ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) – ตอนที่ 188 ฐานของดราก้อนพาวิลเลี่ยนในเมืองหลวง

บทที่ 188
ฐานของดราก้อนพาวิลเลี่ยนในเมืองหลวง

“ทำไมเธอถึงมองฉันแบบนั้นล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“ไม่มีอะไร ฉันแค่รู้สึกเสียใจแทนเธอ!” น้องห้ายังคงเคี้ยวผลไม้ต่อไปและพูดออกมาโดยไม่มีความสำรวมเลย

“เสียใจงั้นเหรอ?!! ฉันโชคดีมากกว่าคนอื่นๆตั้งเยอะนะ…นี่เป็นอีกครั้งที่ฉันจะได้ใช้ชีวิตทั้งหมดใหม่อีกครั้ง…”

“…”
ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเย็นวันก่อน แม้ทุกคนจะเรียนอยู่ในชั้นเดียวกันแต่มู่หรงเสวี่ยก็หาโอกาสที่จะอยู่ตามลำพังกับ ฮวงเสี่ยวเฟ่ยไม่ได้เลย ซึ่งน่าจะพูดได้ว่าฮวงเสี่ยวเฟ่ยพยายามที่จะหลบหน้าเธอ

เสี่ยวเฟ่ยยังคงแต่งตัวสวยและไปเรียนทุกวัน มู่หรงเสวี่ยสังเกตเห็นว่าฮวงเสี่ยวเฟ่ยมักจะเอาเครื่องประดับชิ้นเล็กๆไปฝากทุกคนด้วยเสมอ ดังนั้นพวกเด็กสาวจึงชอบที่จะวิ่งไปหา ฮวงเสี่ยวเฟ่ยทุกวัน พวกหนุ่มๆก็จะเพียงแค่มองด้วยความอิจฉาดังนั้นฉากเดิมๆก็จะเกิดขึ้นที่ชั้นเรียนทุกวัน

แต่มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเป็นห่วงมากจริงๆ เสี่ยวเฟ่ยเอาของขวัญมาให้ทุกวัน ของที่เธอให้ก็ไม่ใช่ของขวัญธรรมดาๆด้วย เธอไปเอาเงินมาจากไหนกัน?! ดูเหมือนว่าเสี่ยวเฟ่ยจะไม่ได้ฟังเธอเลยสักนิด นี่เธอยังทำงานแบบนั้นอยู่อีกเหรอ?!!

เธอขมวดคิ้วแล้วมองไปทางฮวงเสี่ยวเฟ่ยที่ยังคงยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ที่โต๊ะ เธอดูเหมือนจะมีความสุขมากจริงๆ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข ก่อนหน้านี้ฮวงเสี่ยวเฟ่ยเป็นคนดีจริงหรือเปล่า?! ฮวงเสี่ยวเฟ่ยคนเก่า…ในตอนนี้ มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะถามกับตัวเอง

วินาทีต่อมามู่หรงเสวี่ยก็เคาะเข้าที่หัวตัวเอง มันเป็นเรื่องจริงแต่ไม่ว่าตอนนี้ฮวงเสี่ยวเฟ่ยจะดูดีแค่ไหน เมื่อบางอย่างถูกเปิดเผยแล้ว มันก็ไม่ได้แก้ไขกันได้ง่ายๆโดยการบอกว่าเข้าใจผิด อีกอย่างการใช้ร่างกายแลกกับเงินก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องด้วย แล้วเธอจะสับสนเพราะรอยยิ้มหวานๆบนหน้าของเธอได้ยังไง
เพียงแค่ว่าท่าทางของฮวงเสี่ยวเฟ่ยค่อนข้างที่จะรับมือด้วยยากสักหน่อย เมื่อเธอนึกถึงหลิวฮัวลี่ มู่หรงเสวี่ยก็รีบปฏิเสธทันที เธอจะปล่อยให้รุ่นพี่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง

จนกระทั่งเลิกเรียน มู่หรงเสวี่ยก็เห็นว่าฮวงเสี่ยวเฟ่ยกำลังที่จะเดินออกไปพร้อมเพื่อนร่วมชั้น มู่หรงเสวี่รีบตะโกนเรียกออกไปทันที “เสี่ยวเฟ่ย รอเดี๋ยว…”

