นางฉลาดเพียงนี้ จะไม่ตระหนักถึงความตั้งใจที่ดีของพระชายาลู่ได้อย่างไร
ครั้งแรกที่พระชายาลู่เห็นนาง ก็กระตือรือร้นมากเพียงนี้ เพราะคนๆ เดียวนั่นก็คือลู่เจี้ย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ลู่เจี้ยยอมรับ
แต่ลู่เจี้ย ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอายุสั้น
ดังนั้น ไม่ว่าพระชายาลู่จะเต็มใจที่จะยอมรับสิ่งนี้หรือไม่ สิ่งที่นางทำได้ก็คือทำดีต่อลู่เจี้ยอย่างเต็มที่ และทำดีกับคนรอบข้างเขาในเวลาอันจำกัดด้วย
นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมพระชายาลู่จึงปฏิบัติกับนางเป็นอย่างดี
นายหญิงตระกูลลู่ท่านนี้ เพียงเพราะไม่ต้องการทำให้ลูกชายของนางต้องลำบาก หวังแค่ว่าลูกชายของตนจะได้ใช้ชีวิตตามที่เขาพอใจ และมีความสุขในช่วงเวลาแห่งชีวิตที่จำกัดนี้
“ทุกคนในครอบครัวของข้า ดีทุกคน ดีมากๆ” ลู่เจี้ยไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของเจียงหลี
จากการแสดงออกของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงหลีรู้สึกว่าเขามุ่งมั่นที่จะวางแผนเพื่อตระกูลลู่
“ลู่เสวียนละ” เจียงหลีถาม
จวนของอ๋องลู่ในซั่งตูแห่งนี้ ทราบว่าเป็นที่อยู่อาศัยของอ๋องต่างสกุลกับฮ่องเต้ แต่แท้ที่จริงแล้วมันคือจวนสำหรับตัวประกัน ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์โฮ่วจิ้นเกรงกลัวตระกูลลู่ แต่ก็ยังต้องการให้ท่านอ๋องลู่ไปปกป้องเป่ยฝาง ดินแดนทางเหนือของราชวงศ์โฮ่วจิ้น ดังนั้น จึงมีพระกรุณาต่อตระกูลลู่ ให้เหลือไว้เพียงพระชายาลู่และลู่เสวียน คอยเสวยสุขอยู่ที่ซั่งตู เพื่อปกป้องจากภัยสงครามทางตอนเหนือ นายท่านลู่ซึ่งเป็นพ่อของลู่เจี้ย ได้นำพลทหารและม้าไปป้องกันทางเหนือ
หากท่านอ๋องลู่เคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ภรรยาคนเดียวของเขาและลูกชายคนเล็กที่มีความสามารถที่สุดจะต้องถูกสังเวย
สำหรับลู่เจี้ยหรือ
เป็นผีอายุสั้นตนหนึ่ง ไม่เพียงพอที่จะส่งผลต่อสถานการณ์ภาพรวมใดๆ
ในความทรงจำของเจียงหลี เนื่องด้วยเหตุผลของเจียงหลินเฟิง เรื่องเหล่านี้ที่เกี่ยวกับเรือนของตระกูลลู่ นางยังพอเข้าใจบ้าง ดังนั้น นางจึงไม่ได้ถามไถ่เรื่องราวของลู่อ๋องเพียงแค่ถามถึงลู่เสวียน
“ไม่ได้อยู่ในจวน คงจะไปในเที่ยวเล่นสนุกที่ไหนอีกแล้ว” ลู่เจี้ยพูดอย่างสบายๆ
“เขาไม่รู้ว่าวันนี้เจ้าจะกลับมาหรือ” เจียงหลีถามด้วยความประหลาดใจ
ลู่เจี้ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเสวียนเป็นคนที่มีชีวิตชีวา และไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ที่บ้านได้ เมื่อออกไปคราใดก็เป็นหลายวัน อาจเป็นสิบวันหรือเป็นเดือน แต่เขาจะไม่พลาดงานสำคัญๆ เจ้าจะได้พบเจอกับเขาเองที่สถาบันไป๋หยวน”
เจียงหลีแค่ฟังก็ปวดหัวแล้ว
นางรู้สึกว่าลู่เสวียนเป็นเด็กมีปัญหา?
