สถาบันไป๋หยวนอย่างนั้นหรือ
ดวงตาเจียงหลีเป็นประกาย
อันที่จริงความทรงจำอย่างเดียวที่นางมีต่อสถาบันไป๋หยวนก็คือเจียงเฮ่าซึ่งเป็นพี่ชายของเจ้าของร่างนี้เขามีจุดมุ่งหมายเข้าสถาบันไป๋หยวนมาโดยตลอด
เจียงเฮ่าอยู่ที่ซั่งตู หรือว่าจะซ่อนตัวอยู่ในสถาบันไป๋หยวนนะ เจียงหลีนึกสงสัยอีกครั้ง
แต่ทว่า…
นางยังทำภารกิจเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อไม่สำเร็จ อาการบาดเจ็บในร่างกายก็ยังไม่ทุเลา หากจากลู่เจี้ยไปแล้วอาการบาดเจ็บแทบทุกเดือนยังพอว่า แล้วเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อล่ะจะทำเยี่ยงไร
นางมีตัวช่วยวิเศษพลิกฟ้าดินแต่กลับนำมาใช้ไม่ได้เช่นนี้ทำให้นางกินไม่ได้นอนไม่หลับ
“ข้า…”
“หลีเอ๋อร์ ข้าหวังว่าเจ้าจะไปที่สถาบันไป๋หยวน”
“…”
ในขณะที่เจียงหลีกำลังจะปฏิเสธลู่เจี้ยกลับค่อยๆ เปิดปากพูด
ดูเหมือนว่าที่เขาเพิ่งจะถามออกไปไม่ได้เอาคำตอบจากนางจริงๆ แต่เขาพูดในสิ่งที่ตัดสินใจออกมา
เจียงหลีหรี่ตา ในแววตาของนางสั่นไหว นางกำลังพิจารณาถึงการตัดสินใจของผู้ชายคนนี้
จู่ๆ นางก็ยิ้มหยอกล้อ เอนกายพิงในรถม้าอย่างเกียจคร้าน เผยให้เห็นท่าทางสบายเป็นธรรมชาติที่ไม่เหมาะสมกับอายุ “ถ้าหากข้าไปสถาบันไป๋หยวนแล้ว ท่านจะทำอย่างไร ไม่อยากให้ข้าอุ่นเตียงให้แล้วหรือ”
พวกเขาสองคนเป็นที่ต้องการซึ่งกันและกัน เขาก็ต้องการนางมาบรรเทาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยเช่นกัน
ดวงตาที่แวววาวของลู่เจี้ยหันมามองนาง ดวงตาคู่นั้นดูเหมือนจะดูดซับแสงจากดวงดาว สว่างไสวและพร่ามัว “ข้าจะไปด้วยกันกับเจ้า”
“ห้ะ!” เจียงหลีตกใจอ้าปากค้าง
ว่าอย่างไรนะ
เมื่อกี้ผู้ชายคนนี้พูดว่าอย่างไรนะ
เขาจะไปสถาบันไป๋หยวนกับนาง
เหอะๆ!
เคยได้ยินแต่เจ้านายไปเรียนหนังสือพาลูกหาบลิ่วล้อไปเรียนด้วย ยังไม่เคยได้ยินทาสไปฝึกฝนวิชาแล้วพาเจ้านายติดสอยรับใช้ไปด้วย
“หลีเอ๋อร์ตกใจอะไรขนาดนี้” ลู่เจี้ยหัวเราะเบาๆ มองไปยังใบหน้าแน่งน้อยของเจียงหลีที่กำลังตะลึงงันอยู่ ยกจอกน้ำชาของตัวเองหรุบสายตาต่ำด้วยท่วงท่าอ้อยอิ่งสบายอารมณ์ แต่กลับมีเสน่ห์น่าหลงใหล
มองริมฝีปากของเขาที่ไม่แดงมากนักสัมผัสขอบแก้วเบาๆ เจียงหลีรู้สึกริมฝีปากตัวเองแห้งผากอยู่ตลอดเวลา ปีศาจนี่มันปีศาจชัด เป็นปีศาจที่โปรยเสน่ห์ยั่วยวนชวนให้คนหลงใหล
เจียงหลีอยากหลบสายตาแต่ดันทุรังอย่างไรก็หลบสายตาไม่ได้ราวกับโดนสะกดนิ่ง
ช่างน่าขายขี้หน้าเสียจริง
นางคำรามในใจ
ดูเหมือนลู่เจี้ยคงจะไปกระตุ้นต่อมนิสัยไม่ยอมแพ้ของนางเข้า นางยิ้มยั่วเย้า ใบหน้าแน่งน้อยสดใสเปลี่ยนเป็นยั่วยวนฉับพลัน
ลู่เจี้ยที่เอาแต่จ้องมองนางตลอด ในชั่วขณะหนึ่ง ความเคลื่อนไหวในมือของเขาหยุดชะงักลง
ในขณะนั้นทั้งคู่ดูเหมือนจะกลายร่างเป็นปีศาจ ที่อยากเอาชนะกันฝ่ายตรงข้ามด้วยเสน่ห์ของตัวเอง แต่พวกเขาต่างตกหลุมลึกที่ตัวเองขุดโดยไม่รู้ตัว
