เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 179 ทำไมถึงคิดว่าเธอเป็นคนธรรมดาล่ะ

ฉินหร่านดื่มน้ำคำหนึ่ง เมื่อได้ยินคำนี้ เธอที่ใช้ชีวิตภายใต้คำว่าอวดดีมาทั้งชีวิต ไม่รู้ว่าอะไรคือความตกตะลึง ตอนนี้กลับรู้สึกมึนงงเล็กน้อย

 

 

ตอนแรกเธอคิดว่าเฉิงเจวี้ยนจะมาคุยเรื่องของกู้ซีฉือ ไม่ก็เรื่องของยายเธอ…

 

 

ใครจะรู้ว่า เขาไม่ถามอะไรเลย มาถึงก็เปิดโปงเรื่องที่เธอช่วยคุ้มกันกู้ซีฉือทันที!

 

 

เป็นโปรแกรมโกงร่างมนุษย์เหรอ!

 

 

ฉินหร่านมองประตูบาร์ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแวบหนึ่ง ก้มหน้าขบคิดเล็กน้อย…

 

 

เธอไปตอนนี้ยังทันหรือเปล่า

 

 

แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับใช้ความจริงบอกเธอว่า เปล่าประโยชน์

 

 

“ใช่ไหม” เฉิงเจวี้ยนเอนตัวพิงข้างหลัง เขาหน้าตาดี ยามยิ้มมักจะให้อารมณ์ผ่อนคลาย

 

 

ทั้งๆ ที่เป็นประโยคคำถาม น้ำเสียงกลับหนักแน่นผิดปกติ

 

 

ฉินหร่านวางแก้วลงบนโต๊ะ มองเขาอย่างยอมจำนน “ไม่ เรื่องนี้นายก็รู้ด้วยเหรอ ฉันไม่เคยพูดต่อหน้านายว่าฉันเป็นแฮกเกอร์นี่นา”

 

 

เธอไม่เคยทิ้งช่องโหว่เลยสักนิด แม้แต่กู้ซีฉือก็ไม่รู้เรื่องนี้

 

 

ฉินหร่านคิดมาตลอดว่านอกจากตัวเองแล้ว ก็มีแค่ฟ้าดินเท่านั้นที่รู้

 

 

แม้แต่ยายยังไม่รู้เลยว่าเธอมักจะโลดแล่นทำเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายพวกนี้

 

 

“เดาเอา เข้าออกองค์กรภายในห้าผู้อิทธิพลใหญ่ได้อย่างอิสระ แถมยังอวดดีไม่กลัวถูกจับได้ ฉันลองนับจำนวนคนดูแล้ว สมาคมแฮกเกอร์มีคนไม่เกินสามคน แม้สามคนนี้จะเป็นแฮกเกอร์ แต่เป็นประชาชนคนดีที่ปฏิบัติตามกฎหมาย” พนักงานมาเสิร์ฟของหวานสองจาน เฉิงเจวี้ยนจึงวางลงตรงฝั่งของฉินหร่าน “ครั้งก่อนตอนไปหาผู้บัญชาการเฉียน ฉันก็รู้แล้วว่าเธอเป็นแฮกเกอร์”

 

 

ฉินหร่านรู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องที่เธอช่วยพนักงานไอทีหาที่อยู่ของเฉิงมู่ เธอจึงจ้องเขาอย่างไม่วางตา “ปกติหรือเปล่า ฉันเคยเรียนคอมกับตาของฉัน ช่วยเจ้าหน้าที่ไอทีจัดการเรื่องนี้ก็ไม่เห็นแปลก”

 

 

คนทั่วไปคงไม่คิดว่าเธอเป็นแฮกเกอร์หรอกมั้ง

 

 

นี่เป็นความคิดปกติเหรอ

 

 

