ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ลู่เจี้ยคิดอะไรอยู่ ถึงแม้คนนั้นจะเป็นผู้อารักขาที่ดูแลปกป้องเขามาตลอดสิบกว่าปีก็ไม่เคยเดาใจเขาได้
เจียงหลีก็เช่นกัน นางรู้ว่าลู่เจี้ยเป็นคนนำนางออกมาจากลานต่อสู้ แต่ว่าจุดประสงค์นั้นคืออะไร แล้วการสนทนาเมื่อครู่นี้ เขาดูเหมือนมีความอยากรู้อยากเห็นกับความลับของตระกูลจียงมากยิ่งนัก โดยเฉพาะความลึกลับของมารดา ‘ร่างนี้’ แต่ว่ามารดาของนางได้เสียไป แล้วนางไม่รู้ความลับที่เป็นชิ้นเป็นอันเลยจริงๆ
เช่นนั้น คุณค่าของนางอยู่ที่ไหนล่ะ
อย่างไรเสีย ก็ให้เขารู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความลับของแม่เลย เจียงหลีนึกในใจ
อย่างไรก็ตาม ข้อคำถามของสองดูเหมือนว่าจะเอียงไปทางคำพูดที่นางพูดออกมาเพื่อที่จะปกป้องตัวเองมากกว่า
เฮือก!
ในใจลึกๆ ของเจียงหลีแอบกังวลเล็กน้อย เพราะนางรู้สึกว่าความคิดของนายน้อยลู่ท่านนี้มันช่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนตามไม่ทัน
“คือว่า…จะให้ข้าพูดที่นี่เลยหรือ” เจียงหลีกะพริบตามองไปรอบๆ แล้วมองไปที่ลู่เจี้ยผู้สูงส่ง คนรูปงามผู้นี้อยู่ห่างไกลจากนางจนทำให้มองสีหน้าได้ไม่ชัดเจนนัก ทว่า การ ‘ส่งสัญญาณ’ ของนาง ไม่ได้ทำให้คนในห้องขยับตัวเลยสักคน ทีนี้เจียงหลีก็เข้าใจความหมายของลู่เจี้ยแล้ว
“อะแฮ่ม” เจียงหลีกระแอมในลำคอเบาๆ ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ว่าอะไร นางจะไปใส่ใจอีกทำไม “เพราะตอนนั้นท่านพ่อข้าดำรงตำแหน่งข้าราชกาในราชสำนัก ดังนั้นไม่แปลกที่ข้าจะรู้เรื่องพวกนี้ ตระกูลลู่ได้ยืนฝั่งฮ่องเต้ปัจจุบันจากศึกแย่งบัลลังก์ หลังฮ่องเต้ได้ขึ้นครองราชย์ ตระกูลลู่ได้รับเกียรติอันสูงส่ง” เจียงหลีพูดไปด้วยพร้อมสายตาที่กวาดมองไปรอบๆ
ทว่า ในห้องยังคงเงียบกริบ แม้แต่หมอเทวดายังคงจดจ่อกับการตรวจร่างกายลู่เจี้ย ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อได้ยินคำพูดของนาง เจียงหลีเองก็เข้าใจ สิ่งที่นางพูดไปทั้งหมด เป็นสิ่งที่ชาวโฮ่วจิ้นรู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง จึงไม่แปลกใจนักที่ไม่ได้การตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น
นางพูดต่อว่า “ตระกูลลู่มีภูมิฐานสืบทอดกันมาร้อยปี ปัจจุบันยังเป็นขุนนางผู้ทำความดีความชอบ ขาดไม่ได้ที่จะได้รับการแต่งตั้ง ซูหนานที่เป็นแหล่งแจ้งเกิดของตระกูลลู่ จึงได้รับมอบอำนาจในการปกครองอาณาเขตแห่งนี้ แต่กลับไม่อนุญาตให้เลี้ยงกองทัพส่วนตัว แล้วยังส่งเจ้าเมือง เป็นผู้ดูแลแทนกิจในกองทัพ อีกทั้งยังมีพระราชโองการให้ท่านพ่อ น้องชายและท่านแม่ของนายน้อยโยกย้ายออกจากเมืองซูหนาน ท่านเองก็ทราบอยู่แก่ใจแล้วมิใช่หรือ ว่านี่หมายความเช่นไร” เจียงหลีอยากจะทดสอบบุรุษผู้นี้ดู แต่ก็ไม่สะทกสะเทือนเลยแม้แต่น้อย ยังคงยืนหล่อเหลาราวรูปปั้น