“ข้าก็ต้องตกใจสิ ทำไมท่านถึงใจดีขนาดนี้” เจียงหลียกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มบนมุมปากสดใสราวกับดอกไม้บาน
คนตรงหน้าลู่เจี้ยดูเคลิบเคลิ้มใจลอย
ใบหน้าอ่อนเยาว์ตรงหน้าจางหายไปแต่กลับแทนที่ด้วยใบหน้างามล่มเมืองยั่วยวนดึงดูดจิตใจเขา
นี่คือเจ้าคนเดิมใช่หรือไม่ ลู่เจี้ยลอบถอนหายใจเบาๆ
สติที่หายไปถูกอำพรางด้วยท่าทางเรียบนิ่งของลู่เจี้ย เขาวางแก้วชาในมือลงแล้วพูดขึ้น “ลู่เสวียนก็จะเข้าสถาบันไป๋หยวนด้วย”
ลู่เสวียนหรือ
เจียงหลีอึ้ง
ใบหน้ายั่วยวนที่ซ่อนอยู่หายไปในพริบตาหวนคืนสู่ใบหน้าใสอ่อนเยาว์ ลู่เสวียนคือใคร นางคิดอย่างละเอียด ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ “น้องชายเจ้าก็อยากเข้าสถาบันไป๋หยวนด้วยหรือ”
ลู่เจี้ยลดสายตาลงขนตางอนยาวตกลงมาปิดกั้นความผิดหวังบนใบหน้านั้นจนหายไป “สำนักหลิงอู่เป็นของราชวงศ์โฮ่วจิ้น เสี่ยวเสวียนไปไม่ได้แน่นอน สถาบันไป๋หยวนจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา”
เจียงหลีเข้าใจแล้ว “ที่แท้เจ้าก็อยากให้ข้าตามไปคุ้มครองลู่เสวียน”
ลู่เจี้ยเลื่อนสายตาไปทางหน้าต่างที่มีผ้าม่านปิดกั้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “เสี่ยวเสวียนมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ใครก็ตามที่คิดจะลงมือ เสี่ยวเสวียนไม่ปล่อยเอาไว้แน่”
เจียงหลีเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด
ลู่เจี้ยจึงพูดต่อ “ข้าไม่ไปเหยียบซั่งตูมาสามปีแล้วก็ควรจะไปเยี่ยมเสียหน่อย”
พินิจมองท่าทางของเขา เจียงหลีมักจะรู้สึกว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายเช่นนี้ การไปซั่งตูของลู่เจี้ยจะต้องมีจุดประสงค์อื่นเป็นแน่
แต่ว่าจุดประสงค์นั้นคืออะไรนางเองก็ไม่รู้
สำหรับสถาบันไป๋หยวนอีกทั้งลู่เสวียน…
ข้ามาอยู่ในตระกูลลู่ นอกจากการฝึกฝน การใช้ทรัพยากร ลู่เจี้ยก็เป็นกรณีพิเศษ ถ้าเขาไปด้วยกัน สถาบันไป๋หยวนก็ใช่ว่าจะไปไม่ได้ อีกทั้งยังสามารถตามหาเจียงเฮ่าว่าสรุปแล้วอยู่ที่นั่นหรือเปล่า สำหรับลู่เสวียนไว้ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันใหม่ เจียงหลีครุ่นคิดในใจครู่หนึ่งจึงตัดสินใจได้
“ตอนนั้นเจียงหลินเฟิงตายอย่างแปลกประหลาด หลีเอ๋อร์สิงอยู่ในร่างลูกสาวของเขา หรือว่าไม่อยากทวงคืนความยุติธรรมให้ครอบครัวตระกูลเจียง” ทันใดนั้นลู่เจี้ยก็เอ่ยขึ้น
เจียงหลีรวบรวมสายตามองเขาแล้วหัวเราะขึ้นมา “ท่านไม่จำเป็นต้องยุแหย่ข้า อย่างไรเสียการไปสถาบันไป๋หยวนก็มีข้อดี ข้าต้องไปแน่นอน”
ลู่เจี้ยพยักหน้ายิ้มให้เล็กน้อย “หลีเอ๋อร์ตัดสินใจแล้วก็ดี”
เจียงหลีขยับเข้าใกล้อย่างนึกสนุก “ท่านเป็นนาย ข้าเป็นบ่าว ท่านสั่งให้ข้าไป ข้าจะกล้าขัดได้อย่างไร”
ลู่เจี้ยจ้องมองคิ้วขมวดดื้อรั้นของนางแล้วจู่ๆ ก็ขำขึ้นมา “หลีเอ๋อร์เชื่อฟังขนาดนี้เชียวหรือ”
เอ่อะ!