เธอเห็นฮวงเสี่ยวเฟ่ยหยุดเล็กน้อย แล้วก็หันหัวมาพูดพร้อมรอยยิ้ม “ขอโทษนะเสี่ยวเสวี่ย ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาเลย…”

“ถ้าเป็นแบบนั้นงั้นฉันจะไปหาหลิวฮัวลี่ เธอคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างเย็นชา เธอรู้ว่าเสี่ยวเฟ่ยพยายามหลบหน้าเธอแต่เธอจะไม่ปล่อยให้เธอลอยหน้าไปได้

ฮวงเสี่ยวเฟ่ยตัวแข็ง แล้วก็หันไปพูดกับเพื่อนๆที่อยู่ข้างๆเธอ “ขอโทษนะ วันนี้ฉันคงไปด้วยไม่ได้แล้ว…”

“เสี่ยวเฟ่ย เธอนี่สุภาพจริงๆเลย ไม่เป็นไรหรอก!”
“ใช่แล้ว ถ้าเธอมีธุระก็ไม่ต้องห่วงฉันหรอก เรา…”
“งั้นขอบคุณมากนะ!” ฮวงเสี่ยวเฟ่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม
คนในห้องเรียนเริ่มที่จะเดินออกกันไปเรื่อยๆ เหลือไว้เพียงมู่หรงเสวี่ยและฮวงเสี่ยวเฟ่ย

“มีอะไรเหรอ?! คุณมู่หรง” ฮวงเสี่ยวเฟ่ยทิ้งท่าทางอันอบอุ่นลงจนหมด ตอนนี้เธอเผยเขี้ยวเล็บและพูดออกมาอย่างเย็นชา

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว “เสี่ยวเฟ่ย จำเป็นต้องพูดแบบนี้ด้วยเหรอ?!!”

ฮวงเสี่ยวเฟ่ยแสยะยิ้ม “ทำไม? เธอจะร้องขอความเมตตาไหมล่ะ?!! ฉันไม่ใช่หมาของเธอนะ…”

“ฮวงเสี่ยวเฟ่ย!!! นี่เราไม่ใช่เพื่อนกันใช่ไหม?”
เสียงของฮวงเสี่ยวเฟ่ยเข้มขึ้น “เพื่อนงั้นเหรอ?! ฉันจะกล้าเสนอหน้าขึ้นไปได้ยังไง?” เธอมีทั้งสถานะที่สูงศักดิ์, เงินและรูปร่างหน้าตา แต่เธอไม่มีอะไรเลย เมื่อยืนอยู่ข้างมู่หรงเสวี่ย เธอรู้สึกด้อยค่าอยู่ตลอด

“เสี่ยวเฟ่ย ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ ฉันเห็นเธอเป็นเพื่อนจริงๆ เรานั่งลงคุยกันหน่อยได้ไหม?” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างอดทนต่อไป

“คุยเรื่องอะไร?! เธอจะมาพูดกับฉันเรื่องคืนนั้นอีกหรือไง?!! ทำไมเธอต้องมาพูดกับฉัน อยากจะใช้ความสูงส่งของเธอมาพูดเพราะสงสารฉันงั้นเหรอ?!! รู้อะไรไหม? เธอไม่มีคุณสมบัติที่จะมาพูดเรื่องนี้กับฉัน ฉันไม่เคยมองเธอเป็นเพื่อนเลย! ต่อไปก็ไม่ต้องมาเป็นห่วงฉันอีก” ฮวงเสี่ยวเฟ่ยพูดแล้วกำลังจะเดินออกไปนอกประตู

มู่หรงเสวี่ยรีบจับแขนเธอไว้ “อย่าไป!”
“เธอไม่โกรธที่ฉันพูดแบบนั้นหรือไง?! ไม่ต้องมาห่วงฉัน…” ฮวงเสี่ยวเฟ่ยหันกลับมาและพยายามที่จะสะบัดมือ มู่หรงเสวี่ยออก

มู่หรงเสวี่ยจับไว้แน่น มันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคำพูดของ ฮวงเสี่ยวเฟ่ยทำให้เธอเสียใจแต่เธอเชื่อเสมอว่าฮวงเสี่ยวเฟ่ยไม่ใช่คนแบบนั้น
“ฉันแค่อยากจะดูแล ถ้าเธอไม่หยุดการกระทำแบบนั้นซะ ฉันจะบอกหลิวฮัวลี่!” หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็เดินออกไปทันทีโดยไม่สนใจปฏิกิริยาของฮวงเสี่ยวเฟ่ย