“ผู้บัญชาการโด่งดังในทีมอาชญากรรมมากจริงๆ” เฉิงเจวี้ยนขำก่อน สองมือประสานกันบนโต๊ะ โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นดำสนิทและลึกล้ำ “เจ้าหน้าที่ไอทีที่อยู่กับเขาคนนั้น เกี่ยวข้องกับสมาคมแฮกเกอร์ คอมพิวเตอร์มือถือของเขา ฉันรู้จัก”

 

 

ครุ่นคิดแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่แพร่งพรายหรอก”

 

 

เวลาเขายิ้ม เสียงทุ้มต่ำมาก มักจะมีความเอาแต่ใจอย่างอธิบายไม่ถูก

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนมีชื่อ ไม่อย่างนั้นผู้บัญชาการฝ่ายสืบสวนอันดับหนึ่งของเมืองหลวงอย่างผู้บัญชาการห่าวก็ไม่ดั้นด้นมาถึงเมืองอวิ๋นเฉิงหรอก

 

 

เจ้าหน้าที่ไอทีข้างกายเขาอ่อนน้อมถ่อมตนกับฉินหร่าน ตอนนั้นเฉิงเจวี้ยนก็พอจะรู้แล้วว่า ฉินหร่านไม่ใช่แค่แฮกเกอร์เท่านั้น แต่ยังเป็นแฮกเกอร์ที่เจ๋งกว่าเจ้าหน้าที่ไอทีคนนั้นอีก

 

 

เจ้าหน้าที่ไอทีคนนั้นเจ๋งถึงขั้นไหนกันแน่นั้น เฉิงเจวี้ยนยังเดาไม่ออก

 

 

แน่นอนว่า ก่อนที่เรื่องของกู้ซีฉือจะแดงวันนี้ เฉิงเจวี้ยนก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าฉินหร่านจะรู้จักกู้ซีฉือ

 

 

แต่เมื่อไขเรื่องนี้ได้แล้ว ที่เหลือเฉิงเจวี้ยนใช้นิ้วเท้าก็ยังเดาออก

 

 

“กู้ซีฉือน่าจะไม่รู้สินะ” เฉิงเจวี้ยนพูดช้าๆ ว่า “หากเขารู้ว่าเป็นเธอ คิดว่าคงให้เธอทำลายข้อมูลทั้งหมดของเมืองหลวงไปนานแล้ว”

 

 

“ถ้านายหมายถึงเรื่องหลี่ต้าจ้วง มันเป็นฉันจริงๆ กู้ซีฉือเขาไม่รู้เรื่อง” ฉินหร่านพยักหน้า ไม่ดิ้นรนอีกต่อไป

 

 

แม้จะคาดการณ์ไว้นานแล้ว แต่เมื่อได้ยินฉินหร่านยอมรับขึ้นมาจริงๆ มือของเฉิงเจวี้ยนก็อดสั่นเทาไม่ได้

 

 

ราวกับมีพลุระเบิดในหัว มันริบหรี่ พุ่งผ่านท้องฟ้าอันมืดมิด

 

 

อธิบายไม่ถูก แต่เป็นความดีใจที่ซุกซ่อนอยู่ เขาไม่ใช่คนที่แสดงอารมณ์ คนรอบข้างมักจะเห็นเขามีท่าทางเอื่อยเฉื่อย

 

 

ตอนนี้ยามมองฉินหร่าน ในดวงตาเต็มไปด้วยประกายฉาบทับอย่างหนาแน่น

 

 

“ทำไมเจียงตงเย่ถึงอยากจับตัวเขามาตลอด” เมื่อถูกจับได้แล้ว ฉินหร่านก็ไม่ปิดบังอีก “ครั้งก่อนก็เกือบถูกจับได้ครั้งหนึ่งตอนอยู่ต่างประเทศ”

 

 

“มีคนให้ภารกิจกับเขา” เฉิงเจวี้ยนไม่ค่อยอยากพูดเรื่องของเจียงตงเย่มากนัก แต่ก็ยังชี้แจงกับเธออย่างใจเย็น “อยากให้เขารักษา”

 

 