“หลีเอ๋อร์ ข้าเพียงต้องการให้เจ้าระวังปกป้องเสี่ยวเสวียนจากพวกเขาอย่างลับๆ เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น เสี่ยวเสวียนจะจัดการได้ด้วยตัวเอง” ลู่เจี้ยเตือนในทันที
เจียงหลีมองไปที่เขาและพยักหน้า
นางเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำไมลู่เจี้ยไม่ส่งผู้ที่มีฝีมือของตระกูลลู่ไปปกป้องลู่เสวียนอย่างลับๆ ต่อมาข้าจึงนึกถึงสามยอดปราชญ์และเจ็ดวีรบุรุษของสถาบันไป๋หยวน จึงเข้าใจได้บ้างแล้ว
ในสถานที่เช่นนี้ หากผู้มากฝีมือแอบเข้ามา ก็จะถูกพบเห็นในทันที
ดังนั้น แม้ว่าใครบางคนต้องการชีวิตของลู่เสวียน แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นนักเรียน และหลังจากเข้าสู่สถาบันแล้ว คงจะมองหาโอกาสที่จะลงมือ
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางคงต้องปกป้องลู่เสวียนอย่างลับๆ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“แม้ว่าสถาบันไป๋หยวนสามารถพักอยู่ได้ แต่เจ้ากับเสี่ยวเสวียนไปกลับระหว่างสถาบันกับจวนของตระกูลลู่ให้ตรงตามเวลาจะดีกว่า” ลู่เจี้ยกล่าวอีกครั้ง
เจียงหลีขมวดคิ้ว นางเข้าใจว่านี่เป็นการลดความเสี่ยงของทั้งสองเมื่ออยู่ข้างนอก
“ถ้าหากมีคนลงมือบนท้องถนนละ” เจียงหลีถาม
ลู่เจี้ยกลับส่ายหัว “นี่คือซั่งตู ทุกวันที่พวกเจ้าไปที่สถาบันไป๋หยวน จะได้รับการดูแลจากผู้มากฝีมือของตระกูลลู่ หากมีการโจมตีระหว่างทาง ยังไม่พูดถึงว่าจะประสบความสำเร็จได้หรือไม่ในการลงมือ แค่ฝ่าด่านฮ่องเต้ ก็เป็นเรื่องยากแล้ว”
เจียงหลีถอนหายใจ
นางเข้าใจความหมายของ เป็นนังโสโครก แต่ต้องแสร้งบริสุทธิ์แล้ว!
จักรพรรดินั้น ตั้งแต่ในสมัยโบราณ ต้องการที่จะจารึกนามลงไปในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ในตำแหน่งนั้นก็ต้องใช้วิธีที่สกปรกบางอย่าง ดังนั้นความมืดมนก็ต้องฝังไว้ในดิน ความรุ่งโรจน์ผิวเผินก็ยังคงต้องได้รักษาเอาไว้
“ตอนที่หลีเอ๋อร์เป็นราชินีนั้นเป็นยังไงบ้างหรือ” จู่ๆ ลู่เจี้ยก็เริ่มสงสัย
เจียงหลีเลิกคิ้วและมองไปที่เขา และมุมริมฝีปากของเขาโค้งงอ “ข้าปกครองประเทศ ไม่ยุ่งยากมากนัก เพราะปกครองกันโดยโดยสายเลือด และผู้คนของข้าเรียบง่ายน่ารัก ไม่ซับซ้อนเหมือนที่นี่”
“นั่นเป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ” ลู่เจี้ยถอนหายใจอย่างกะทันหัน
เจียงหลีขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเขา
……..
วันที่สองหลังจากมาถึงซั่งตู ก็ถึงเวลารายงานตัวที่สถาบันไป๋หยวน
แม้ขณะเมื่อออกไป นางยังไม่เห็นลู่เสวียนด้วยซ้ำ
ทีแรก หม่าหยวนจย่าต้องการจะส่งนางไปที่สถาบันไป๋หยวน อวี้ซูและอวี้เฉินพี่น้องสองคนนี้ ก็บอกว่าพวกเขาจะไปรายงานตัวด้วย แต่พวกเขาก็ถูกเจียงหลีปฏิเสธ
ตอนที่อยู่ซูหนาน นางบังเอิญรู้จากปากของหนานอู๋เฮิ่นว่าเจียงเฮ่าไม่ได้อยู่ที่สถาบันไป๋หยวนแล้ว แต่คราวนี้เป็นวันที่สถาบันไป๋หยวนเปิดรับศิษย์ เจียงเฮ่าที่เคยใฝ่ฝันถึงสถาบันไป๋หยวนจะมาปรากฏตัวหรือไม่
หากเขาปรากฏตัว นางจะไขปริศนาของกู๋หล่านเย่ว์ได้หรือไม่ นอกจากนี้ในขณะที่นางฝึกฝน นางแน่ใจแล้วว่าร่างกายนี้แตกต่างจากคนธรรมดา!