เดิมทีเธออยากที่จะคุยกับฮวงเสี่ยวเฟ่ยและพูดโน้มน้าวเธอดีๆ เดาว่าเธอก็คงจะเกลียดเธอที่ไปขู่เธอแบบนั้น อย่างไรก็ตามตราบใดเธอดึงเธอออกมาจากปักโคลนนั้นได้ เธอก็จะไม่เสียใจที่ต้องสูญเสียความเป็นเพื่อนในครั้งนี้

“มู่หรงเสวี่ย เธอหมายความว่าไง ฉันยืนอยู่นี่ไง!” ฮวงเสี่ยวเฟ่ยวิ่งตามเธอมา คำพูดของมู่หรงเสวี่ยเมื่อกี้ทำให้เธอรู้สึกกลัวอย่างมาก เธอจะเสียอะไรไปก็ได้ จะเสียมู่หรงเสวี่ยไปก็ได้เธอไม่สนใจหรอก แต่กับหลิวฮัวลี่ไม่ได้ สิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ตอนนี้ก็เพื่อประโยชน์ของรุ่นพี่เอง เพื่อที่เขาจะได้มองมาที่เธอคนเดียวและได้เป็นคนที่คู่ควรที่จะอยู่ข้างเขาในสายตาของคนอื่น

มู่หรงเสวี่ยหยุด หันกลับไปและพูดอย่างเย็นชา “ฉันก็หมายความตามที่พูด ถ้าฉันรู้ว่าเธอยังทำงานแบบนั้นอยู่ ฉันก็จะบอกหลิวฮัวลี่ ฉันจะทำตามที่ตัวเองได้พูดไว้!” หลังจากที่พูดจบเธอก็ไม่สนใจสีหน้าที่ซีดเผือดของฮวงเสี่ยวเฟ่ยและเดินจากไป…เธอกลัวว่าถ้าเธอยืนอยู่นานกว่านั้นเธอจะอดไม่ได้และใจอ่อนขึ้นมาได้

ฮวงเสี่ยวเฟ่ยยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าของเธอซีดเผือด มู่หรงเสวี่ย! เธอทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไงกัน

สองสามวันต่อมา มู่หรงเสวี่ยไม่ได้ตามหาฮวงเสี่ยวเฟ่ยแต่ก็ยังสนใจท่าทีของฮวงเสี่ยวเฟ่ยอยู่ ช่วงนี้ถึงแม้ชุดของ ฮวงเสี่ยวเฟ่ยจะยังหรูหราอยู่แต่เธอก็ไม่ได้เปลี่ยนทุกวันและของขวัญก็ดูเหมือนจะไม่มีแล้วด้วย ผู้คนที่อยู่รอบๆฮวงเสี่ยวเฟ่ยก็ค่อยๆเริ่มที่จะจางลงแต่ก็ยังเหลือเพื่อนดีๆอยู่บ้าง เธอเห็นรอยยิ้มที่ไม่ค่อยจะเป็นธรรมชาติบนใบหน้าของฮวงเสี่ยวเฟ่ยได้

มู่หรงเสวี่ยเองก็สับสน ยังไงซะเธอก็เป็นคนที่ข่มขู่เธอแต่เพื่อนที่ได้มาจากการให้ของขวัญไม่ใช่เพื่อนแท้และรูปร่างภายนอกที่ได้มาด้วยเงินก็ไม่ถาวร

ตอนที่ฮวงเสี่ยวเฟ่ยบังเอิญหันมาเห็นมู่หรงเสวี่ย เธอก็ซ่อนความรังเกียจไว้ไม่ได้ มู่หรงเสวี่ยเองก็ยิ้มให้แบบขืนๆซึ่งน่าเกลียดสุดๆ
โชคดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างฮวงเสี่ยวเฟ่ยและหลิวฮัวลี่ดูเหมือนจะยังราบรื่นอยู่ เธอยังเห็นพวกเขายิ้มด้วยกันเวลาอยู่ในมหาลัยเสมอๆซึ่งทำให้มู่หรงเสวี่ยสบายใจได้ขึ้นมาหน่อย