คนที่อยากจับกู้ซีฉือบนโลกใบนี้มีถมเถไป

 

 

มันไม่เหนือความคาดหมายของฉินหร่าน รักษาโรคเป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ ไม่จับเขาเข้าตารางเป็นพอ

 

 

มือถือในกระเป๋าแผดเสียงขึ้นมา

 

 

ฉินหร่านหยิบขึ้นมาดู เป็นสายจากกู้ซีฉือ

 

 

โดนเฉิงเจวี้ยนจับได้แล้ว เธอก็ขี้เกียจจะหลีกเลี่ยง จึงกดรับโดยตรง

 

 

กู้ซีฉือที่อยู่เซี่ยงไฮ้ดูรายงานที่เฉิงเจวี้ยนส่งให้เขาแล้ว ถึงกล้าหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาฉินหร่าน

 

 

“ฝั่งเธอ…เป็นยังไงบ้าง” กู้ซีฉือต้มบะหมี่ถ้วยใหม่ นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ มือข้างหนึ่งถือส้อม อีกข้างถือมือถือ ถามอย่างระมัดระวัง

 

 

นอกจากเปิดเผยเรื่องที่เธอรู้จักกับตัวเองแล้ว กู้ซีฉือคิดว่าเรื่องอื่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

 

 

อย่างมากก็แค่ต่อไปพวกเจียงตงเย่จะรบกวนฉินหร่าน

 

 

แต่ฉินหร่านกลับหัวเราะ เธอดื่มน้ำคำหนึ่ง บอกกู้ซีฉืออย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ไม่ยังไง เจียงตงเย่เค้นถามฉัน ฉันเลยให้ที่อยู่ในเซี่ยงไฮ้ของนายกับเขาไปแล้ว”

 

 

“ให้ตายเถอะที่รัก เธอใจร้ายขนาดนี้จริงเหรอ!” กู้ซีฉือกำลังคิดจะกินบะหมี่ เกือบจะสำลักเสียแล้ว “ถ้าเขาหาเจอฉันจบเห่แน่!”

 

 

เขาลุกขึ้น หยิบรายงานผลที่เพิ่งปรินท์ออกมากับบะหมี่ถ้วย เปิดประตูแล้วลงไปชั้นล่าง

 

 

จากนั้นก็เปิดหน้าต่างห้องรับแขกแล้วสอดส่ายสายตามองข้างนอก

 

 

ใกล้จะสี่ทุ่มครึ่งแล้ว ข้างนอกสว่างไสว เงียบสงบ

 

 

ไม่มีผู้คน

 

 

กู้ซีฉือโล่งอก เขาวางบะหมี่ถ้วยลงบนโต๊ะในห้องรับแขกช้าๆ กินบะหมี่พลางมองไปนอกหน้าต่าง “ตกใจแทบแย่”

 

 

ทางด้านบาร์ในเมืองอวิ๋นเฉิง

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองฉินหร่านที่กำลังคุยกับกู้ซีฉือ เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่สนิทกันมาก

 

 

กู้ซีฉือคนนี้โลดแล่นข้ามชาติ มักจะขลุกอยู่กับตำรวจอาชญากรรมสากลกับพวกคนที่ไม่ห่วงชีวิตของสลัม

 

 

ที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง มีที่กบดานซ่อนตัวมากมาย

 

 

ไม่มีใครรู้ว่าที่อยู่ที่แท้จริงของเขาอยู่ที่ไหน เฉิงเจวี้ยนคิดว่าแม้แต่ตำรวจสากลอย่างแมทธิวก็อาจจะไม่รู้ที่อยู่ของกู้ซีฉือ

 

 

แต่เมื่อฟังบทสนทนาของทั้งคู่ ชัดเจนว่าฉินหร่านรู้

 

 

แถมที่อยู่ที่รู้ยังเป็นที่อยู่ของฐานบัญชาการใหญ่เสียด้วย

 

 

เฉิงเจวี้ยนคิดว่าตัวเองไม่ควรคิดมากขนาดนี้ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ทั้งคู่มีความสัมพันธ์อะไรกันแน่

 

 

ทำไมกู้ซีฉือต้องบอกที่อยู่ของฐานบัญชาการกับเธอด้วย

 

 

อีกอย่าง แม้ฉินหร่านต้องเข้าออกถิ่นของห้าผู้มีอิทธิพลใหญ่ ก็ต้องช่วยปกปิดข้อมูลของกู้ซีฉือให้ได้…

 

 

เฉิงเจวี้ยนหงุดหงิดมากทีเดียว แต่ก็บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงหงุดหงิด เขาเอนตัวพิงพนัก หยิบบุหรี่ที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาคาบไว้ในปาก ฟันครูดไปทีหนึ่ง แต่ไม่ได้จุดมัน

 

 

 

 

เช้าวันต่อมา

 

 

เมื่อมู่หนานเปิดประตูห้อง ก็เห็นมู่หยิงที่เพิ่งกลับบ้านเข้าพอดี

 

 

เขาเงยหน้ามองเธอแวบหนึ่ง ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์อะไรเลยสักนิด

 

 

มู่หยิงวางกระเป๋าที่ฉินอวี่ให้เธออย่างเบามือ จากนั้นมองมู่หนานเชิงตำหนิ “เมื่อคืนแม่กับนายไม่ไปร่วมงานเลี้ยงของพี่รอง พอคุณป้าถามฉัน ฉันไม่รู้เลยว่าควรจะตอบยังไง”

 

 

น้ำเสียงของมู่หยิงมีความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

 

 

มู่หนานไม่พูดอะไร เมื่อล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ก็หยิบกระเป๋าแล้วเดินออกไป

 

 

“วันนี้คุณป้าจะเชิญเฉพาะครอบครัวเราไปกินข้าว คืนนี้ที่เอินอวี้” มู่หยิงชินกับความเย็นชาของมู่หนานแล้ว จึงไม่แปลกใจ เธอหยิบกระเป๋าไปวางในห้องของตัวเอง หยิบเสื้อโค้ตออกจากกระเป๋า

 

 

มู่หนานเปิดประตูแล้ว เมื่อได้ยินก็หันหน้ามา พูดด้วยเสียงที่เฉยชาว่า “ไม่ไป”

 

 

เขาหลุบตาต่ำ ผมเส้นเล้นปรกคิ้ว บดบังดวงตาดำสนิทของเขาไว้ได้พอดี

 

 

มู่หยิงคิดว่าตัวเองอยู่ในเมืองหลวง สนิทสนมกับฉินอวี่และหนิงฉิงมาก เมื่อได้ยินประโยคนี้เธอก็ขมวดคิ้ว “นายไม่ไปก็ได้ แต่แม่น่าจะไปสินะ แม่ล่ะ ไปทำงานแต่เช้าเลยเหรอ”

 

 

เรื่องของฉินอวี่เป็นเรื่องมงคลแท้ๆ แต่สองคนนี้กลับจะไม่ไปกันเลยงั้นเหรอ

 

 

เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว มู่หยิงก็สวมเสื้อโค้ตตัวนั้นอย่างระมัดระวัง เข้าไปดูในห้องครัว พบว่าในครัวไม่มีกับข้าวอะไรเลย “แม่ล่ะ”

 

 

มู่หยิงปิดฝาหม้อแล้วขมวดคิ้ว “มู่หนาน ฉันรู้ว่านายสนิทกับพี่ใหญ่มากกว่า แต่ก็จะไม่สนใจพี่รองเพราะเธอไม่ได้ นายรู้ไหมว่าทำร้ายใจของคุณป้ามากแค่ไหน”

 

 

“มู่หยิง เธอออกไปนานขนาดนี้ เคยโทรหาแม่บ้างไหม” ในที่สุดมู่หนานก็หยุดลง ยืนอยู่ตรงบันได พูดโดยที่ไม่หันมาด้วยซ้ำ

