ท่าทางของเขาราวกับเกิดมาพร้อมกลิ่นอายที่โดดเดี่ยว ในดวงตาของเขาราวกับไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่
เงาร่างที่สวมชุดคลุมสีกรมท่า ค่อยๆ เข้ามา เขาเดินมาด้วยความสงบนิ่ง แต่กลับทำให้คนที่อยู่คนรอบๆ หลีกทางให้เขากันหมด
เจียงหลีรับรู้ได้ถึงความดื้อรั้นผ่านดวงตาของเขา
ชายผู้นี้ รักในการต่อสู้มาแต่กำเนิด เจียงหลีคิดในใจ ไป๋หลี่เฟิ่งทำให้นางนึกถึงเพื่อนเก่าเมื่อชาติก่อน แต่ความรู้สึกนี้ปรากฏขึ้นเพียงชั่วแวบเดียว
ในตอนที่ไป๋หลี่เฟิ่งเดินผ่านด้านข้างนางไปอย่างเงียบเฉียบ นางถูกกลิ่นอายความเยือกเย็นจนนิ่งไปครู่หนึ่ง
“ลงชื่อสมัคร” ไป๋หลี่เฟิ่งเดินไปตรงที่รับสมัคร เปิดปากพูดครั้งแรก เสียงของเขาก็เยือกเย็นเช่นกัน ทำให้คนยากที่จะเข้าใกล้
“คุณหนู” หม่าหยวนจย่าเรียกเจียงหลีจากด้านหลังด้วยเสียงเบา
เจียงหลีหันหน้ามาอย่างช้าๆ ถอยหลังหนึ่งก้าว ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนแล้วพินิจพิเคราะห์ไป๋หลี่เฟิ่งต่อ นางรับรู้ได้ถึงพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่จากตัวของคนคนนี้
การปรากฏตัวของไป๋หลี่เฟิ่ง เหมือนกับว่าจะทำให้ผู้เข้าร่วมการประลองทั้งหลายเกิดความกดดัน
หม่าหยวนจย่าพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักว่า “ไป๋หลี่เฟิ่งเข้าร่วมงานประลองชิงเจียวในครั้งนี้ เกรงว่า ถ้าเจ้าอยากจะได้ที่หนึ่ง ก็ต้องเอาชนะไป๋หลี่เฟิ่งให้ได้”
“ใครบอกว่าข้าอยากได้ที่หนึ่ง” เจียงหลีมองเขาด้วยความประหลาดใจ
หืม?
เดิมหม่าหยวนจย่าคิดว่านิสัยอย่างเจียงหลี ถึงแม้ว่ามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการประลอง แต่คงจะคว้าที่หนึ่งได้แน่ๆ ยิ่งกว่านั้นเขาคิดในใจว่าด้วยพรสวรรค์ของเจียงหลี การจะได้ที่หนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดาย
แต่ทว่าคำตอบของเจียงหลีกลับทำให้เขาตกใจ
“ข้ามาก็เพื่อไอเจ้าเย่ว์หนานซีนั่น แล้วก็เพื่อทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งของตระกูลเย่ว์ให้นายน้อยของพวกเจ้า ที่หนึ่งอะไรกัน ข้าไม่ได้สนใจ” เจียงหลีบ่นพึมพำ
หม่าหยวนจย่าอดไม่ได้ที่จะพูดหว่านล้อม “แต่ว่าคุณหนู…”
“แต่ว่าอะไรกัน ข้าเพิ่งจะอายุสิบสองปีนะ จะให้ข้าผู้หญิงคนเดียว ไปแย่งชิงที่หนึ่งกับคนเหล่านี้ เจ้าไม่คิดว่าเจ้าโหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ” เจียงหลีพูดด้วยความน้อยใจ
หม่าหยวนจย่าแพ้แล้ว ราวกับตกนรกเลย มองที่ท้ายทอยของเจียงหลี นางพูดเหมือนนางเป็นคนที่ไม่มีความผิด!
สวรรค์ได้โปรดช่วยด้วย!
หม่าหยวนจย่าเสียใจจนพูดไม่ออก ถึงแม้ในช่วงระยะเวลาสามเดือนมานี้ เขาไม่ได้อยู่ข้างๆ เจียงหลี แต่ตอนอยู่ในถ้าเก้าปีศาจก็มีข่าวลือเกี่ยวกับนาง เขาก็น่าจะรู้สิ
คนที่ดื้อรั้นหัวแข็งในสายตาของลู่จ้าน จะเป็นคนที่เชื่อฟังนางหรือ
ไม่รู้จริงๆ ว่าเจียงหลีคิดอะไรอยู่ หม่าหยวนจย่าก็เลยนิ่งเงียบ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเตือน “คุณหนู ถ้าหากได้ที่หนึ่ง หรือว่าถูกสำนักหลิงอู่แห่งเมืองซั่งตู หรือสถาบันไป๋หยวนรับไว้เป็นลูกศิษย์ ก็จะมีโอกาสเอาสัญญาขายตัวคืนมาได้”
เจียงหลีแววตาเป็นประกายแล้ววูบลง
นี่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะเปลี่ยนแปลงฐานะของตนเอง แต่ตอนนี้นางยังไม่อยากออกจากตระกูลลู่ ลู่เจี้ยเคยพูดไว้ว่าสามารถเตรียมการฝึกพลังให้นางได้ ตระกูลลู่ก็ไม่เคยปฏิบัติกับนางอย่างไม่ยุติธรรม และความลับของเขาก็มีประโยชน์กับนางมาก
ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เจียงหลีก็ยังคงตัดสินใจอยู่จวนตระกูลลู่ต่อ อย่างน้อยรอให้นางแข็งแกร่งและมีอำนาจก่อนค่อยว่ากัน
…
ตึงๆๆ!
เสียงกลองในสนามดังขึ้น บ่งบอกถึงการรับสมัครสิ้นสุดลง
ข้อมูลของผู้สมัครอยู่ในสมุด ถูกส่งไปบนเวที หลังจากเฮ่อเหลียนเฟิงรับมา ก็ส่งต่อให้อู๋เชียนและหนานอู๋เฮิ่นดู ถึงอย่างไรจุดประสงค์หลักในการจัดงานประลองชิงเจียวก็เพื่อส่งคนที่มีความสามารถให้กับซั่งตู
“อ้อ อายุสิบสองปี หลิงซื่อระดับห้า ลูกสาวเจียงหลินเฟิงนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ” เพราะว่าเจียงหลีสมัครช้า ดังนั้นข้อมูลของนางจึงอยู่บนสุด หนานอู๋เฮิ่นเปิดๆ ดูก็เจอแล้ว
“อายุสิบสอง หลิงซื่อระดับห้า? พรสวรรค์นางเป็นเช่นไร” อู๋เชียนก็ให้ความสนใจ ยื่นมือมาจะเอาข้อมูลของเจียงหลีจากในมือหนานอู๋เฮิ่น
แต่ว่าหนานอู๋เฮิ่นหลบอย่างไว พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอู๋ สำนักหลิงอู่มีเกณฑ์รับลูกศิษย์ที่เข้มงวดมาก ผู้หญิงต้องโทษอย่างเจียงหลีน่ะหรือ ท่านจะรับเป็นลูกศิษย์?”
อู๋เชียนหยุดชะงัก ยิ้มหน้าเหยเกแล้วชักมือกลับ
เห็นเขาไม่เอาแล้ว หนานอู๋เฮิ่นถึงจ้องมองกระดาษหน้านั้น คาดเดาว่า “พรสวรรค์เป็นอย่างไรไม่ได้เขียนไว้ แต่อายุแค่นี้ กลับสามารถมาถึงขั้นนี้ ก็แสดงให้เห็นได้แล้วว่าพรสวรรค์ของนางไม่ธรรมดา แล้วก็ตอนที่อยู่ที่เมืองซั่งตู ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าลูกสาวของเจียงหลินเฟิงมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม คิดๆ ดูแล้วหลังจากที่วงศ์ตระกูลประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถึงจะรู้ตัวได้ไม่นาน สามารถฝึกฝนมาได้ขั้นนี้ นั่นแสดงให้เห็นว่านางไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์มาก แล้วยังมีเนตรญาณที่แข็งแกร่งอีก”
อาศัยข้อมูลเพียงเท่านี้ หนานอู๋เฮิ่นก็สามารถคาดเดาเรื่องราวได้ ถ้าหากว่าเจียงหลีอยู่ที่นี่ ได้ยินคำพูดของเขาจะต้องคิดว่าคนคนนี้คิดอ่านมาอย่างละเอียดรอบคอบแล้วแน่นอน
ขณะนี้มู่หว่านโหรวก็หันกลับมามอง สายตาที่เยือกเย็นก็มองไปที่ข้อมูลของเจียงหลี “ถึงแม้เป็นเช่นนี้ แต่เป็นบ่าวรับใช้ นั่นก็คือความด่างพร้อยของนางตั้งแต่เกิด ต่อให้ในภายภาคหน้านางจะประสบความสำเร็จ เรื่องนี้ก็จะเป็นจุดที่ศัตรูใช้โจมตีนางได้”
หนานอู๋เฮิ่นกลับไม่สนใจ “ที่องค์หญิงเตือนก็ใช่ เพียงแต่ถ้าหากนางเข้ามาอยู่ในสถาบันไป๋หยวนของข้า ความเป็นบ่าวรับใช้ก็จะหายไป ยิ่งกว่านั้นผู้ที่แข็งแกร่งถึงจะได้รับความเคารพ ถ้าหากวันหนึ่งนางมีโอกาสท่องไปทั่วยุทธภพแล้วสยบผู้คนได้ จะมีใครกล้าพูดอันใดอีก”
แววตามู่หว่านโหรวเปล่งประกายเล็กน้อย ถามว่า “ท่านหนานมีคนที่ถูกใจแล้วหรือ” เพียงแต่ว่าคนของตระกูลลู่ นางย่อมมีอคติ
“ไป๋หลี่เฟิ่ง ข้าก็สนใจ” หนานอู๋เฮิ่นยิ้มแล้วพูด
ฟังเขาพูดถึงไป๋หลี่เฟิ่ง มู่ว่านโย๋วผู้ที่มีใบหน้าราวกับดอกบัว ยังคงไร้ความรู้สึก แต่ว่าริมฝีปากนางก็ขมุบขมิบอยู่บ้าง
“ทุกท่าน การประลองชิงเจียวจะเริ่มขึ้นแล้ว” เวลานี้เฮ่อเหลียนเฟิงยืนขึ้นมาแล้วเปลี่ยนเรื่อง
ตามที่เขาพูด ผู้เข้าร่วมประลองนับพันที่อยู่สนามด้านล่างก็พร้อมกันแล้ว
ท่านเจ้าเมือง ผู้ที่รับผิดชอบงานประลองในครั้งนี้ ยืนอยู่บนเวทีสูง ปลดปล่อยพลัง แล้วประกาศกฎกติกา “เห็นแล้วหรือยัง ที่อยู่ทางด้านหลังของพวกเราคือหนึ่งในทางเข้าของหุบเขาปู้กุย การประลองชิงเจียวในรอบแรก มีระยะเวลาเจ็ดวัน พวกเจ้าทั้งหมดจะถูกคัดเลือกอยู่ข้างใน ก่อนที่จะเข้าไป จะแจกกระสุนให้ทุกคน คนละสิบนัด ผู้ที่โดนกระสุนทั้งหมดตกรอบ ใครที่ตกรอบ พวกเจ้าก็สามารถแย่งชิงกระสุนจากตัวของเขาได้ สุดท้ายนี้จะมีแค่สิบคนที่ชนะ จำเอาไว้ว่าการประลองชิงเจียวบาดเจ็บได้เล็กน้อย ห้ามถึงขั้นบาดเจ็บสาหัสและห้ามฆ่าคน ผู้ใดทำผิดกฎต้องออกจากการแข่งขัน พวกเจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม”
“ฟังรู้เรื่องแล้ว แต่พวกเราทุกคนพลังไม่เท่ากัน ถ้าเป็นเช่นนี้ ผู้ที่พลังน้อยจะไม่เสียเปรียบได้อย่างไรกัน” มีคนแสดงความเห็นที่แตกต่างขึ้น
“ใช่ นี่มันไม่ยุติธรรม”
“ใช่ ไม่ยุติธรรม!”
คนที่อยู่บนเวทีสูง กวาดตามองมาด้วยความเยือกเย็น “ถ้าพวกเจ้าเป็นกังวลว่าตัวเองจะตกรอบ งั้นก็ออกจากการประลองเสียตอนนี้ หนทางของการฝึกพลัง มีความยุติธรรมที่ไหนกัน การประลองชิงเจียวไม่ได้ทดสอบเพียงแค่พลังที่มากหรือน้อยของพวกเจ้า แต่ทดสอบสติปัญญาของพวกเจ้าด้วย!”
—–