“ฮัลโหลน้องหก เธอกำลังมองอะไรอยู่?! เธอไม่ตอบเรื่องที่ฉันกำลังพูดเลยนะ…” พี่ใหญ่โบกมือตรงหน้ามู่หรงเสวี่ย

“ขอโทษที เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ?” มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่างขอโทษ

พี่ใหญ่มองตามสายตาของมู่หรงเสวี่ยไปเห็น ฮวงเสี่ยวเฟ่ยแล้วก็ขมวดคิ้ว “ในเมื่อเขาไม่มองเธอเป็นเพื่อน แล้วเธอจะไปสนใจทำไม?!”

“ในการฝึกทหาร ตอนที่ทุกคนกำลังห่วงแต่เรื่องของตัวเอง มีเพียงเธอที่เข้ามาถามฉันอย่างอ่อนโยนว่าฉันต้องการให้ช่วยไหม…ฉันทิ้งเธอไว้คนเดียวไม่ได้หรอก…” มู่หรงเสวี่ยตอบพร้อมนึกถึงความทรงจำ

“ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็จะไม่ห้ามเธอ ฉันแค่อยากจะบอกเธอว่าโควตาของเธอถูกส่งไปแล้วนะและการประเมินก็จะถูกจัดขึ้นในวันมะรืนนี้ เธอต้องไปที่ฐานในเมืองหลวง เธอจะได้เตรียมตัวได้!” พี่ใหญ่พูด น้ำเสียงของเขายังมีความเป็นห่วงอยู่จางๆ

มู่หรงเสวี่ยมีสีหน้าที่ผ่อนคลายและพูดออกมา “ไม่ต้องห่วงนะ ทักษะทางการแพทย์ของฉันขั้นสูงสุดๆ พวกนายจะต้องทึ่งแน่ๆ!”

“มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เธอได้ยินที่ฉันบอกแล้วนิว่าถ้าสอบไม่ผ่านจะมีการลงโทษ การลงโทษก็ไม่ใช่การลงโทษธรรมดาด้วย…” พวกเขาทั้งห้าไม่มีทางเลือกนอกจากการเป็นทหาร ดังนั้นในตอนนั้นพวกเขาจึงเข้าร่วมอย่างไม่เกรงกลัว พวกเขาไม่ได้คิดว่าจะผ่านกันทั้งหมด มันโชคดีมาก ตอนนี้เมื่อนึกถึงท่าทางของพวกคนที่สอบตกแล้วถูกลากออกไป เขาก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ลึกๆ

มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่างมั่นใจ “ฉันรู้แต่ฉันไม่พลาดหรอก!” เธอจะไม่ทำเรื่องที่เธอไม่มั่นใจ

ถึงแม้การพูดโน้มน้าวจะไม่สำเร็จแต่พวกเขาก็จะไม่ทิ้งครอบครัวของตัวเองแน่ๆ “โอเค นี่เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าถึงเวลานั้นพวกเราเองก็จะร้องขอความเมตตาด้วย ถึงแม้ตำแหน่งของพวกเราในองค์กรจะไม่ได้สูงส่งอะไร แต่มันก็น่าจะพอมีประโยชน์อยู่บ้างไม่มากก็น้อย…”

“ขอบคุณนะ พวกนายเป็นเพื่อนตายฉันจริงๆ” มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะกอดขอบคุณพี่ใหญ่ครั้งใหญ่

พี่ใหญ่ลูบไปที่หัวเธอแล้วพูดออกมา “เตรียมตัวให้พร้อม โอเคไหม?” พวกเขาต่างก็เหมือนพี่ชายและน้องสาวของเธอ

มู่หรงปล่อยพี่ใหญ่แล้วยืนขึ้นตัวตรง ยกมือขึ้นทำความเคารพและตอบออกมาอย่างจริงจัง “ค่ะ! พี่ใหญ่”

“ว่าแต่คนอื่นๆล่ะ? ทำไมฉันไม่เห็นพวกเขาเลย?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างสงสัย เป็นเรื่องหายากมากที่พวกเขาจะแยกออกจากกัน

“พวกเขาออกไปปฏิบัติภารกิจและไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว?” พี่ใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้ไปกับพวกเขาด้วย

มู่หรงเสวี่ยตกใจไปชั่วขณะแล้วจึงถามออกมา “ภารกิจอะไร? อันตรายหรือเปล่า? ทำไมครั้งนี้นายไม่ไปกับพวกเขาด้วยล่ะ?”

