ในตอนที่เจียงเฮ่าหันไปมองเจียงหลี นางตะลึง ในที่สุดก็ไขปริศนาได้แล้ว ตอนที่นางชำระกระดูกนางก็สังเกตเห็นได้ถึงความพิเศษของร่างกายเดิม และด้วยเหตุนี้จึงรู้ว่านางและวิญญาณอีกดวงหนึ่งได้เข้ามาอยู่ในร่างเดียวกัน ไม่ใช่ความบังเอิญตั้งแต่แรก
พวกเขา ล้วนแต่ถูกสมรรถภาพที่พิเศษของร่างกายดึงดูดให้มารวมกัน!
“อาหลี ร่างกายของเจ้า ถูกเรียกว่าร่างเซียนเทียนอู๋สยาอวี้” แววตาของเจียงเฮ่าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและจริงจัง
เจียงหลีมองเขาด้วยความตะลึง ในแววตาดูมึนงง นางไม่ค่อยเข้าใจว่าอะไรคือร่างเซียนเทียนอู๋สยาอวี้ เพียงแต่รู้ว่ามันทรงพลังมาก ได้โปรดอธิบาย!
“ที่เรียกว่าร่างเซียนเทียนอู๋สยาอวี้ ก็คือในการฝึกฝนพลัง มีขีดจำกัดการดูดซับพลังวิญญาณได้มากที่สุด เช่นคนธรรมดาสามารถดูดซับหินวิญญาณได้แค่หนึ่งในห้าเท่านั้น ผู้ที่มีพรสวรรค์สามารถดูดซับได้สามในห้า แต่เจ้าสามารถดูดซับได้ทั้งหมด เจ้าสามารถกักเก็บพลังวิญญาณได้มากกว่าคนอื่นหลายเท่า คนอื่นเป็นอ่างน้ำ แต่เจ้าเป็นแอ่งน้ำ ในการกักเก็บพลังวิญญาณ เจ้าอยู่ในจุดที่ไม่มีใครเอาชนะได้ ไม่มีใครต่อกรกับเจ้าได้”
การอธิบายของเจียงเฮ่า ได้ไขข้อสงสัยมากมายของเจียงหลี
เช่น ทำไมนางถึงดูดซับหินวิญญาณได้มากขนาดนี้!
ทำไมนางถึงปล่อยทักษะพรสวรรค์ได้หลายครั้ง แต่พลังวิญญาณของนางยังไม่แห้งเหือดไป
ที่จริงแล้วทั้งหมดนี้เป็นเพราะร่างกายที่พิเศษของนาง
“ตระกูลของท่านแม่……แท้จริงแล้วมีอยู่อย่างไร!” หลังจากชั่วครู่ เจียงหลีอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ แท้จริงแล้วกู๋หล่านเย่ว์มาจากตระกูลอะไรกันแน่ แล้วทำไมต้องมาอยู่ในโฮ่วจิ้น ยิ่งไปกว่านั้นคือแต่งงานเป็นสามีภรรยากับเจียงหลินเฟิง แล้วใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย
อีกทั้งร่างกายของนางและเจียงเฮ่าขัดต่อสวรรค์แบบนี้แล้ว แล้วกู๋หล่านเย่ว์ล่ะ ผู้มีความสามารถที่อยู่ในตระกูลที่พิเศษแบบนั้นคนนี้ นางมีร่างกายที่น่ากลัวแบบไหนกันแน่!
