแบบนี้คงไม่ใช่แค่รู้สึกผิดแล้วล่ะ
ถ้าแค่รู้สึกผิด เขาต้องทำถึงขนาดกลับมาปุ๊บก็ตรงมาหาเธอโดยไม่แวะกลับบ้านก่อนเลยเหรอ…..
เห็นอันเฉินนิ่งเงียบไป เย่ซือเยวี่ยก็คิดไปเองว่าเขายอมรับว่าเป็นแบบนั้น ในใจเธอรู้สึกจี๊ดขึ้นมาเล็กน้อย: “ช่างเถอะ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว คุณเพิ่งกลับมา ก็น่าจะเหนื่อยมาก ยังไงก็กลับไปก่อนเถอะ”
“เย่ซือเยวี่ย”
อันเฉินลุกขึ้นยืนทันทีทันใด: “สิ่งที่ฉันจะพูดต่อไปนี้ อาจจะทำให้เธอรู้สึกตกใจ เธอช่วยตั้งสติและนิ่งไว้ก่อน อย่าทำให้แม่เธอตื่นได้มั้ย?”
“อะไร?”
เย่ซือเยวี่ยเอียงหัวเล็กน้อย ก่อนจะตอบตกลง
“ฉันคิดว่า ที่เธอพูดว่าเป็นเพราะฉันรู้สึกผิด รู้สึกต้องรับผิดชอบ ฉันไม่เถียง แต่เหมือนมันจะไม่ใช่แค่นั้น”
สิ่งที่อันเฉินกำลังพูดทำให้หัวใจของเย่ซือเยวี่ยเต้นแรงมากขึ้น
“แล้วยังไง?”
“ฉันว่าฉันเหมือนจะชอบเธอเข้าแล้ว ยังไงเราลองมาคบกันมั้ย?”
อันเฉินไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว ยิ่งไม่มีโรแมนติกอะไรทั้งสิ้น เขาพูดทุกอย่างออกมาตามที่ใจต้องการ
เย่ซือเยวี่ยที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้มีสีหน้าเต็มไปได้ความไม่เข้าใจ
เธอก็นึกว่าอันเฉินจะพูดเรื่องอะไรซะอีก……
อ๋อ ที่แท้เขาบอกว่าเขาชอบเธอนี่เอง
ไม่สิ……เขาชอบเธอ?
“วันนี้เป็นวันโกหกโลกเหรอ?”
เย่ซือเยวี่ยถามขึ้นแบบนั้น
อันเฉินที่กำลังใจจดจ่อรอให้เธอตอบรับหรือปฏิเสธอยู่ พอได้ยินแบบนั้นก็นึกอยากตบหัวให้ทีหนึ่ง
“ไม่ใช่”
“งั้นคุณก็กำลังล้อฉันเล่นอยู่ใช่มั้ย?”
อันเฉินรู้สึกจนใจ :”เย่ซือเยวี่ย ทีเมื่อก่อนเธอไปพังงานดูตัวของฉันไม่เห็นจะยึกๆยักๆแบบนี้เลย สรุปเธอจะตอบรับ หรือจะปฏิเสธ?”
“มีผู้ชายที่ไหนเขาถามผู้หญิงแบบนี้กัน?”
เย่ซือเยวี่ยก้มหน้าบ่นอุบอิบ
แต่เธอรู้สึกได้ว่าใบหน้าเธอเริ่มเห่อร้อนเป็นพักๆแล้ว
ความรู้สึกในใจก็ชัดเจน เธอไม่ได้รังเกียจอันเฉิน แต่กลับรู้สึกดีใจที่เขาอยู่ที่นี่
นี่น่าจะเป็นความรู้สึกของการชอบใครสักคนสินะ?
“ปกติ เธอก็ไม่เหมือนผู้หญิงอยู่แล้ว…..”
อันเฉินเองก็อดไม่ได้ที่จะแหย่เธอ
“ผู้ชายอะไรไม่โรแมนติกเอาซะเลย…….” เย่ซือเยวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะเถียงเขา : “อยากให้ฉันตอบรับ อย่างน้อยก็ควรจะมีช่องดอกไม้มาไม่ใช่เหรอ?”
คำพูดนี้อาจฟังดูตลก
แต่ความหมายมันกลับชัดเจน
มันแปลว่าตกลง
อันเฉินยิ้มกว้างขึ้นมาทันที เมื่อครู่เขายังคิดว่าเย่ซือเยวี่ยจะปฏิเสธเขาซะอีก
“งั้นก็ติดไว้ก่อนนะ? เวลานี้ก็ไม่มีร้านดอกไม้ที่ไหนยังเปิดอยู่ เดี๋ยวครั้งหน้าฉันจะชดเชยให้”
เขาที่เอาแต่งานยุ่งอยู่กับลู่จิ้นยวน จนไม่เคยคบกับใครมาก่อน
ยังดีที่เย่ซือเยวี่ยมองไม่เห็นสภาพเขาตอนนี้ที่เขิลอายจนตัวม้วน……
ทั้งสองเพิ่งพูดคุยกันเสร็จ แม่ของเย่ซือเยวี่ยที่หลับอยู่ก็พลิกตัวเล็กน้อย
อันที่จริงแล้ว เธอตื่นตั้งแต่ตอนที่อันเฉินเข้าห้องมาแล้ว แต่เธอเห็นว่าพวกเขาเหมือนจะมีเรื่องต้องคุยกัน จึงแกล้งทำเป็นหลับต่อ
โดยไม่คิดว่าจะได้ยินข่าวดีแบบนี้