 

 

มู่หยิงชะงัก

 

 

เขาหันกลับมา มองมู่หยิงอย่างนิ่งเฉย “เธอถามว่าทำไมเมื่อคืนแม่ไม่ไปใช่ไหม ได้ เธอตามฉันมา”

 

 

มู่หนานกลับหลังหัน เดินลงจากบันได

 

 

มู่หยิงสวมเสื้อนอก รู้สึกลนลานเล็กน้อย

 

 

เธอกับมู่หนานขึ้นรถโดยสารสาย 625 หยุดจอดตรงหน้าโรงพยาบาล

 

 

มู่หนานไม่ได้พาเธอไปยังชั้นที่เฉินซูหลานพักอยู่ แต่ลงที่ชั้นแปด

 

 

ใจของมู่หยิงเต้นระส่ำ

 

 

มู่หนานไม่เปิดประตู และไม่ได้เข้าไป เขาแค่มองมู่หยิงที่นิ่งงันไปแล้วนิ่งๆ “แม่อยู่ข้างในนั้น เธอไปถามแม่เอาเอง”

 

 

พูดจบ มู่หนานก็ออกจากโรงพยาบาล

 

 

นั่งรถโดยสารประจำทางกลับโรงเรียน

 

 

เพราะเรื่องของมู่หยิง ทำให้เขาไปโรงเรียนสายนิดหน่อย

 

 

คาบเรียนเป็นคาบของอาจารย์ที่ปรึกษา อีกฝ่ายไม่ได้บีบคั้นอะไรเขา

 

 

เมื่อเลิกเรียนคาบแรก อาจารย์ที่ปรึกษาก็ถือควิซฟิสิกส์ เรียกมู่หนานออกไปข้างนอก

 

 

“นี่เป็นโจทย์แข่งฟิสิกส์ของสัปดาห์นี้” อาจารย์ที่ปรึกษายิ้มแย้ม “นายลองเอากลับไปดู”

 

 

มู่หนานขยับนิ้ว “อาจารย์ครับ ผมถอนตัวจากการแข่งขันแล้ว…”

 

 

“พี่สาวของเธอมาหาฉันเมื่อวันก่อน ช่วยสมัครให้นายใหม่แล้ว” อาจารย์ที่ปรึกษายัดควิซใส่มือมู่หนาน น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนมาก “ที่แท้นายก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉินหร่านเองหรอกเหรอ ถึงว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน เธอบอกฉันแล้วว่านายตามทันทุกอย่าง เทอมนี้เหลือแค่เดือนเดียวแล้ว นายจะเข้าเรียนหรือไม่ไม่เป็นไร จัดการธุระของตัวเองเถอะ จริงสิ แล้วก็เรื่องข้ามชั้นของนาย พี่สาวนายบอกว่าค่อยดูผลการเรียนของนายอีกที ทางหัวหน้าฝ่ายวิชาการเธอก็ไปคุยแล้ว เรื่องนี้ฉันยกให้เธอจัดการหมดแล้ว แน่นอนว่า ถ้านายไม่พอใจ ก็ไปหาพี่สาวของนาย”

 

 

อาจารย์ที่ปรึกษามือไพล่หลัง เดินออกไปอย่างอารมณ์ดี

 

 

“อ้อ มีอีกเรื่องหนึ่ง เธอเก่งฟิสิกส์ขนาดนี้ พี่สาวนายเองก็น่าจะไม่แย่หรอกมั้ง” จู่ๆ อาจารย์ที่ปรึกษาก็นึกถึงประเด็นที่โรงเรียนจับตามองในระยะนี้ ก็หยุดลงอย่างแปลกใจแล้วจ้องมองมู่หนาน

 

 

มู่หนานไม่รู้ว่าทำไมฉินหร่านถึงไม่พูดอะไรเลย ก็ทำไปมากมายขนาดนี้

 

 