ทันใดนั้นเจียงหลีก็ค้นพบว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่กว่าที่นางคิด ความน่ากลัวที่นางเคยสัมผัสเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆ
“อาหลี เจ้าอย่าคิดมากไปเลย ท่านแม่อาจจะถูกคนของตระกูลนางรับกลับไปแล้วก็ได้ ไม่ช้าก็เร็วพวกเราจะได้เจอกับนาง” เห็นเจียงหลีเงียบไป เจียงเฮ่าเข้าใจผิดคิดว่านางกำลังคิดถึงท่านแม่อยู่ เลยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เจียงหลีเลิกคิดแล้วมองเจียงเฮ่า หัวเราะตัวเองในใจ
นางได้ยึดร่างของน้องสาวคนอื่น แล้วยังจะได้รับความรักจากสายเลือดเดียวกันอีกหรือ อย่างน้อยก่อนที่เจอกับเจียงเฮ่า ตัวตนในใจของเจียงหลียังคงเป็นราชินีแห่งกู่อูกั๋ว อาณาจักรแม่มดโบราณ
“ท่านพี่!” เจียงหลีส่งเสียงเรียกขึ้นมา
“หืม” เจียงเฮ่ามองนาง รอนางพูด
“วางใจเถิด เรื่องของตระกูลเจียง ข้าจะแบกรับมันไว้ด้วยกันกับท่าน” เจียงหลีให้คำมั่นสัญญาอย่างจริงจัง นางเข้าใจแล้ว นางไม่อยากรับความดีที่เจียงเฮ่ามีให้นางอย่างสบายใจโดยที่ไม่ทำอะไรให้ถูกต้อง ก็ต้องทุ่มเทอะไรออกไปบ้าง จะได้ไม่รู้สึกเสียใจที่ทำไป
“ไม่ต้อง เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง เจ้าตั้งใจฝึกฝนไป ตอนนี้ตระกูลลู่ก็ถือเป็นที่พักพิงที่ไม่เลว สามารถคุ้มครองให้เจ้าเติบโตได้ อาหลี ถึงแม้ว่าพี่ไม่รู้ว่าทำไมเนตรญาณของเจ้าได้เปิดออก แต่ถึงแม้ว่าเจ้าสามารถฝึกฝนพลังได้แล้ว ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องบุญคุณและความแค้นเหล่านี้” เจียงเฮ่าปฏิเสธข้อเสนอของเจียงหลี
เจียงหลีขมวดคิ้ว ความจริงใจของเจียงเฮ่า ทำให้นางรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นหัวขโมย
“อาหลี เจ้าเป็นความภาคภูมิใจของพี่จริงๆ เจ้าได้เข้าสถาบันที่พี่ใฝ่ฝันมาตลอด ดังนั้นเจ้าต้องทำความฝันของพี่ให้เป็นจริง ตั้งใจฝึกฝนพลังที่สถาบันไป๋หยวน”
“……”
คำพูดของเจียงเฮ่า เห็นได้ชัดว่าเขาเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยง ด้วยพรสวรรค์ของเขา สามารถรอให้เขาฝึกฝนถึงขั้นหลิงหวงแล้วค่อยแก้แค้นก็ได้ แต่ว่าเขากลับเลือกที่จะอยู่ในที่ที่อันตรายที่สุด หาวิธีให้ตัวเองได้เข้าใกล้คู่อริของตระกูลเจียง นี่เห็นได้ชัดว่าความแค้นของตระกูลฝังลึกลงไปในจิตใจของเขาแล้ว ถ้าหากไม่สะสาง เขาก็ไม่สามารถฝึกฝนพลังได้อย่างสงบ
“ทำไมฮ่องเต้ต้องให้ท่านพ่อตาย” จากท่าทีของเจียงเฮ่า เจียงหลีเดาเรื่องไม่ดีที่จะเกิดขึ้นได้เลย
โทษของเจียงหลินเฟิง เต็มไปด้วยความน่าสงสัย ที่ฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด นี่มันไม่ใช่นิสัยของเจียงหลินเฟิงเลย
เจียงเฮ่าแววตาดุดันขึ้นมา เขาพูดด้วยเสียงเข้ม “เพราะว่าท่านพ่อต่อต้านการลงมือกับตระกูลลู่”
!