ดังนั้น นางจึงไม่สามารถพาคนอื่นไปที่นั่น มิฉะนั้น หากมีคนพบเจียงเฮ่า และบุคคลที่สามรู้ที่อยู่ของเจียงเฮ่า มันจะทำให้เกิดปัญหาอีกครั้ง
อย่าลืมว่าตอนนี้เจียงเฮ่าเป็นผู้หลบหนี!
เจียงหลีมาที่สถาบันไป๋หยวน ด้วยตัวเองคนเดียว
สถาบันไป๋หยวน ตั้งอยู่ในพื้นที่กว้างในชานเมืองทางใต้ของซั่งตู ดูเหมือนว่าฮ่องเต้รับสั่งให้จัดสรรพื้นที่ทั้งหมดนี้ให้กับสถาบันไป๋หยวน
เมื่อมาถึงประตูทางเข้าหุบเขา ก็มีคนมากมายมาต่อแถวแล้ว
ในเวลานี้ เจียงหลีได้ยินเสียงตะโกน “ผู้ที่มีป้ายถูกเลือกไว้ในมือแล้ว ให้เข้าแถวทางซ้าย และหลังจากการตรวจสอบเบื้องต้นแล้วให้เข้าไปในสถาบัน ผู้ที่ไม่ได้มีป้ายถูกเลือก ให้เข้าแถวทางด้านขวา เพื่อเข้ารับการตรวจคัดกรอง”
ป้ายถูกเลือก?
คงจะเป็นแผ่นนั้นที่หนานอู๋เฮิ่นให้ข้ามา เจียงหลีพึมพำในใจ
นางมองไปทางขวา ในแถวที่ยาวนี้ มีหลายคนมองไปที่แถวที่มีคนไม่กี่คนทางซ้ายอย่างอิจฉา ทางด้านซ้าย ดูเหมือนว่าสามารถเข้าไปได้เลย เพียงแค่แสดงป้ายชื่อ อย่างไรก็ตามบุคคลที่อยู่ทางขวา จะต้องได้รับการทดสอบทางเนตรญาณ
ในขณะนี้ ที่ด้านบนสุดของด้านขวา มีคนที่เสร็จสิ้นการทดสอบแล้ว หลังจากแสงสีทองมาบรรจบกัน ก็จะมีคนจากสถาบันไป๋หยวนตะโกนว่า “เนตรญาณสามดวง เกือบจะไม่ผ่าน ความสามารถของเจ้าอยู่ในระดับปานกลาง แม้ว่าจะเข้าไปในสถาบันศึกษาแล้ว จะสามารถเรียนรู้ได้จากระดับต่ำสุดเท่านั้น เจ้าเต็มใจหรือไม่ “
“เต็มใจ เต็มใจ! ขอเพียงสามารถเข้าสู่สถาบันไป๋หยวน ข้ายอมทำทั้งหมด” ผู้เข้ารับการทดสอบกล่าวด้วยความตื่นเต้น
“เอาล่ะ เช่นนั้นก็เข้าไปกันเถอะ” คนของสถาบันไป๋หยวนก้าวไปด้านข้าง และปล่อยให้ผู้ทดสอบเข้าไป
เจียงหลีเห็นภาพทุกอย่างและถอนหายใจ สถาบันไป๋หยวนแห่งนี้ไม่ได้ถามถึงภูมิหลังหรือความสามารถ เกณฑ์นั้นต่ำมาก นางรู้สึกได้ว่าการเข้าสู่สถาบันไป๋หยวนเป็นเรื่องที่ง่าย แต่ถ้าต้องการเรียนรู้ทักษะจริงๆ ยังต้องใช้ความสามารถ มิฉะนั้นแล้ว ทำไมคนอย่างหนานอู๋เฮิ่นถึงยอมเดินทางไกลเป็นพันลี้ไปที่ซูหนานนั้นด้วยเล่า
“เจียงหลี? ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่” ทันใดนั้น เสียงที่แสบหูก็ดังมาจากด้านหลังของเจียงหลี ทำให้นางขมวดคิ้วและหันกลับไปมองคนที่อยู่ข้างหลังนาง
ตรงหน้ามีคนเดินมาสามคน คนแรกนี้เป็นผู้ที่ดูน่ารังเกียจ และได้มองนางด้วยความเย็นชา
เจียงหลี พยายามนึกอย่างดี ทันใดนั้นเองก็ตระหนักได้ว่า ที่แท้ ก็คือศัตรูนี่เอง!