เจียงหลีโดนเขาหยอกอีกแล้ว ทันใดนั้นจึงแกล้งทำเป็นไม่สนใจเขาอีก นางกลับไปพิงรถม้าใหม่อีกครั้ง หลับตาพักผ่อน แม้จะหลับตาลงแต่ความคิดก็ยังคงดำเนินต่อไป
การที่ตระกูลเย่ว์เอ่ยถึงเรื่องของกู๋หล่านเย่ว์ ทำให้ความสงสัยของนางเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
กู๋หล่านเย่ว์ลึกลับถึงเพียงนี้ นางจากไปกะทันหันเช่นนั้นมันแปลกเกินไป
“พาข้าไปสุสานของกู๋หล่านเย่ว์” จู่ๆ เจียงหลีเบิกตาโพล่งขึ้นมา
ลู่เจี้ยหันสายตามองนาง ไม่ปฏิเสธคำขอของนาง มีรอยยิ้มที่อธิบายไม่ได้ซ่อนอยู่ในดวงตาคมสวย
…
รถม้าตระกูลลู่มุ่งหน้าไปทางชาญเมืองซูหนาน
ระหว่างทางเจียงหลีกับลู่เจี้ยไม่ได้พูดอะไรกันอีก เงียบมาตลอดทาง แต่คาดไม่ถึงว่าหลังจากที่รถม้าเทียบจอด นอกจากนางจะเจอสุสานของมารดาผู้เป็นเจ้าของร่างนี้แล้วยังเจอคนที่คาดว่าจะไม่ได้เจออีกสามคนด้วย
“คุณหนู!” หม่าหยวนจย่าที่รออยู่ตรงนี้นานแล้วเห็นเจียงหลีกำลังกระโดดลงมาจากรถม้า ฉายแววความตื่นเต้นทันที
แล้วข้างๆ เขายังมีคนที่เจียงหลีรู้จักสองคนกำลังถูกมัดอยู่
“หม่าหยวนจย่า” เจียงหลีมองเขาอย่างไม่คาดฝันและสงสัยในใจ เขารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะมาที่นี่อย่างกะทันหัน นางกวาดสายตามองไปยังสองแม่ลูกที่นั่งตัวสั่นงกบนพื้นแล้วสบถในใจ
“คือว่านายน้อยสั่งคนมาบอกข้าน้อยให้พาสองคนนี้มารอคุณหนูขอรับ” เมื่อเห็นเจียงหลีสงสัย หม่าหยวนจย่าจึงรีบอธิบาย
เขา!
เจียงหลีหันไปมองยังรถม้าที่จอดเงียบนิ่งตรงที่ไม่ไกลนัก
ลู่เจี้ยอยู่ข้างในนั้นไร้วี่แวว สงบนิ่งเสียจนราวกับว่าไม่อยู่อย่างไรอย่างนั้น แต่ทว่าเจียงหลีกลับตกใจเป็นอย่างมาก นางเพียงแค่นึกขึ้นได้ปุบปับว่าต้องมาที่นี่ หรือว่านางถูกผู้ชายคนนี้คิดการวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วอย่างนั้นหรือ
“เจียงหลี เจ้ามันหน้าเนื้อใจเสือ หมาป่าห่มหนังแกะ ข้าเป็นถึงอาสะใภ้ของเจ้า อวี๋เอ๋อร์ก็เป็นพี่สาวเจ้า เจ้าฆ่าเย่ว์หนานซีตายยังไม่พออีกเหรอ หรือว่าเจ้ายังจะกล้าฆ่าพวกข้าอีก ไม่เกรงกลัวเวรกรรมมันจะตามทันหรือ” เมื่อเจอเจียงหลี นางเหอซื่อด่ากราดยกใหญ่…