เมื่อได้ยินคำถามของอาจารย์ที่ปรึกษา เขาอดยกมือขึ้นบังตาไม่ได้ พูดเสียงเบาว่า “ถ้าผมเดาไม่ผิดละก็ ฟิสิกส์ต่างหากที่เป็นวิชาที่เธอถนัดที่สุดในบรรดาทุกวิชา”

 

 

ตาของอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นประกาย ตอนนี้อาจารย์ในโรงเรียนแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งแรกคิดว่าฉินหร่านเก่งฟิสิกส์มาก อีกฝั่งคือฟิสิกส์ของฉินหร่านพอใช้ได้ แต่ไม่ดีกว่าคณิตศาสตร์

 

 

ตอนนี้เมื่อเห็นว่าทั้งคู่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับ แถมมู่หนานยังถนัดฟิสิกส์ขนาดนี้ คิดว่าฉินหร่านก็คงไม่แย่ขนาดนั้น

 

 

อาจารย์มัธยมปลายปีหนึ่งกับปีสองพนันกันก่อนการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ท่าทางเขาต้องจัดชุดใหญ่เสียแล้ว

 

 

 

 

ตอนเช้า ฉินหร่านยังคงไม่เข้าเรียน เมื่อคืนฉินฮั่นชิวดื่มมากไป จึงหลับเป็นตาย ฉินหลิงเลยลุกขึ้นมาเอง อาศัยความจำของตัวเองมาถึงห้องพยาบาล

 

 

ด้วยความตกใจลู่จ้าวอิ่งจึงต่อสายเรียกฉินหร่านที่อยู่ในห้องมาทันที

 

 

“เด็กคนนี้เป็นใครน่ะ” เจียงตงเย่ไปหาผู้บัญชาการเฉียนหลายครั้งแล้ว ผู้บัญชาการเฉียนเย็นชามากทีเดียวไม่สนใจเขาเลย เขาจึงมาขอให้พ่อเฉิงช่วยเขา

 

 

เมื่อมาถึง ก็เห็นฉินหลิงที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงเก้าอี้

 

 

เฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่งไม่ใช่คนที่ใจดีมีเมตตาขนาดนั้น

 

 

เจียงตงเย่จึงมองอย่างสงสัยใคร่รู้

 

 

ก็เห็นเด็กตัวเท่าถั่วงอก กำลังอ่านวรรณกรรมภาษาต่างประเทศที่ขมขื่นมากเล่มหนึ่ง

 

 

เฉิงเจวี้ยนนั่งอยู่ข้างเจ้าเด็กน้อย กำลังมองโน้ตบุ๊คที่วางอยู่ตรงหน้าตัก

 

 

“น้องชายของคุณ…คุณหนูฉิน” เฉิงมู่ชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นมองเฉิงเจวี้ยนที่นั่งอยู่ข้างในแล้วตอบเสียงเบา

 

 

เจียงตงเย่รู้สึกว่าสายตาที่เฉิงมู่ใช้มองเขาในวันนี้ดูแปลกๆ

 

 

แต่เขาไม่คิดอะไรมาก แค่มองฉินหลิงอย่างแปลกใจ อยากถามว่าเขาอายุเท่าไรแล้ว อ่านออกหรือเปล่า

 

 

ขณะนั้นเองฉินหร่านก็ผลักประตูเข้ามาพอดี

 

 

เจียงตงเย่พบว่าเฉิงมู่ที่ยืนอยู่ในตอนแรกสะดุ้งถอยหลังเมื่อเห็นฉินหร่าน!

 

 

“คุณ คุณหนูฉิน” เฉิงมู่ยืนตัวตรง

 

 

…?

 

 

หมายความว่าอย่างไร

 

 

เกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว

 

 

“เฉิงมู่นายแตกตื่นทำไม” เจียงตงเย่ลูบหัว

 

 

จากนั้นก็หันหน้าอยากถามลู่จ้าวอิ่ง กลับเห็นลู่จ้าวอิ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เงียบไป จากนั้นวางปากกาลง เดินวนรอบฉินหร่านอยู่หลายรอบ

 

 

เจียงตงเย่ยืนตรง

 

 

ไม่สิ เขาไม่ได้มาแค่วันเดียว ตอนนี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น

 

 

เจียงตงเย่คิดไม่ออก จึงเมินสองคนนี้ พูดกับฉินหร่านยิ้มๆ ว่า “น้องชายเธอเหรอ เขาคล้ายๆ เธอนะ โดยเฉพาะดวงตา”

 

 

ฉินหร่านตอบว่าอ้อ จากนั้นก็มองฉินหลิงแวบหนึ่งเช่นกัน “ก็ พอได้ล่ะมั้ง”

 

 

“หน้าตาแบบนี้ ต่อไปมาเป็นนักแสดงของบริษัทฉันได้” เจียงตงเย่มองฉินหร่านอีกครั้ง “เธอเองก็เหมือนกัน ภาพลักษณ์เด็กเนิร์ดสาวสวย รับรองว่าเธอต้องดังว่าเหยียนซีฉินซิวเฉินแน่นอน!”

 

 

เฉิงมู่มองเจียงตงเย่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ คุณรู้ไหมว่ากำลังพูดกับใคร

 

 

ไม่กลัวฉินหร่านจะระดมพวกคนในสลัมมาระเบิดฐานทัพของคุณหรือไง

 

 

เฉิงเจวี้ยนพับโน้ตบุ๊กลง จากนั้นลุกขึ้น พูดเสียงสบายๆ ว่า “คุณอาฉินนัดฉันไปกินข้าว” เขาก้มหน้ามองเวลา จากนั้นก็เบนสายตามองฉินหร่าน “จะไปด้วยกันไหม”

 

 

เฉิงเจวี้ยนคิดๆ แล้วก็ยื่นมือถือให้ฉินหร่านดู

 

 

ฉินหร่านจึงก้มหน้ามองแวบหนึ่ง

 

 

ด้านบนเป็นหน้าแชทที่คุยกับฉินฮั่นชิว

 

 

เมื่อคืนเฉิงเจวี้ยนแอดวีแชทของฉินฮั่นชิว ทักทายด้วยความสุภาพอย่างเต็มที่ จากนั้นก็เป็นข้อความของฉินฮั่นชิว

 

 

‘ไอ้หนุ่ม กินข้าวหรือยัง อาจะเลี้ยงหม้อไฟนายเอง!’

 

 

เฉิงเจวี้ยนยกยิ้มเล็กน้อย น้ำเสียงเชื่องช้า ฟังดูจนใจมากทีเดียว “คุณอาเชื้อเชิญปฏิเสธไม่ได้”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงมู่ที่ได้ยินเฉิงเจวี้ยนโทรหาฉินฮั่นชิวเมื่อคืน “…”

 

 

ไม่กล้าพูดอะไรเลยสักคำ

 

 

ทั้งสามคนออกไปด้วยกัน

 

 

เฉิงมู่ถึงได้โล่งอก

 

 

เจียงตงเย่มองแผ่นหลังของทั้งสามคนอย่างแปลกใจ จากนั้นนั่งลง เริ่มบ่นเรื่องที่ตัวเองหาผู้บัญชาการเฉยกับกู้ซีฉือไม่เจอ

 

 

“เฉิงมู่ ทำไมนายไม่สนใจฉัน”

 

 

เฉิงมู่ไม่อยากสนใจเขาเลยสักนิด

 

 

เขานึกถึงท่าทีนิ่งเฉยของฉินหร่านเมื่อครู่นี้ ก็อยากจะจิ้มตาตัวเองให้บอดเสีย

 

 

เขากำลังครุ่นคิดว่า ทำไมถึงคิดว่าคุณหนูฉินที่เฉิงเจวี้ยนชอบจะเป็นคนธรรมดาล่ะ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset