ผู้จัดการไม่ได้สั่งอะไรมาเยอะแยะ
แล้วใครเป็นคนเคาะ?
ผู้จัดการผงะพลางหันไปมองฉินหร่านกับเหยียนซี “ท่านเทพ เดี๋ยวผมจะไปดูข้างนอกหน่อยว่าเป็นใคร”
เขาเดินไปทางประตู จากนั้นก็ยื่นมือมาเปิดประตู
“ไม่ทราบว่า…” ผู้จัดการเปิดประตูด้วยรอยยิ้มดังเช่นเคย
พอเงยหน้าขึ้นก็พบดวงตาสีพีชเข้มคู่หนึ่ง
หรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับอสูรแห่งความเยือกเย็น
ผู้จัดการถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า นัยน์ตาของอีกฝ่ายทั้งมืดทั้งล้ำลึก สวมเสื้อกันลมสีเบจซึ่งสะท้อนให้เห็นใบหน้าเนือยๆ ที่แผ่กระจายออกมา
หว่างคิ้วที่บางเบาดูโดดเด่นกลับเต็มไปความน่าเกรงขาม
ทางเดินด้านนอกยังสามารถรองรับคนได้สามถึงสี่คนในเวลาเดียวกัน แต่ผู้จัดการกลับรู้สึกคับแคบ
“อยู่ข้างในกันสองคน?” เฉิงเจวี้ยนมองเขาและพูดเรียบๆ มือที่เห็นข้อต่อชัดเจนรวบเสื้อกันลมอย่างไม่ใส่ใจ
ผู้จัดการรับรู้ได้ถึงความกดดันอย่างอธิบายไม่ถูก เขารู้สึกราวกับหายใจติดขัด “ครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร?”
เขาอยากถามว่าคุณผู้ชายท่านนี้เป็นใครกันแน่
เขาเป็นผู้จัดการเหยียนซีมานานหลายปี คนที่น่าเกรงขามที่สุดที่ผู้จัดการเคยเห็นมาก็คือลูกเถ้าแก่ตระกูลเจียงหรือคุณชายแห่งตระกูลเจียงนั่นเอง บรรดาบริษัทและคนในเมืองหลวงต่างเชิดชูเขา
แต่ถึงกระนั้นผู้จัดการก็ยังรู้สึกว่าคุณชายตระกูลเจียงยังดูน่าเกรงขามไม่เท่าคนที่อยู่ตรงหน้า
เฉิงเจวี้ยนหรี่ตาที่แฝงไปด้วยรังสีอันตรายเล็กน้อย เขาไม่ได้รีบร้อนตอบผู้จัดการ เพียงมองไปทางด้านหลังเขา
หลังจากส่งสายตามองไป ประตูที่อยู่ด้านหลังผู้จัดการก็ถูกเปิดจากด้านใน
ฉินหร่านถือเสื้อโค้ตสีดำไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งกำลังถือรูปถ่ายพร้อมลายเซ็นที่ผู้จัดการให้มา สอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อส่งๆ
โดยมีเหยียนซีตามหลังมาติดๆ
พอเก็บรูปไว้ดีแล้วก็เห็นเฉิงเจวี้ยนกำลังหรี่ตามองมาที่เธอ เธอเลิกคิ้วถาม “มาถึงเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”
เฉิงเจวี้ยนตอบส่งๆ “อืม” สายตาพลันมองไปทางเหยียนซีที่อยู่ข้างหลังเธออย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เหยียนซีเป็นคนมีชื่อเสียง เวลาออกมาข้างนอกจึงต้องสวมผ้าปิดจมูก หมวกแก๊ป และผ้าพันคอผืนใหญ่
ขณะที่เขากำลังสวมผ้าปิดจมูกให้ตัวเองก็รับรู้ได้ถึงความกดดันอย่างอธิบายไม่ถูก
มือที่ดึงผ้าปิดจมูกชะงัก พอเหยียนซีเงยหน้าขึ้นก็พบใบหน้าที่ดูสะอาดสะอ้าน อีกฝ่ายเบี่ยงสายตาและก้มลงมองคนตรงหน้า
“ยังมีธุระอะไรอีกไหม?” เฉิงเจวี้ยนมองฉินหร่านและถามอย่างอดกลั้น
“ไม่มีแล้ว” ฉินหร่านค่อยๆ สวมเสื้อโค้ตขณะที่เดินไปหาเขา “เรากลับกันเถอะ”
เมื่อได้ยินที่ฉินหร่านพูด เฉิงเจวี้ยนก็พยักหน้าและมองไปทางพวกผู้จัดการเหมือนกำลังคิดอะไร “ไม่ชวนเพื่อนทานข้าวหน่อยเหรอ?”
เหยียนซีอาจจะฟังไม่ออก แต่ผู้จัดการของเขากลับฟังออกว่าเป็นการแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่างหนึ่ง
ผู้จัดการถอดสีหน้าพลางคิดว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองฟังผิดไปใช่หรือไม่?
บ้าชิบ บางทีมันอาจจะไม่ใช่เพราะความรักจริงๆ ก็ได้?
“ไม่ต้อง” ฉินหร่านติดกระดุมหมวกเสื้อสเวตเตอร์แล้วมองมาทางเหยียนซี “คุณยังต้องถ่ายทำเพิ่มไม่ใช่เหรอ ไปเถอะ”
หลังจากพูดเสร็จเธอก็เดินตามเฉิงเจวี้ยนลงไปข้างล่าง
เหยียนซียังโอเค ในหัวของเขานอกจากดนตรีแล้วก็คิดเรื่องอื่นน้อยมาก เขาแค่มองไปยังแผ่นหลังของฉินหร่านพลางครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็เดินตามฉินหร่านไปพร้อมกับผู้จัดการ
ผู้จัดมองแผ่นหลังของคนทั้งสองที่อยู่ข้างหน้าราวกับมีอะไรระเบิดอยู่ในหัว ตะลึงงันเป็นไก่ตาแตก ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือเขาคิดไปเอง?
ท่านเทพเจียงซานไม่ได้หมายความอย่างที่เขาคิดเลยเหรอ? แล้วทำไมอดีตที่ผ่านมาเธอถึงให้ความสนใจเหยียนซีขนาดนี้?!
ผู้จัดการคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก เขาไม่ใช่คนอ่อนหัดเหมือนเหยียนซี แน่นอนว่าต้องคิดมาก การที่เหยียนซีเดินมาถึงจุดนี้ได้เป็นเพราะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับคนคนนั้นที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเขามาตลอด?
จะมีใครที่ไหนมอบความห่วงใยโดยไร้ซึ่งเหตุและผล?
ผู้จัดการเอาแต่จ้องแผ่นหลังฉินหร่าน หรือว่า…ยังมีคนอื่นอยู่เบื้องหลังฉินหร่านอีกอย่างงั้นหรือ?!
ผู้จัดการรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด
“เหยียนซี นายไม่สงสัยบ้างเลยเหรอว่าผู้ชายคนเมื่อกี้กับท่านเทพมีความสัมพันธ์อะไรกัน?” ผู้จัดการเอียงตัวไปกระซิบถามเหยียนซี
เหยียนซีเหลือบมองทั้งสองคน ดวงตาคู่นั้นที่อยู่หลังแว่นกันแดดไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด “ความสัมพันธ์อะไร?”
“ก็…เอ่อ ท่านเทพช่วยเหลือนายมาตั้งนานโดยไม่มีที่มาที่ไป นายไม่แปลกใจเหรอว่าเธอช่วยนายทำไม?” ผู้จัดการถามอีกคำถาม
“ไม่มีที่มาที่ไปยังไง ผมก็ให้เงินเธอไปแล้ว…” เหยียนซีตอบ
เป็นครั้งแรกที่ผู้จัดการมองเหยียนซีราวกับยากที่จะอธิบาย “นายก็ดูสิ เสื้อผ้าของท่านเทพล้วนเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ไม่ได้มีขายตามท้องตลาด ทำไมนายถึงคิดว่าเธออยากได้เงินนายแค่ไม่กี่แสนหยวน?”
เมื่อก่อนผู้จัดการยังคิดว่าเจียงซานอี้เล็งเห็นในรูปร่างหน้าตาและความสามารถของเหยียนซี
ทว่าตอนนี้…
แม้เหยียนซีจะกลายเป็นเพชรเม็ดงามแห่งวงการบันเทิง แต่ก็เทียบไม่ได้กับสองคนนั้น…
ที่ฉลาดปราดเปรื่อง…
เจียงซานอี้นักเรียบเรียงเพลงมือฉมังเป็นสมญานามที่ชาวเน็ตตั้งให้อย่างงั้นหรือ ? !
**
ด้านนอก เฉิงมู่ยังอยู่ในรถ
เมื่อเห็นเฉิงเจวี้ยนเดินลงมากับฉินหร่าน เขาก็รีบวางโทรศัพท์และลงจากรถ
เฉิงเจวี้ยนไม่ได้พูดอะไร ฉินหร่านก็พูดแค่“อืม” เพียงคำเดียว
จากนั้นเธอก็หันไปด้านข้างแล้วโบกมือไปทางเหยียนซีและผู้จัดการ
“คุณชาย คุณฉิน” เฉิงมู่เรียกทั้งสอง จากนั้นก็มองไปทางด้านหลังฉินหร่านและเห็นเหยียนซีที่พันตัวแทบจะเป็นมัมมี่กำลังยืนอยู่ข้างหลังพวกเขาทั้งสองคนพอดี
นั่นคือเพื่อนคุณฉิน?
ทำไมแต่งตัวประหลาดๆ?
เฉิงมู่เหลือบดูสักพักก็รู้สึกว่าสองคนนี้ดูดีกว่าหยางเฟยและกู้ซีฉือมาก จากนั้นก็ชักสายตากลับ
เฉิงเจวี้ยนขับรถอีกคัน
เฉิงมู่จึงขับรถกลับไปคนเดียว ตอนที่กลับมาถึงที่นั่งคนขับ เขาหยิบโทรศัพท์ที่เขาวางไว้ที่เบาะข้างๆ ขึ้นมาดู
เมื่อกี้เขาเพิ่งส่งข้อความให้โอวหยางเวย แต่โอวหยางเวยยังไม่ตอบ
เขาจึงวางโทรศัพท์ลง
บนรถอีกคัน
ฉินหร่านนั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับ เฉิงเจวี้ยนขับรถเข้าสู่เส้นทางจราจร
เนื่องจากไม่ใช่เทศกาลวันหยุดอะไร จึงไม่มีสิ่งกีดขวางนอกจากสองไฟแดงแรกหรือทางยกระดับอื่นๆ
ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถสองคันก็ขับตามกันมาจนถึงโรงจอดรถที่บ้านกู้ซีฉือ
เฉิงมู่มาช้ากว่าเฉิงเจวี้ยนไปหน่อยเดียว
เพราะขับมาได้ครึ่งทาง เขาก็ต้องไปรับข้าวกลับมาด้วย
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายสองแล้ว คนในคฤหาสน์ของกู้ซีฉือยังไม่ได้ทานอาหารกลางวันกันเลย
ลู่จ้าวอิ่งนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว เขาจัดถ้วยพร้อมตะเกียบไว้อย่างดี
ตอนที่ฉินหร่านเข้ามาถอดเสื้อโค้ตในบ้าน เขาก็กำลังคุยกับเสี่ยวเอ้อร์ แต่ส่วนใหญ่เสี่ยวเอ้อร์ไม่ค่อยสนใจเขา
“กลับมาแล้วเหรอ?” ลู่จ้าวอิ่งหิวจะแย่อยู่แล้ว เขาคิดจะสั่งข้าวแต่คนทั่วไปเข้ามาที่นี่ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่รู้จะเปิดประตูบ้านกู้ซีฉือได้อย่างไร
เขากลัวว่าพอออกไปแล้วจะกลับเข้ามาไม่ได้
พอเห็นฉินหร่านกลับมาแล้วก็มองตาเขียว
“อืม” เฉิงเจวี้ยนกำลังจอดรถไว้ด้านหลัง ฉินหร่านโยนเสื้อโค้ตไว้บนโซฟาส่งๆ “ฉันจะขึ้นไปเรียกสองคนนั้นลงมา”
ตอนที่ฉินหร่านขึ้นไปชั้นสาม
กู้ซีฉือก็ยังยืนอยู่ข้างๆ กองเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะข้างๆ ดังขึ้น แต่เขาก็ไม่สนใจ
“พี่กู้” เจียงตงเย่หยิบโทรศัพท์เขาขึ้นมาดู “ดูเหมือนจะโทรมาจากต่างแดน”
กู้ซีฉือไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “ตัดสายซะ”
สายพวกนี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสแห่งวงการแพทย์ เนื่องจากองค์กรการแพทย์แถลงการณ์ออกไปในช่วงเช้า จึงทำให้วงการแพทย์เดือดดาล
“ครับ” เจียงตงเย่วางสายทันที
ฉินหร่านพิงประตูดูทั้งสองคนได้สักพักพลางเอามือแตะคาง
จนกระทั่งเจียงตงเย่หันมาเจอเธอเข้า เธอถึงจะเอ่ยถาม “ปีนี้คุณอายุเท่าไหร่?”
“ยี่สิบหก” เจียงตงเย่ผงะไปชั่วขณะก่อนจะตอบ
“อ๋อ” ฉินหร่านพยักหน้าแล้วมองเขาอีกครั้ง “แล้วคุณรู้ไหมว่าเขาอายุเท่าไหร่?”
เธอยื่นมือชี้ไปทางกู้ซีฉือ
เจียงตงเย่หัวเราะ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขามีข้อมูลของกู้ซีฉืออยู่ในมือ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ดี “ยี่สิบสี่”
ฉินหร่าน “…”
ที่แท้เขาก็รู้นี่นา?
**
ตอนที่ทั้งสามลงมาข้างล่างพร้อมกัน เฉิงเจวี้ยนกับเฉิงมู่ก็กลับมาแล้ว
ส่วนลู่จ้าวอิ่งกำลังจัดจาน
“ฉินเสี่ยวหร่าน ฉันได้ไพ่เทพสามใบแล้วนะ” ลู่จ้าวอิ่งถอนหายใจหลังจากทานอาหารเสร็จ จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เธอไปเอาไพ่เทพมาจากไหนตั้งเยอะแยะ?”
ลู่จ้าวอิ่งไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับไพ่เทพมากนัก
แต่ตอนที่เห็นชาวเน็ตคุยกันก็จำได้แม่นว่าถึงแม้จะอยู่ในทีมOST แต่ตราบใดที่ไม่ใช่สมาชิกตัวจริง การที่จะได้ไพ่เทพมานั้นไม่ใช่จะได้กันง่ายๆ
และฉินหร่านเองก็เคยให้ไพ่เทพสามใบกับเฉิงเจวี้ยนเมื่อสามปีก่อนมาแล้ว ซึ่งตอนนั้นทีมOSTยังไม่มีไพ่เทพออกมา
พอตอนเย็นเธอก็ให้ไพ่เทพสามใบกับเขาอย่างง่ายดาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาสองคนก็ไม่ใช่สมาชิกทีมOST
“เอามาจากคนอื่น” ฉินหร่านเพิ่งจะทานเค้กที่ร้านกาแฟไปสองชิ้น ตอนนี้เธอจึงไม่ได้หิวมาก เธอตอบลู่จ้าวอิ่งส่งๆ
ลู่จ้าวอิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจว่ามันแปลกๆ
ทว่าในหัวของเขากลับนึกไม่ออกไปชั่วขณะว่ามันแปลกตรงไหน
เขาจึงลืมมันไปและนึกถึงคำถามอื่น “จริงด้วย วันนี้เธอออกไปเจอเพื่อนที่ไหนน่ะ?”
เมื่อได้ยินคำถามนี้กู้ซีฉือก็เงยหน้าพลางถามเธอด้วยความประหลาดใจ “เธอยังมีเพื่อนคนอื่นในเซี่ยงไฮ้ด้วยเหรอ?”
“เปล่า” ฉินหร่านหยิบตะเกียบคีบชิ้นเนื้อ “ก็เพื่อนทางอินเทอร์เน็ตทั่วไป”
“เพื่อนทางอินเทอร์เน็ต?” วันนี้เฉิงเจวี้ยนเห็นหน้าเหยียนซีไม่ค่อยชัด และแน่นอนว่าถึงเขาจะเห็นชัดก็ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายเป็นนักร้องที่โด่งดังมีชื่อเสียง
“อือ รู้จักกันมาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยเจอกันมาก่อน” ฉินหร่านกินเนื้อแล้วค่อยกลืนลงไปก่อนจะตอบ “วันนี้เขาอยู่เซี่ยงไฮ้พอดี เราสองคนก็เลยไปเจอกันหน่อย”
เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองเธอแล้วพยักหน้า
เมื่อเจียงตงเย่กับลู่จ้าวอิ่งได้ยินฉินหร่านบอกว่า “เพื่อนทางอินเทอร์เน็ต” ก็ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ
เพราะทั้งสองยังจำเฒ่าเว่ย “คนขายศิลปะ” ได้แม่น
ลู่จ้าวอิ่งมองตรงไปที่เฉิงมู่
เฉิงมู่รับรู้ได้ถึงสายตาของทั้งสองคน เขาวางตะเกียบลงแล้วเงยหน้าพลางนึกถึงคนที่เจอในวันนี้ “ดูเหมือนจะไม่เคยเจอสองคนนั้นมาก่อน”
เฉิงมู่มองไม่เห็นหน้าเหยียนซีและไม่เคยเจอผู้จัดการเหยียนซีมาก่อนจริงๆ
ลู่จ้าวอิ่งถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดฉินหร่านก็มีเพื่อนทางอินเทอร์เน็ตอยู่หนึ่งคน ไม่ง่ายเลยจริงๆ
**
ห้าโมงเย็น
อวิ๋นเฉิง
วันนี้วันจันทร์ ฉินอวี่ได้เดินทางออกจากอวิ๋นเฉิงไปเมืองหลวงแล้ว ก่อนหน้านี้หนิงฉิงก็วางแผนจะไปกับเธอด้วย
แต่เนื่องจากตอนนี้หนิงเวยกำลังป่วยจึงไม่มีใครคอยดูแลเฉินซูหลาน หนิงฉิงไม่สบายใจ เธอจึงอยู่ที่อวิ๋นเฉิงต่อหลังจากไปส่งฉินอวี่
ช่วงบ่าย เธอออกจากสถานเสริมความงามกลับไปยังบ้านตระกูลหลิน
ป้าจางกุลีกุจอขึ้นมาช่วยเธอถอดเสื้อโค้ตออก ท่าทีของเธอที่ปฏิบัติต่อหนิงฉิงแทบจะไม่ต่างอะไรกับตอนที่ปฏิบัติต่อหลินหว่านเมื่อก่อน
ขณะที่ป้าจางเพิ่งแขวนเสื้อโค้ตไว้บนชั้นแขวน โทรศัพท์ในกระเป๋าหนิงฉิงก็ดังขึ้น
หนิงฉิงเดินไปที่โซฟาพลางก้มหน้าหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋า
เมื่อพบว่าเป็นสายจากโรงพยาบาล เธอก็ผงะไปชั่วขณะ จากนั้นก็กดรับสาย “คุณหมอ?”
ทางโรงพยาบาลไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกให้หนิงฉิงรีบไปโรงพยาบาล
หลินฉีเองก็เพิ่งกลับมา เมื่อเห็นหนิงฉิงตัวแข็งทื่อก็อดไม่ได้ที่จะเอียงศีรษะถามอย่างอ่อนโยน “มีอะไรเหรอ? เดี๋ยวเราไปทานข้าวกับพ่อผมที่นั่นกัน”
ทันใดนั้นหนิงฉิงก็กระวนกระวายใจขึ้นมา หนังตาข้างขวากระตุก เธอจับแขนหลินฉีอย่างแรง “ไป…ไปโรงพยาบาล!”
เมื่อพูดถึงโรงพยาบาล หลินฉีไม่จำเป็นต้องคิดอะไรก็รู้แล้วว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นกับเฉินซูหลานที่นั่น
เขาสวมเสื้อนอกที่เพิ่งถอดเมื่อกี้ใส่ใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ต่อสายหานายท่านหลิน
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเลิกงาน
จราจรติดขัดอย่างหนักตลอดเส้นทาง
พวกเขาใช้เวลากว่าสี่สิบนาทีกว่าจะถึงโรงพยาบาล
เฉินซูหลานยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน
“คุณหมอคะ” หนิงฉิงไม่ได้พกกระเป๋ามาด้วย โทรศัพท์ก็ลืมไว้ที่บ้าน เธอตรงเข้าไปคว้าตัวคุณหมอเจ้าของไข้ที่เพิ่งเดินออกจากห้องฉุกเฉิน “แม่ฉันเป็นยังไงบ้างคะ?”
คุณหมอเจ้าของไข้เฉินซูหลานถอนหายใจ แววตาหม่นหมองเล็กน้อย “ร่างกายของเธอมาถึงจุดสิ้นสุดการต่อสู้แล้ว สรุปก็คือ…”
“เป็นไปได้ยังไง? ไหนว่าทำcnsแล้วนี่คะ? ยาก็ไม่มีแล้วเหรอ?” ร่างหนิงฉิงสั่นเล็กน้อย
“ไม่ใช่ครับ ข่าวเช้านี้…” คุณหมอพูดได้เพียงครึ่งเดียวก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ผมโง่เอง ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้พูดออกไปแบบนั้น เชิญเข้าไปดูคุณเฉินก่อนเถอะครับ ตอนนี้เธอยังมีสติชัดเจน…สภาพจิตใจก็ยังดีอยู่มาก คนที่ควรแจ้งพวกคุณก็แจ้งเถอะครับ”
พอพูดเสร็จ เขาก็เดินออกไปข้างนอกและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาฉินหร่าน