เวินหนิงโมโหจนเกือบจะพูดไม่ออก
“ก่อนอื่น เหอจื่ออันไม่มีความแค้นกับนาย เมื่อก่อนตอนที่นายไม่สนใจฉัน เป็นเขาที่ช่วยฉันออกมาจากในมือของแม่นาย ไม่อย่างงั้นตอนนี้ฉันคงตายไปแล้ว หรือไม่ฉันก็คงหมดสิทธ์ในการเป็นแม่คนแล้ว”
“อีกอย่าง ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ฉันได้พูดกับนายชัดเจนแล้ว ระหว่างพวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก นายไม่จำเป็นต้องสนใจฉัน ส่วนฉันก็จะไม่สนใจว่านายจะแต่งงานกับคุณหนูตระกูลไหน”
ความโมโหของลู่จิ้นยวนหายไปในทันที เมื่อได้เห็นความเเจ็บปวดความแค้นในสายตาของเวินหนิง เหลือเพียงแต่ความสงสาร
เธอน้อยครั้งมากที่จะพูดถึงเรื่องในอดีต
ส่วนเรื่องการสูญเสียการกำเนิดทารก ลู่จิ้นยวนไม่เคยรู้มาก่อน
“ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สูญเสียการกำเนิดลูกหมายความว่ายังไง ตกลงว่าคุณแม่ทำอะไร?”
จู่ ๆ ลู่จิ้นยวนก็รู้สึกหงุดหงิดใจมาก เขารู้เพียงว่าเย่หวานจิ้งแย่งลูกไปจากเวินหนิง แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าคุณแม่เกือบจะสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้กับร่างกายของเธอ
“เรื่องในตอนนั้น ถ้าหากนายอยากรู้ นายก็ไปถามแม่ของนายสิ ฉันไม่อยากจะพูดอะไรมากเกินไป”
เวินหนิงไม่อยากนึกถึงภาพเมื่อก่อนอีก ไม่อย่างงั้น เธอเกรงว่าจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้
“พอแค่นี้แหละ”
มองดูเวินหนิงเดินออกไป ลู่จิ้นยวนกลับมีความรู้สึกว่าถ้าหากไม่คว้าเธอเอาไว้ เธอก็จะจากเขาไป
เขายื่นมือออกไปจับข้อมือของเธอไว้ แต่ครั้งนี้ลู่จิ้นยวนไม่กล้าออกแรง ราวกับกลัวว่าจะทำลายสมบัติล้ำค่าบางอย่าง
“ครั้งที่แล้วที่เธอเคยพูดกับฉัน ฉันจำได้ แต่ว่าฉันไม่มีทางยอมแพ้ เรื่องของคุณแม่ของฉัน ฉันจะไปถามเธอ ก่อนที่จะจัดการเรื่องให้จบสิ้น ฉันจะไม่รบกวนเธออีก แต่ว่าฉันก็ไม่มีทางมองดูอันหรานเรียกคนอื่นว่าพ่ออยู่เฉย ๆ
ก็เหมือนที่เธอไม่ยอมรับที่ฉันจะหาแม่เลี้ยงให้อันหราน ฉันก็ไม่ยอมรับเหมือนกันที่เธอจะหาพ่อเลี้ยงให้เขา โดยเฉพาะเหอจื่ออัน เป็นเขาไม่ได้แน่นอน”
คำพูดนี้ของลู่จิ้นยวน พูดอย่างจริงจังมาก
เวินหนิงมองดูสีหน้าของเขา จู่ ๆ ก็รู้สึกไม่เข้าใจ “เหอจื่ออัน ทำไมนายถึงมีอคติกับเขามากขนาดนี้?”