“มันเป็นแค่ภารกิจระดับ C มันไม่น่าที่จะมีอันตรายอะไร ฉันต้องอยู่ที่นี่เป็นการตัดสินใจของพวกเราทั้งห้าคน ภารกิจนี้คาดว่าน่าจะเสร็จภายในสิ้นอาทิตย์นี้แต่การประเมินของเธอจะเริ่มในอีกสองวัน พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยในวันที่เริ่มดังนั้นฉันก็เลยควรที่จะอยู่ที่นี่…” พี่ใหญ่พูดเสียงเบา

ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยจู่ๆก็เอ่อล้นขึ้นมา น้ำตาค่อยๆรินและพูดออกมา “ที่นี่ฉันไม่ได้มีปัญหาอะไร นายควรที่จะไปด้วยกัน…”

“อย่าโง่น่า เธอเองก็ไม่ง่ายเหมือนกัน…” พี่ใหญ่ปลอบใจ “อย่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ถ้าต่อไปเธอได้เป็นหมอมังกร พวกเราก็ต้องคุ้มครองเธอ ก็ถือวะว่าเป็นการฝึกงานล่วงหน้าแล้วกัน…”

ก่อนที่มู่หรงเสวี่ยจะมีเวลาได้เช็ดน้ำตา เธอก็ต้องหัวเราะออกมาเพราะการล้อเล่นของพี่ใหญ่

สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็วและวันสอบของหมอมังกรก็มาถึง ในวันนี้อากาศสดใสอย่างมากและท้องฟ้าก็เป็นสีฟ้าซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข มีสายลมอ่อนเย็นๆพัดผ่านมาซึ่งทำให้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกกังวลเล็กน้อย เธอกำลังจะไปที่ฐานของดราก้อนพาวิลเลี่ยน เขาอยู่ที่นั่นหรือเปล่านะ และเธอก็ดูเหมือนกำลังก้าวเข้าไปใกล้เขาอีกก้าว

พวกเขาคิดว่ามู่หรงเสวี่ยคือคนที่พี่ใหญ่แนะนำมาดังนั้นพี่ใหญ่จึงเป็นคนพาเธอไปที่ฐานเอง รถห่างออกมาจากเมืองหลวงไกลมากแล้ว ทั้งสองข้างของถนนเป็นป่ารกชักจนมองไม่เห็นตึกอาหารอะไรเลย

มู่หรงเสวี่ยสะบัดมือ เธอคิดว่าตัวเองจะไม่กังวลแต่ไม่คิดว่าตัวเองจะกังวลมากขนาดนี้ เมื่อรู้ว่าเธออาจจะได้เจอเขา เธอก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาแต่งตัวตั้งแต่เช้า เธอนั่งเฉยๆไม่ได้ด้วยซ้ำจนต้องเดินไปมาอยู่ในห้องนั่งเล่น

อย่างไรก็ตามยิ่งเธอกังวลมากเท่าไร เธอก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าก่อนหน้านี้เธอมีความรักจริงๆหรือเปล่ามากขึ้นเท่านั้น?! ในอดีต เธอคิดว่าพวกนั้นคือความรักและนั่นเป็นตัวเลือกที่หัวใจเธอเลือกมาเอง อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเธอไม่เคยที่จะต้องพยายามที่จะนั่งเฉยๆแบบนี้มาก่อนเลย

แต่ตราบใดที่เธอได้เจอเขา เธอก็จะได้รู้คำตอบ เธอเจอทิศทางแล้วและจะไม่สับสนอีกแล้ว

เธอไม่รู้ว่ารถขับมานานแค่ไหนกว่าจะมาจอดที่ตึกหน้าตาแปลกๆเหมือนที่จังหวัดA อย่างไรก็ตามฐานที่นี่ในเมืองหลวงใหญ่กว่าที่จังหวัด Aหลายสิบเท่า

“ลงจากรถได้แล้วร้องหก จากนี้จะขับรถเข้าไปไม่ได้” พี่ใหญ่พูดขณะที่เขาจอดรถ

มู่หรงเสวี่ยหยิบกล่องเข็มทองคำ เปิดประตูและลงจากรถ อย่างที่คาดไว้ว่าการปฏิบัติจะต้องแตกต่างออกไป เธอจำได้ว่าตอนที่หลงอี้ขับรถมาเขาขับรถตรงเข้าไปในฐานเลย อย่างไรก็ตามมันก็น่าจะมีลำดับชั้น

ขั้นตอนของการเข้าไปที่ฐานก็คล้ายๆกับตอนที่เธอเข้าไปฐานที่จังหวัด A อย่างไรก็ตามครั้งสุดท้ายที่เธอถูกฮวงฟูอี้ลากมา เธอไม่จำเป็นต้องถูกตรวจ ครั้งนี้เธอต้องถูกสแกนด้วยขั้นตอนพิเศษทุกครั้งที่เธอเข้าไปถึงในแต่ละชั้น เธอเกือบที่จะเอาเข็มทองคำเข้าไปไม่ได้แล้ว สุดท้ายพี่ใหญ่ก็ต้องช่วยอธิบายว่านี่เป็นเครื่องมือแพทย์และขอให้หมอมังกรในดราก้อนพาวิลเลี่ยนช่วยยืนยันก่อนที่จะปล่อยให้เข้าไปได้

ไม่นานพวกเขาก็เดินเข้ามาในห้องขนาดใหญ่ พี่ใหญ่ไม่ใช่ผู้เข้าสอบ เขาจึงต้องยืนรออยู่นอกประตู ในระหว่างที่ มู่หรงเสวี่ยเดินตามหมอมังกรเข้าไปในห้อง ถึงแม้เธอจะพยายามที่จะพูดด้วยแล้วแต่หมอมังกรก็เย็นชาและไร้อารมณ์ใดๆเลย เขาเพียงแค่มองเธออย่าเย็นชาและไม่พูดอะไรกับเธอเลย

มู่หรงเสวี่ยเองก็ฉลาดพอจึงไม่พูดอะไรออกไปอีก หลังจากที่เข้าไปในห้อง เธอก็พบว่ามีคนมากมายอยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว หมอมังกรไม่ได้สนใจ มู่หรงเสวี่ยเดินตรงไปที่เวทียกสูงที่อยู่ในห้อง มีผู้สูงอายุหลายคนนั่งอยู่บนนั้น เธอมองไปที่ป้ายที่อยู่ตรงหน้าชายชราซึ่งเขียนไว้ว่าผู้ตรวจสอบ

แล้วคนนับสิบก็นั่งลงเพื่อที่จะเริ่มทำข้อสอบ เธอมองไปรอบๆแต่ก็ไม่เจอทั้งฮวงฟูอี้หรือหลงอี้เลย เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เธอเจอที่ว่างและนั่งลง ไม่สำคัญหรอก เธอมาที่นี่แล้วแล้วสักวันเธอก็จะได้เจอเขา

Related

ย้อนเวลาแค้น

ย้อนเวลาแค้น

ในชีวิตก่อนเป็นเพราะเธอโง่งมอยู่ในความรัก เธอจึงถูกชายโฉดที่เธอรักรวมหัวกับหญิงชั่ว ญาติที่เธอรักเหมือนน้องสาว รวมหัวกันวางแผนทำลายชีวิตเธอ ด้วยความแค้นหลังความตาย เธอจึงย้อนกลับมาในร่างของเธอ ตอนอายุ 15 เพื่อให้เธอได้มีโอกาสแก้แค้นคนเหล่านั้น ชาตินี้เธอจะไม่โง่และหลงเชื่อในความรักอีกแล้ว แต่ดูเหมือนความตั้งใจของเธอจะมีมารผจญ ชางกวนโม่นายน้อยไร้หัวใจ “ เธอเป็นผู้หญิงของฉัน เป็นเมียฉันมันไม่ดีตรงไหน?” ชูอี้เสิ่นหนุ่มปริศนาข้างห้อง “เสี่ยวเสวี่ย ผมบาดเจ็บอีกแล้ว ช่วยดูแลผมหน่อย” โม่จื่อเหวินบอดี้การ์ดสุดหล่อ “แม้จะต้องลงนรก ฉันจะปกป้องเธอด้วยชีวิต”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset