ลู่จ้านจากไปแล้ว ขณะกำลังเดินได้ทิ้งรอยยิ้มอย่างมีความหมาย
เจียงหลีมิได้สนใจสักนิด ต่อให้นรกจะน่ากลัวกว่านี้นางต้องก้าวไปอย่างสง่างาม เส้นทางผู้แข็งแกร่งย่อมขรุขระและเต็มไปด้วยความท้าทาย
เจียงหลีสูดหายใจลึกตกตะกอนความคิดว่าจะฝึกฝนทุกวันต่อไป
ลู่จ้านกล่าวว่าจากวันนี้ไปพื้นฐานฝึกฝนของนางจะต้องเพิ่มเป็นสองเท่า ฉะนั้นนับจากนี้เป็นต้นไปในสนามฝึกถ้ำเก้าปีศาจ เซียวเซียวหน่วยฝึกผู้อารักขาลับเหล่านี้ จะเห็นร่างผอมบางของเจียงหลีอดทนถาโถมรับบทเรียนทุกวันมากกว่าพวกเขาเสียอีก
วันแรก หลายคนมองอย่างชะล่าใจ
วันที่สอง เริ่มมีคนอยู่ไม่เป็นสุข
วันที่สาม มีคนสงบเสงี่ยมมองร่างนั้นด้วยความไม่สบายใจ
วันที่สี่ คนอื่นๆ ที่ฝึกขั้นพื้นฐานสำเร็จแล้วไม่ไปไหน และยืนข้างนอกสนามฝึกมองร่างเรียวเล็กกำลังฝึกวิ่งแบกของหนักอยู่กลางสนาม
สายตาของเซียวเซียวขยับไปตามร่างที่กำลังเคลื่อนไหว
เมื่อนางวิ่งผ่านพวกเขาไปต่างก็ได้ยินเสียงหอบหายใจหนัก
บทฝึกของลู่จ้านเข้มงวดมาก ในบทฝึกขั้นพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นเสริมสร้างสมรรถภาพ ฝึกความอดทน หรือพลังปะทุต่างก็ไม่อนุญาตให้ใช้กำลังภายใน ต้องอาศัยเพียงความสามารถของตนเองเท่านั้น และรายละเอียดการฝึกในทุกๆ วัน ระดับความแกร่งต้องเลยขีดความสามารถของตัวเองขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนว่าลู่จ้านตั้งใจอยากให้พวกเขาเอาชนะขีดความสามารถของตนเองทุกวัน
“เซียวเซียว เจ้าทำอะไร”
เซียวเซียวก้าวมาข้างหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก ดึงดูดเหล่าสหายให้หันมาสนใจ
คำถามนี้จึงทำให้ทุกคนมองมาที่เขา
เซียวเซียวยืนนิ่งปรายตามองพวกเขา สายตาที่แน่วแน่กวาดตามองสหาย “พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่าผู้หญิงคนหนึ่งแต่กลับทนลำบากมากกว่าตัวเอง ไม่ทำให้รู้สึกอับอายบ้างหรือ” กล่าวจบเขาหันกลับไปมองเจียงหลี ไม่สนใจใบหน้าข้างหลังที่เปลี่ยนสี
เซียวเซียวสูดหายใจลึกเดินไปยังสนามฝึกหยิบของหนักขึ้นมาคล้องไว้ที่ตนเองและเข้าร่วมเป็นหนึ่งในนั้น
เขาทำตามเจียงหลีอย่างง่ายดาย ลมที่พัดผ่านกายทำให้เจียงหลีหันไปมองเขา เกิดความประหลดในดวงตา นางต้องการทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากลู่จ้านให้สำเร็จจากนั้นรีบหาเวลาฝึกต่อสู้และกำลังภายใน มุ่งมั่นที่จะแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน แล้วเซียวเซียวมาวุ่นวายอะไร
“เจ้ามาทำอะไร” เจียงหลีถามข้อสงสัยในใจออกมา
เซียวเซียวปราดตามองนางอย่างเย่อหยิ่ง ตอบเสียงเรียบว่า “ฝึกฝน”
ไร้สาระ!