ความรู้สึกที่หกของผู้หญิงบอกเธอว่า เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เพราะว่าลู่จิ้นยวนหึงหวงเฉย ๆ แน่ เพราะท่าทางของเขาแปลกประหลาดเกินไป
“…”
ลู่จิ้นยวนจ้อมมองเธอ “ผู้ชายคนนั้น ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเหมือนอย่างที่เธอคิด”
เหอจื่ออันเป็นลูกนอกสมรสของคุณพ่อ พูดอย่างถูกต้องคือ พี่น้องพ่อเดียวกันคนละแม่ของเขา แต่ว่าเขาไม่มีความชอบต่อตระกูลลู่ หลายปีมานี้ เขาอยู่ที่ต่างประเทศคิดหาวิธีว่าจะทำลายตระกูลลู่ยังไง
การกระทำของเหอจื่ออันสร้างความเสียให้กับตระกูลลู่ไม่น้อย ลู่จิ้นยวนก็ปวดหัวมากกับเรื่องนี้
ดังนั้น เขามักรู้สึกว่า เหอจื่ออันตามจีบเวินหนิง มีความจริงใจอยู่ไม่กี่ส่วน
“ฉันคิดว่า นายกำลังคิดว่าคนอื่นก็เลวทรามเช่นเดียวกับตนเอง ถึงจะยังไง เขาก็ไม่เคยทำร้ายฉัน”
เวินหนิงดึงมือออกจากมือของลู่จิ้นยวน “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันไปก่อนนะ”
ลู่จิ้นยวนอยากจะตามไป แต่ว่าเมื่อคิดถึงคำพูดพวกนั้นของเธอ จึงหยุดฝีเท้าลง
บางที ในใจของเธอ ตัวเองก็คือคนที่นำความทุกข์ความยุ่งเหยิงมากมายมาให้เธอ
ก่อนที่จะจัดการกับเรื่องที่น่ารำคาญในบ้านพวกนั้น เขาจะไม่ไปรบกวนเธอ
ลู่จิ้นยวนก้มหน้าลง โทรศัพท์หาเย่หวานจิ้ง
เย่หวานจิ้งกำลังบำรุงตัวเองอยู่ที่บ้าน เฉิ่นหรูเย่ว์ที่อยู่ด้านข้างกำลังปรนนิบัติเธออย่างกระตือรือร้น ทำให้เธอพึงพอใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เวินหนิงคนนั้น เคยทำแบบนี้ซะที่ไหนกัน?สีหน้าเย่อหยิ่ง ราวกับตัวเองเป็นบุคคลสำคัญอะไรอย่างงั้น
เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เย่หวานจิ้งเหลือบมอง เป็นลู่จิ้นยวนที่โทรมา เธอก็ลุกขึ้นนั่งทันที
เฉิ่นหรูเย่ว์เห็น แต่เธอก็ไม่ได้เป็นฝ่ายพูด จึงนั่งอยู่เงียบ ๆ แบบนั้น รักษากิริยามารยาท
“ตอนนี้ฉันไม่สะดวกรับสายโทรศัพท์ เธอช่วยฉันรับเถอะ”
เย่หวานจิ้งเห็นเฉิ่นหรูเย่ว์รู้ความขนาดนี้ จึงให้โอกาสเธอ ให้เธอคุยกับลู่จิ้นยวน
“ทราบแล้วค่ะคุณป้า”
เฉิ่นหรูเย่ว์หยิบโทรศัพท์มาอย่างว่าง่าย แล้วกดปุ่มรับสาย “ฮัลโหลล คุณชายลู่ใช่ไหมคะ?
ตอนนี้คุณป้ากำลังบำรุงตัวเอง ไม่สะดวกรับสายค่ะ ไม่ทราบว่าคุณมีเรื่องอะไรไหมคะ?”
เฉิ่นหรูเย่ว์พูดเสียงเบา น้ำเสียงอ่อนโยน ถ้าหากเป็นคนธรรมดา ได้ฟังแล้วเกรงว่ากระดูกคงเปราะไปหมดแล้ว
ลู่จิ้นยวนได้ยินเสียงของผู้หญิงแปลกหน้า สีหน้าเคร่งขรึม “เธอเป็นใคร?”
ได้ยินน้ำเสียงของลู่จิ้นยวนไม่เป็นมิตร เฉิ่นหรูเย่ว์ก็ไม่ได้ท้อถอย “ฉันคือเฉิ่นหรูเย่ว์ มาอยู่เป็นเพื่อนคุณป้าค่ะ”
ลู่จิ้นยวนนึกขึ้นได้ทันทีว่าเย่หวานจิ้งหาผู้หญิงมาคนนึง มาดูแลลู่จิ้นอาน ดูท่าคงจะเป็นเธอแหละ
“ตระกูลลู่ไม่จำเป็นให้คุณทำงานที่นี่ คุณหนูเฉิ่นรีบกลับไปบ้านหาอะไรทำเถอะครับ”
เฉิ่นหรูเย่ว์หน้าแข็งทื่อ คิดไม่ถึงว่าลู่จิ้นยวนจะขับไล่เธออย่างไร้มารยาทแบบนี้
เห็นแบบนี้ เย่หวานจิ้งถอนหายใจ รับโทรศัพท์มือถือมา “จิ้นยวน ตอนนี้อันหรานถูกผู้หญิงคนนั้นรับตัวไปแล้ว แม่จะให้คนอยู่เป็นเพื่อนแม่สักคนไม่ได้เหรอ?”
แม้กระทั่งชื่อของเวินหนิง เย่หวานจิ้งก็ไม่ยินยอมที่จะเรียก แต่กลับใช้คำว่า “ผู้หญิงคนนั้น” แทนคำเรียกเธอ ลู่จิ้นยวนรู้สึกเหนื่อยใจ
เขาไม่เข้าใจ ว่าทำไมเย่หวานจิ้งถึงดื้อขนาดนี้ ถึงได้มีอคติกับเวินหนิงเยอะขนาดนี้
ทั้ง ๆ ที่เธอดีกว่าผู้หญิงหลาย ๆ คน เข้มแข็งกว่า แลก็ไม่ตุกติกมีเลศนัย เย่ว่านจิ้งแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อข้อดีเหล่านี้
“แม่ครับ ความคิดของคุณแม่ ผมที่เป็นลูกรู้ดี ผมคิดว่าคุณแม่ไปหาเพื่อนวัยเดียวกันสมัยก่อนก็ได้นะครับ”
“หรือว่าฉันอยู่ที่คฤหาสน์นี้ ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะบอกว่าใครควรไปหรืออยู่เหรอ?”
ถูกลู่จิ้นยวนเกลี้ยกล่อม เย่หวานจิ้งไม่เพียงไม่ฟัง แต่กลับปฏิเสธปากแข็ง
“แม่ครับ ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณแม่ ตอนนั้นเวินหนิงเกือบจะเสียสิทธิ์ในการคลอดบุตร มันเรื่องอะไรกันแน่?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เย่หวานจิ้งสีหน้าเปลี่ยน
แน่นอนว่าเธอไม่มีทางลืมภาพในตอนนั้น ในเมื่อตอนนั้นเลือดเยอะแยะขนาดนั้น ภาพที่น่ากลัวขนาดนั้น ชาตินี้เธอไม่มีทางลืม
แต่ทำไมจู่ ๆ ลู่จิ้นยวนถึงถามคำถามแบบนี้กับเธอ
คิดไปคิดมา ความเป็นไปได้ก็คือเวินหนิงฟ้องลู่จิ้นยวน
“เวินหนิงฟ้องลูกเหรอ?
เรื่องผ่านมานานขนาดนี้แล้ว เธอยังเอาออกมาพูดอีก?”
“คุณแม่แค่บอกผมมา ว่าใช่เรื่องจริงหรือไม่?”
ลู่จิ้นยวนได้ยินคำพูดเหล่านั้นของเย่หวานจิ้ง ในใจซับซ้อนจนบอกไม่ได้
เขาไม่อยากให้คุณแม่ของตัวเองเป็นคนเลือดเย็นไร้ความรู้สึก แต่ท่าทางของเธอเห็นได้ชัด ว่าเธอไม่สนใจความเป็นความตายของคนอื่นจริง ๆ ผู้หญิงคนนึงไม่สามรถมีบุตรได้เรื่องที่ใหญ่โตขนาดนี้ เธอไม่เคยคิดไตร่ตรองมาก่อน
“ใช่ แต่นั่นเป็นเพราะอุบัติเหตุ ฉันไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย ตอนนี้เธอก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ?
ตอนนั้นฉันให้เงินเธอไปก้อนนึง ถึงแม้เธอจะไม่สามารถมีลูกได้ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบาย เธอจะเอายังไงกันแน่?”