เจียงหลีตกตะลึง
นางไม่เคยคิดว่าการตายของเจียงหลินเฟิงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลลู่! แท้จริงแล้วเป็นเพราะโลกใบนี้มันเล็กเกินไป หรือเป็นเพราะว่าชะตากรรมที่ไม่อาจคาดเดาได้กันแน่
“อาหลี เรื่องพวกนี้ให้พี่จัดการเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” เจียงเฮ่ายกมือขึ้นลูกหัวนางไปมา
ท่าทีที่แสนอ่อนโยนแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่น เจียงหลีคงตัดแขนข้างนั้นทิ้งไปแล้ว
แต่ว่า ถ้าหากเป็นเจียงเฮ่าล่ะก็……ก็ไม่เป็นไร
……
สองวันต่อมา เจียงหลีได้เห็นถึงความรักที่เจียงเฮ่ามีต่อน้องสาว
วันแรก เขาจับวิญญาณยุทธ์มาสิบกว่าตัวไว้ตรงหน้าเจียงหลี หลังจากนั้นก็ทิ้งไปเจ็ดแปดวิญญาณยุทธ์ที่เหลืออยู่ตรงหน้านาง ให้นางเลือก ถ้าไม่พอใจก็หาใหม่
ถึงตอนที่เจียงหลีไม่มีทางเลือก หลังจากบอกวิญญาณยุทธ์ที่นางต้องการคือเสวียนกังกุย เขาถึงหยุด
“มา อาหลีกินอะไรหน่อย” หลังจากที่เจียงเฮ่าถือผลไม้สดที่เด็ดมาด้วยมือทั้งสองข้าง ล้างสะอาดและเช็ดเสร็จแล้ว ยื่นให้เจียงหลี “ถึงแม้ว่าพวกเราจะเข้าสู่อาณาเขตหลิงอู่ด้วยร่างวิญญาณ แต่ประสาทสัมผัสของเรายังอยู่ ไม่กินอะไรเลย จะหิวมาก”
เจียงหลีกัดผลไม้ไปคำหนึ่ง ทำหน้าเหยเก “เปรี้ยวไปหน่อย”
“เปรี้ยวรึ เอาผลนี้ไป” เจียงเฮ่านั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าจียงหลี หยิบผลไม้ที่นางกัดไปคำหนึ่งจากมือนาง แล้วยื่นอีกผลหนึ่งให้นาง
“เป็นอย่างไร” เจียงเฮ่ามองเจียงหลีอย่างใจจดใจจ่อ
หลังจากที่เห็นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาถึงเผยรอยยิ้มที่ดีใจออกมา “เจ้ารออยู่นี่นะ พี่จะไปเด็ดมาให้เจ้าอีก” พูดจบ ร่างของเขาก็หายไปจากตรงหน้าเจียงหลี
“อาหลี เจ้ากระหายไหม พี่เตรียมน้ำผึ้งไว้ให้เจ้า”
“อาหลี ร้อนไหม พี่ถักหมวกมาให้เจ้า ใส่ไว้ก็จะไม่ร้อนแล้ว”
“อาหลี เหนื่อยไหม ให้พี่แบกเจ้าไหม”
“อาหลี ไม่ต้องทำ อยากทำอะไรบอกพี่ได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”
“……”
เจียงหลีนอนอยู่บนสนามหญ้าอย่างเกียจคร้าน สองมือรองอยู่ใต้หัว มองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง พูดออกมาว่า “มีพี่ชายแบบนี้ก็ไม่เลวแฮะ”
เจียงเฮ่านั่งอยู่ข้างๆ เจียงหลีเพื่อบังแดดให้นาง สายตาค่อยๆ เฉียบแหลมขึ้นมา “อาหลี อู๋เชียนหมาแก่ตัวนั้นกล้าทำร้ายเจ้า เจ้าไม่ต้องห่วง พี่จะแก้แค้นให้เจ้าเอง!”
อู๋เชียน!
เจียงหลีหุบยิ้ม หรี่ตาทั้งสองข้าง ยิ้มอย่างเยือกเย็นในใจ หมาแก่ตัวนี้กระโดดไปมาตรงหน้านางหลายครั้งหลายครา น่ารำคาญจริงๆ!