เจียงหลีสบถในใจ
เซียวเซียวพุ่งไปข้างหน้านาง ท่าทางนั้นดูเหมือนว่าอยากประลองกับนางเสียหน่อย แต่เจียงหลีกลับไม่สนใจทะเลาะกับเด็กพวกนี้ อีกทั้งวิ่งต่อไปตามจังหวะของตนเอง
แต่ผ่านไปไม่นานนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลัง ลมพัดผ่านสองข้างกาย ฟิ้วๆ เป็นของคนที่ฝึกเสร็จแล้วแต่ยังกลับเข้ามาฝึกอีกครั้ง
เจียงหลีมองฉากนี้ด้วยความตะลึง แม้จะประหลาดใจแต่ก็ไม่มีผลกระทบต่อร่างกายนางยังคงฝึกต่อไป
ห่างออกไป ลู่จ้านที่ซ่อนอยู่มองมาทางสนามฝึกจากระยะไกล
คนข้างกายเขากล่าวว่า “ใต้เท้า บทเรียนคราวนี้ทรหดกว่าครั้งก่อนมาก”
ใบหน้าเย็นชาราวกับน้ำแข็งของลู่จ้านเปื้อนรอยยิ้มเจือจางแทบมองไม่ออก คนอื่นไม่รู้แต่ในใจเขาชัดเจนดีว่าเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเจียงหลี
ก็ดี ให้พวกเขาฝึกมากกว่าเดิมถือเป็นเรื่องดี ลู่จ้านพูดในใจ
ในขณะเดียวกัน เขาหันไปพูดกับคนข้างกายว่า “อย่างไรเสียพวกเขาก็ขยันขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเพิ่มบทเรียนอีกหนึ่งเท่า เจียงหลีเพิ่มเป็นสี่เท่า นอกจากนี้เพิ่มบทเรียนการต่อสู้ด้วย ทุกสิบวันหากทำสำเร็จ ผู้ที่ฝึกภารกิจทุกคนจะได้รับหินวิญญาณสิบก้อนเป็นรางวัล”
คนข้างกายของลู่จ้านเสียวสันหลังวาบ ชื่อเสียงลู่จ้านผู้บ้าบิ่นลึกลับผู้นี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
การฝึกฝนที่ทรหดเช่นนี้ แม้กระทั่ง ‘คนเก่า’ ยังยากที่จะรับมือแล้วนับประสาอะไรกับ ‘คนใหม่’ ล่ะ ที่สำคัญพวกเขาพึ่งจะเริ่มฝึกได้ไม่นานแต่ต้องมารับการฝึกต่อสู้เสียแล้ว
อีกอย่าง เจียงหลีผู้นั้นได้กระทำอะไรผิดต่อใต้เท้าลู่จ้านเข้าล่ะ ถึงได้รับ ‘การดูแล’ เป็นพิเศษเช่นนี้ เขาอดสงสัยในใจไม่ได้
…
หุบเขาไม่มีวันหวนกลับอยู่ในส่วนถ้ำเก้าปีศาจของตระกูลลู่ เจียงหลีฝึกอย่างเป็นระเบียบ
ตอนนี้นางแทบไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น
กลางวันฝึกต่อสู้ตามระเบียบของลู่จ้าน กลางคืนลากสังขารที่อ่อนล้าบ่มเพาะพลังวิญญาณและฝึกฝนทักษะต่อสู้ซ้ำๆ
เมื่อรางวัลหินวิญญาณสิบก้อนถูกเปิดเผย ดวงตาเจียงหลีก็เปล่งประกาย คุณสมบัติที่เพียบพร้อมต่อการฝึกเหล่านี้นางต้องทำให้ได้
ของรางวัลแม้จะเล็กน้อยแต่ก็ยังเป็นของรางวัล สิ่งที่นางขาดตอนนี้คือคุณสมบัติในการฝึกตน
นางมีคำถามอยากถามหม่าหยวนจย่าว่ายังมีทางใดบ้างที่จะได้หินวิญญาณ แต่ทว่าเขากลับฝึกตนอยู่อีกแห่งหนึ่ง ก่อนการฝึกจบลงอย่างไรก็ไม่ได้เจอหน้ากัน
เช่นนี้จึงทำให้สายตาของเจียงทำได้แค่พุ่งไปยังรางวัลของการฝึก
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้
ยิ่งรีบร้อนเวลาก็ยิ่งผ่านไปไว
พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้วยิ่งใกล้งานประลองชิงเจียวเข้ามาอีก
ในเมืองซูหนานเริ่มคึกคัก หัวข้อสนทนากลางโรงเตี๊ยมเริ่มขึ้นจากเย่ว์หนานซีถูกนางทาสคนหนึ่งถอนหมั้น ไปจนถึงเรื่องงานประลองชิงเจียวว่าผู้มีความสามารถมีพรสวรรค์ทั่วทั้งแคว้นซูหนานจะเป็นเยี่ยงไรบ้าง
สถานประลองชิงเจียวทางเจ้าเมืองก็เริ่มจัดเตรียมแล้ว ในเมืองมีคนต่างถิ่นเข้ามาไม่น้อย
ค่ำคืนนี้ภายในจวนตระกูลลู่ ในเรือนส่วนตัวของลู่เจี้ยสว่างไสวไปทั่ว สาวรับใช้และผู้อารักขาในเรือนกำลังยุ่งกันสีหน้าวิตก
ภายในห้องหรูหราราวกับตำหนักในวังมีคนคุกเข่าเต็มพื้น พวกเขามองในห้องอย่างไม่สงบ จิตใจกระวนกระวาย
เตียงภายในห้องถูกคลุมด้วยชั้นผ้าม่าน มีเสียงครวญคราวออกมาแผ่วเบา
ด้านซ้ายขวาเตียงประกบด้วยผู้อารักขาคนสนิทของลู่เจี้ย สีหน้าพวกเขาเคร่งขรึมแต่ยังคงแสดงความกังวลออก
ชายชราที่ดูอาการของลู่เจี้ยคุกเข่าอยู่ด้านหน้า ประเดี๋ยวขมวดคิ้วมุ่นประเดี๋ยวพยักหน้าถอนหายใจ
“ท่านหมอเทวดา ท่านมีทางรักษาที่ดีหรือไม่” ลู่หวาอดถามไม่ได้
หมอเทวดาส่ายศีรษะถอนหายใจ “ทุกครั้งที่นายน้อยล้มป่วยอาการจะหนักขึ้นกว่าครั้งก่อน วิธีบรรเทาอาการปวดครั้งก่อนก็ไม่ได้ผล เว้นเสียแต่…ว่า…”
เขาหยุดไม่กล้าเอ่ยคำต่อจริงๆ
ที่จริงแล้วเขาไม่พูดพวกผู้อารักขาน่าจะเดาออก ซินแสเคยกล่าวไว้ว่าลู่เจี้ยจะมีอายุไม่ถึงยี่สิบแปด ตอนนี้เหลือเวลาสั้นๆ เพียงสี่ปีเท่านั้น
เมื่อคิดได้ดังนี้ ผู้อารักขาคนสนิทต่างแสดงสีหน้าเศร้าโศก
“เรียกคนเข้ามา” ทันใดนั้นเสียงอันอ่อนแรงของลู่เจี้ยดังจากข้างหลังม่าน
น้ำเสียงโรงแรงเช่นนี้แต่เมื่อดังลอดออกมา ผู้อารักขาทุกคนต่างสะเทือนไปทั้งร่างขานรับสั่งอย่างเคร่งขรึม
“นายน้อย”
เสียงดังพร้อมเพรียงกึกก้องทั่วทั้งห้อง น้ำเสียงเคารพลู่เจี้ยอย่างสุดซึ้ง
“นำตัวเจียงหลีมาอุ่นเตียงให้ข้า”
—–