เจียงหลีแอบเบ้ปาก ก่อนจะพูดต่อ “ท่านพ่อของนายน้อยได้รับคำสั่งให้ปกป้องปักหลักอยู่ที่ตงฝาง เขตทางทิศตะวันออก คนของนายน้อยล้วนอยู่เหนือผู้คน ทั้งบุ๋นและบู๊ ว่ากันว่า คนในตระกูลลู่รุ่นนี้ ผู้ที่มีความสามารถโดนเด่นกลับต้องอยู่ในเมืองหลวง แม้กระทั่งท่านแม่ของนายน้อยก็เช่นกัน เพื่ออะไรกันเล่า ก็เพื่อเป็นตัวประกัน แสดงว่าฮ่องเต้ได้เกิดความสงสัย หวาดระแวงการดำรงอยู่ของตระกูลลู่ ดังนั้นจึงได้วางแผนทั้งหมดเพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวของตระกูลลู่ ให้ภักดีได้อย่างสุดจิตสุดใจ ถึงขั้นโยนหินถามทาง อยากทดสอบว่าตระกูลลู่จะทนได้เท่าใด”
ในห้อง ยังคงเงียบกริบ
เจียงหลีรับรู้ถึงสายตาที่เหยียดหยามดูถูกจากผู้อารักขาซ้ายขวา
แต่นางก็ไม่สน สายตาจับจ้องไปยังผู้ที่นั่งอยู่เบื้องบน เอ่ยขึ้นช้าๆ “ทว่า ตระกูลลู่ไม่ได้ตระหนักถึงความหวาดระแวงจากฮ่องเต้ ดังนั้นจึงให้ลูกคนโตที่ร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถที่จะฝึกฝนได้ นอกจากใบหน้าแล้วไม่ไม่อะไรดีสักอย่าง ได้สืบทอดตำแหน่งนายน้อย…”
“บังอาจ!” คำพูดเจียงหลีที่ดูแคลนลู่เจี้ย ทำผู้อารักขาของเขาตวาดขึ้นมา
ทันใดนั้น เจียงหลีสัมผัสถึงรัศมีอำมหิตที่แผ่มาทางนาง
“ลู่หวา” ลู่เจี้ยพูดอย่างไม่ใส่ใจ
รัศมีอำมหิตรอบทิศหายไปในพริบตาเดียว
“พูดต่อสิ”
เจียงหลีเข้าใจ คำนี้เขาพูดให้นางฟัง นางแอบกำมือแน่นเพื่อให้กำลังใจตัวเอง “แน่นอน นายน้อยลู่เป็นบุตรชายคนโต การที่จะสืบทอดตำแหน่งนี้มันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าน้องชายท่านมีพรสวรรค์อันล้ำเลิศ ก่อนที่ตำแหน่งนายน้อยยังไม่ถูแต่งตั้ง เล่ากันว่าตำแหน่งนี้ควรจะเป็นของน้องชายท่าน แต่การแต่งตั้งนายน้อยนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แก่ฝ่าบาทแล้วว่าตระกูลลู่มีความจงรักภักดี ไม่มีเจตนาต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ ก้มหัวให้กับอำนาจฝ่าบาท น่าเสียดาย โอรสสวรรค์ยังคงไม่ไว้ใจตระกูลลู่อยู่ดี เหมือนก้างปลาที่ติดคอ หากสบโอกาสก็จะลงมือจัดการตระกูลลู่ทันที หลังจากนี้ โฮ่วจิ้นจะไม่มีตระกูลลู่อีกต่อไป” เมื่อเจียงหลีพูดจบ ราวกับว่าอุณหภูมิรอบตัวนางลดลงทันที แม้แต่ผู้อารักขาเองก็จ้องมองด้วยสายตาที่แหลมคม
เงียบ นี่มันเงียบเกินไปแล้วนะ อย่างน้อยก็ช่วยมีปฏิกิริยาหน่อยสิ เจียงหลีครุ่นคิดอยู่ในใจ หัวใจเต้นถี่ขึ้น
ลู่เจี้ยไม่ตอบ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง แล้วจะให้ข้าแสดงคุณค่าในตัวได้อย่างไร
เวลาผ่านไปนานพอสมควร ในที่สุดลู่เจี้ยก็พูดขึ้นมา “คำพูดเหล่านี้ เจียงหลินเฟิงพูดเอง หรือว่าเจ้าคิดได้เอง”
มาแล้ว!
เจียงหลียืดอกขึ้นพูดอย่างมั่นใจ “แน่นอนต้องเป็นข้าอยู่แล้ว!”
“งั้นรึ” คำนี้ของลู่เจี้ย เหมือนจะมีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่
เจียงหลีพูดเสริม “ข้ามีพรสวรรค์ในการจดจำ ข้ามีความทรงจำเป็นเลิศ ท่านพ่อปลูกฝังข้ามาอย่างดี แถมช่วยงานจัดเก็บเอกสารต่างๆ ดังนั้นไม่แปลกที่ข้าจะเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ โดยเฉพาะเรื่องของตระกูลลู่นี้เป็นที่รู้กันแค่วงใน ทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ เพียงแต่ฮ่องเต้ไม่พูด ทุกคนจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ แต่ท่านพ่อข้าโดนใส่ร้ายกล่าวหา จนทำให้ตระกูลเจียงพินาศ ข้าผู้เป็นบุตรสาวของเจียงหลินเฟิง ต้องคืนความบริสุทธิ์ให้พ่อข้า เช่นนั้น พวกเรามาร่วมมือกันดีไหม”
“ร่วมมือ” ลู่เจี้ยยิ้ม
ทันใดนั้น ในห้องราวกับมีดอกไม้นับร้อยเบิกบาน ทำให้ผู้คนหลงใหล
ช่างเย้ายวนยิ่งนัก เจียงหลีกัดปลายลิ้นของตนเพื่อดึงสติกลับมา
“เจ้าประเมินตัวเองสูงไปหรือเปล่า” คำพูดหยอกล้อของลู่เจี้ย กลับทำให้เจียงหลีตะลึง
นางหรี่สายตาลงเล็กน้อย “เช่นนั้น ท่านนำข้ามาจากสนามประลองเพื่อเหตุอันใดกัน”
ลู่เจี้ยลุกขึ้นยืน
ทันทีที่ลุกขึ้น หมอเทวดาอาวุโสโค้งคำนับก่อนจะถอยจากไป เจียงหลีสังเกตเห็นว่าพวกผู้อารักขายืนตระหง่าน สายตาบ่งบอกถึงความเลื่อมใสศรัทธาและความภาคภูมิใจ
พวกเขายำเกรงคนป่วยคนนี้จริงหรือเพราะเขาเป็นนายน้อยของตระกูลลู่ ไม่เพียงแต่ให้ฮ่องเต้ไว้วางใจ แต่ยังมีเงื่อนงำบางอย่างอยู่ เจียงหลีกะพริบตาพลางคิดในใจ
แม้ว่าจะเพิ่งเข้าสู่โลกนี้เป็นครั้งแรก แต่ก็เรียนรู้จากร่างเดิมว่านี่เป็นโลกที่ผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ แล้วนายน้อยลู่มีโรคเยี่ยงนี้จะมีพละกำลังอะไรเล่า ในสายตาผู้คนก็มีไว้อวดอย่างเดียงมิใช่หรือ
แต่ดูจากสิ่งที่ผู้อารักขาปฏิบัติต่อลู่เจี้ย ถ้าบอกว่าเพราะพวกเขาหลงใหล เจียงหลีไม่เชื่อเด็ดขาด
เมื่อลู่เจี้ยเดินลงมาทีละขั้น ผ้าสีม่วงอ่อนลากติดกับพื้น เขาเดินมาหยุดตรงหน้าเจียงหลี ร่างสูงจ้องดวงตาที่สวยดั่งอัญมณีของนา ในดวงตาคล้ายมีหมอกบังไว้ มองได้ไม่ชัดนัก
เขาพูดขึ้นว่า “ที่พาเจ้ามา เพียงเพื่อจะให้เจ้ามาเป็นทหารหน่วยกล้าตายของข้า แต่ดูท่าทางแล้วนอกจากความเ**้ยม เจ้ายังมีความฉลาดอีกเล็กน้อย”
เจียงหลีหดตาลงอย่างตกตะลึง เข้าใจทันที นี่แม่โดนปั่นหัวงั้นหรือ!