ลู่จิ้นยวนฟังเธอพูดจบ รู้สึกโมโหในใจ แต่ที่มากไปกว่านั้นคือความโศกเศร้า
ดูท่าแล้ว ความสุขความโกรธความเสียใจและความดีใจไม่สามารถแบ่งปันระหว่างคนได้ คือความจริง
สำหรับผู้หญิงอีกคนนึงสามารถพูดได้ว่าเป็นการทำร้ายถึงชีวิต แต่ในสายตาเย่หวานจิ้ง ก็เป็นแค่เรื่อง “เล็ก” ที่สามารถใช้เงินจัดการได้
“แม่ครับ บางทีพวกเราจำเป็นต้องไตร่ตรองตัวเองสักหน่อย ก่อนที่คุณแม่จะไล่คุณหนูเฉิ่นคนนั้นออกจากคฤหาสน์ตระกูลลู่ ผมจะไม่พาอันหรานกลับไปอีก”
พูดจบ ลู่จิ้นยวนก็วางสายโทรศัพท์
เพราะว่าถึงเย่หวานจิ้งจะทำยังไง เธอก็คือคุณแม่ของเขา เขาใช้วิธีรุนแรงกับเธอไม่ได้ ดังนั้นจึงสามารถต่อต้านได้ด้วยวิธีนี้เท่านั้น
อย่างน้อย เขาก็ไม่มีทางให้ผู้หญิงที่ไม่รู้จักที่มาที่ไปพบกับอันหราน
“หัวรั้น!”
เย่หวานจิ้งฟังน้ำเสียงที่วุ่นวายของโทรศัพท์ โมโหจนแทบอยากจะขว้างโทรศัพท์ทิ้ง
เธอทำขนาดนี้ ก็เพื่อใครหละ?
ไม่ใช่เป็นเพราะลู่จิ้นยวนสองพ่อลูก แล้วก็ตระกูลลู่
“คุณป้าคะ ใจเย็น ๆ ค่ะ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าหนูทำให้เขาไม่ชอบพอ ถึงได้…ไม่อย่างงั้น…”
เฉิ่นหรูเย่ว์ที่อยู่ด้านข้างเมื่อครู่ ได้ยินคำพูดของลู่จิ้นยวนโดยคร่าว ๆ ในใจก็รู้สึกหมดหวังไปครึ่งหนึ่ง
เธอก็หยิ่งหยอง หลังจากที่ถูกลู่จิ้นยวนรังเกียจขนาดนี้ ก็อยากจะสะบัดหน้าเดินออกไปทันที แต่ว่าเธออดกลั้นไว้
เพราะว่าเธอรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์เอาแต่ใจแบบนั้น
ถ้าหากไม่สามารถทำให้ตระกูลลู่ลงทุนให้กับตระกูลเฉิ่น งั้นเธอก็ต้องแต่งงานกับตาเฒ่าอายุหกสิบคนนั้น…
“ไม่จำเป็น หนูอยู่ที่นี่ ป้ากับคุณปู่ของเขาอยู่ที่คฤหาสน์เก่า ป้าไม่เชื่อว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีฝีมืออะไรขนาดนั้น ทำให้พวกเขาพ่อลูกชาตินี้ไม่กลับมาดูสักครั้ง!”
เย่หวานจิ้งก็โมโห เด็ดขาด ให้เฉิ่นหรูเย่ว์อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนตัวเอง
เห็นดังนี้ เฉิ่นหรูเย่ว์โล่งใจ
เพียงแค่สามารถอยู่ที่นี่ได้ ก็มีโอกาส
…
หลังจากที่เวินหนิงกลับมาที่ห้อง ลู่อันหรานมองเธออย่างเป็นกังวล “คุณแม่ครับ คุณแม่ทะเลาะกับคุณพ่อเหรอครับ?”
เวินหนิงส่ายหน้า “ไม่ใช่จ้ะ แค่คุยกันเฉย ๆ”
ลู่อันหรานมองเธออย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดูท่าทางของเวินหนิง ไม่เหมือนกับคนไม่มีอะไร
เพียงแต่เธอไม่ยินยอมที่จะพูด ลู่อันหรานก็หมดหนทาง ทำได้เพียงร้อนใจ
เวินหนิงรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย จึงเดินเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ น้ำเย็นถูกหน้า ทำให้ความคิดที่วุ่นวายของเธอมีสติขึ้นครู่หนึ่ง
ในตอนนี้เอง โทรศัพท์มือถือของเวินหนิงดังขึ้น มองหน้าจอเป็นเบอร์โทรที่ไม่รู้จัก
เวินหนิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รับสาย
“สวัสดีค่ะ ใช่คุณเวินหนิงไหมคะ?
ฉันชื่อซ่งรั่วอวิ้น เป็นผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทหยงกรุ๊ป และก็คือพี่สาวขของหยงซือเหม่ย” น้ำเสียงกลับสงบมาก
เพราะว่าหยงซือเหม่ยโมโหลู่จิ้นยวน เธอกลับมาโมโหเป็นอย่างมาก จึงระบายอารมณ์กับซ่งรั่วอวิ้น เธอเกลี้ยกล่อมหยงซือเหม่ย แต่กลับถูกเธอตบหน้าเข้า
“เธอเห็นว่าฉันถูกปฏิเสธ มีความสุขในใจใช่ไหม?
ใช้ให้เธอไปหาเวินหนิงคนนั้น ให้เวินหนิงไม่ยอมเผชิญหน้ากับความลำบาก ทำไมเธอถึงไม่ไป?
ตระกูลหยงเลี้ยงเธอเสียเปล่าจริง ๆ”
คำพูดของหยงซือเหม่ยดังก้องขึ้น ซ่งรั่วอวิ้นดวงตามืดมิด
“อ่อค่ะ มีเรื่องอะไรคะ?”
เวินหนิงหยิบผ้าขนหนูเช็ดน้ำออกจากใบหน้าของเธอ มาหาตัวเองต้องมีจุดประสงค์แน่ ๆ
“คืออย่างงี้ค่ะ มีเรื่องที่อยากจะทราบนิดหน่อย คุณสะดวกออกมาเจอกับฉันไหมคะ?”
เวินหนิงครุ่นคิด เธออยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตระกูลหยงจริง ๆ ในเมื่อพวกเขาอาจจะเป็นครอบครัวที่แท้จริงของตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ เวินหนิงไม่ได้ปฏิเสธ แต่กลับพยักหน้า “ตกลงค่ะ คุณเลือกเวลา ฉันจะไป”
ซ่งรั่วอวิ้นคิดไม่ถึงว่าเวินหนิงจะตอบรับรวดเร็วขนาดนี้ “งั้นคืนนี้ ฉันเลี้ยงอาหารคุณที่ร้านอาหาร story ตรงทิศตะวันตกของเมือง”
เวินหนิงตอบรับ แล้ววางสายโทรศัพท์
ครุ่นคิดอยู่สักพัก เรื่องนี้เธอไม่อยากให้ลู่อันหรานรับรู้ จึงบอกให้เขาไปหาลู่จิ้นยวน
ลู่อันหรานโทรศัพท์หาลู่จิ้นยวนอย่างเชื่อฟัง
ลู่จิ้นยวนได้ยินว่าเวินหนิงจะทิ้งเขาเอาไว้ แล้วตัวเองออกไปข้างนอก ก็จับสังเกตุขึ้นมาได้ในทันที
ไม่ใช่ว่าจะออกไปเหอจื่ออันหรอกนะ?
“อันหราน ลูกบอกแม่ว่าจะไปหาเหอจื่ออันคนนั้น”
ลู่จิ้นยวนใช้ให้ลูกชายของตัวเองออกหน้าลองเชิงสถานการณ์ในทันที
ลู่อันหรานก็เข้าใจความหมายของเขาได้โดยเร็ว “คุณแม่ครับ ผมอยากไปหาคุณอาเหอ”
เวินหนิงกำลังแต่งหน้าอยู่ เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย
“หืม?
ลูกมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณอาเหอของลูกตั้งแต่เมื่อไหร่จ้ะ?”
“หึหึ ยังไงซะ เขาก็ซื้อของเล่นให้ผมไม่น้อยนี่ครับ…”
ในใจของลู่อันหรานกำลังพูดว่า เขาไม่มีทางญาติดีกับจิ้งจอกแก่ตัวนั้นหรอก แต่เพื่อคุณพ่อของตัวเองเขายอมที่จะกล้ำกลืนความอัปยศอดสูเท่านั้นแหละ
“งั้นลูกไปเถอะ ตอนนี้เขาน่าจะยังว่างอยู่ ลูกไปหาเขา ต้องเชื่อฟังหน่อยนะ อย่าไปทำเรื่องวุ่นวายให้เขา เข้าใจไหมจ้ะ?”
เวินหนิงคิดว่าในเมื่อลู่อันหรานยินยอม งั้นก็ไม่จำเป็นต้องห้ามปราม จึงตกลง
ก่อนที่จะออกไป เธอพาลู่อันหรานไปหาเหอจื่ออัน “จื่ออัน ฉันมีธุระออกไปข้างนอก นายช่วยฉันดูแลอันหรานหน่อย ได้ไหม?”
คำขอร้องของเวินหนิง เหอจื่ออันไม่มีทางปฏิเสธ แต่ว่าเมื่อเขาเห็นการแต่งตัวของเวินหนิง “เธอจะไปไหน?
ต้องการคนไปเป็นเพื่อนไหม?”
เวินหนิงยิ้ม แล้วส่ายหน้า “ฉันไม่ใช่เด็กห้าขวบสักหน่อย ที่ออกไปข้างนอกก็ต้องมีคนไปเป็นเพื่อน วางใจเถอะ ฉันจะกลับมาโดยเร็ว”
พูดจบ เธอก็โบกมือลาเหอจื่ออันกับลู่อันหราน แล้วเดินออกไป
เหอจื่ออันมองดูลู่อันหราน เขาไม่มีทางเชื่อว่าเด็กผีนี่จะเป็นฝ่ายอยากมาหาตัวเอง
แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิด เมื่อเวินหนิงออกไป ลู่อันหรานก็ดึงมือที่อยู่ในมือของเหอจื่ออันออก แล้วแลบลิ้นใส่เขา “ผมจะไปหาคุณพ่อของผมแล้ว”
เหอจื่ออันท่าทางไม่แน่ใจ ได้ยินเขาพูดแบบนี้ แสดงว่าลู่จิ้นยวนก็ไม่ได้ออกไปข้างนอกกับเวินหนิงเหรอ?
งั้นบางทีก็ถือว่าไม่เลวร้าย
“ไม่ได้ แม่ของนายฝากฝังนายไว้กับฉัน ถ้าหากนายจะไปหาเขา งั้นฉันก็ไปด้วย”
เหอจื่ออันกังวลว่าลู่จิ้นยวนจะพาลู่อันหรานวิ่งแล่นไปหาเวินหนิงอีก ถึงแม้เขาจะไม่อยากเห็นหน้าเทือกเขาน้ำแข็งของลู่จิ้นยวน แต่ก็จับลู่อันหรานไว้ ไม่ให้เขาไป
“อะไรนะ?”
ลู่อันหรานพูดไม่ออกในทันที เขาดิ้นรนอยู่สักพัก แต่ก็ไม่สามารถหลุดออกจากมือเหอจื่ออันได้ “ปล่อยผมลงนะ ผมจะไปหาคุณพ่อของผม”
ลู่อันหรานไม่รักษาภาพพจน์ ร้องเรียกออกมา
“คุณชายเหอจะทำอะไรลูกชายผม?”
ลู่จิ้นยวนได้ยินเสียงจึงเดินออกมา เห็นเหอจื่ออันจับลู่อันหรานไว้ไม่ปล่อย จึงเอ่ยปากขึ้นทันที
“ไม่มีอะไร เพียงแต่ อันหรานไม่ค่อยเชื่อฟัง หนิงหนิงให้ฉันดูแลเขา ฉันก็ต้องดูแลเขาให้ดีถูกไหม?”
เหอจื่ออันไม่ตกหลุมพลางของลู่จิ้นยวน น้ำเสียงเฉยชา ไม่ได้คำนึงถึงน้ำเสียงข่มขู่ของเขาสักนิด
ลู่จิ้นยวนหรี่ตามอง ถ้าหากให้เขาหาคนที่เขารังเกียจมากที่สุดบนโลก แน่นอนว่าต้องเป็นเหอจื่ออันไม่ผิดแน่
โดยเฉพาะทุกครั้งที่เขาเห็นเหอจื่ออัน ก็สามารถเห็นบางอย่างที่คล้ายกับตัวเองในตัวของเขา นั่นเป็นรอยแผลที่คุณพ่อที่ไม่มีความรับผิดชอบคนนั้นทิ้งเอาไว้ นี่จึงทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