“คำพูดนี้หมายถึงเยี่ยงไร?” ใต้เท้าโจวสงสัย
“หลิ่วเย่นัดให้ข้ามาพบนางเจ้าค่ะ” มู่อวิ๋นซีเหลือบมองไปที่ศพของหลิ่วเย่
สายตาใต้เท้าโจวหรี่ลงเล็กน้อย มองไปที่ผู้คุมข้างๆ “ก่อนหน้านั้น ยังมีใครได้มาพบหลิ่วเย่?”
“ไม่มีใครมาขอรับ” ผู้คุมห้องขังพูดตามจริง
“ตรวจสอบบันทึกการเข้าออกหลังจากที่หลิ่วเย่เข้าคุกให้ละเอียดอีกครั้ง” หลังจากที่ใต้เท้าโจวออกคำสั่งไปก็มองมาที่มู่อวิ๋นซี “คุณหนูมู่ ท่านจะนำร่างของหลิ่วเย่กลับไป หรือจะให้ข้าส่งคนไปรายงานที่จวนตระกูลมู่?”
“อย่างไรต้องรบกวนใต้เท้าเถิดเจ้าค่ะ”
หากว่านางนำร่างของหลิ่วเย่กลับไปที่จวนตระกูลมู่ ไม่แน่อาจจะเริ่มเปิดฉากเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นอีกเป็นได้
กลับถึงลานหย่งเหอด้วยความคับแค้นใจ มู่อวิ๋นซียังคิดไม่ออกเหมือนเดิมว่าใครที่ทำร้ายหลิ่วเย่? อีกทั้ง หลิ่วเย่ต้องการจะพูดอะไรกับนาง?
เปลี่ยนผ้าไหมที่รองคอให้องค์หญิงใหญ่อย่างระมัดระวังที่สุด มู่อวิ๋นซีเหลือบมองไปที่กล่องผ้าที่วางอยู่บนโต๊ะ และมองไปที่มู่ซิ่วที่กำลังเทโถน้ำร้อนอยู่ข้างๆ และพูดด้วยความสงสัยว่า “ใครมาเยี่ยมท่านย่าแล้ว?”
“ฮูหยินเล็กเติ้งกลับมาแล้ว แม่ผู้ให้กำหนดจื่อหลันนั่นเอง” มู่ซิ่วนำโถน้ำร้อนที่เทเสร็จแล้วห่อด้วยผ้าแล้วยัดเข้าไปในผ้านวมขององค์หญิงใหญ่ จากนั้นจึงได้ดึงมู่อวิ๋นซีไปนั่งลงอยู่ข้างๆ
“นางไปทางตอนเหนือเพื่อไปซื้อยาพืชสมุนไพร วันนี้เพิ่งกลับมาถึงจวน ได้ยินว่าท่านย่าไม่สบาย และได้เลือกเอาเขากวางอ่อน โสม ถั่งเช่าดีๆ ส่งมาที่นี่ เจ้ายังไม่เคยเจอนางใช่ไหม?”
มู่อวิ๋นซีพยักหน้า ทันใดนั้นได้เข้ามาใกล้มู่ซิ่ว และมองดูนางอย่างระมัดระวัง รอยแผลที่หน้าผากนางค่อยๆ จางลงไปมากเพราะไป่หลิงแอบใช้ยาสร้างเนื้อกับนางเมื่อสองวันก่อน และดูเหมือนว่าสีของบาดแผลแทบจะเหมือนกับของผิวหนังแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่ามู่ซิ่วแตกต่างจากไปแต่ก่อนไม่ใช่บาดแผลนี้ แต่เป็นประกายในดวงตาของนาง และบนแก้มของนางนั้นมีความขวยอายและความสุขใจอยู่ด้วย
“หน้าของข้ามีอะไรเปื้อนอย่างนั้นหรือ?” มู่ซิ่วที่ถูกมู่อวิ๋นซีมองก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย และหันข้างพร้อมยกมือขึ้นลูบไปที่แก้ม ทำให้แขนเสื้อไหลลงเผยให้เห็นกำไลข้อมือปะการังแดงที่สวมอยู่ข้อมือของนาง
นี่คือ? มู่อวิ๋นซีมองไปที่กำไลข้อมืออย่างสงสัย
มู่ซิ่วรับรู้ถึงสายตาของมู่อวิ๋นซี แล้วเม้มริมฝีปากและยิ้มขึ้น และยื่นข้อมือไปตรงหน้าให้มู่อวิ๋นซีดูใกล้ๆ อย่างตามสบาย “สาวไหม? นี่คือพี่เขยของเจ้ามอบให้ข้า เขาบอกว่า ทั้งเมืองหลวงมีเพียงแค่ชิ้นนี้ชิ้นเดียวด้วยล่ะ”
มู่ซิ่วดึงข้อมือของนางและลูบมือสีแดงที่ส่องประกายราวกับปะการัง เหมือนที่ได้พูดกับมู่อวิ๋นซี และดูเหมือนนางจะพึมพำกับตัวเองว่า “ข้ารู้ว่าเขาห่วงใยและชอบข้ามาตลอด มิฉะนั้นคงไม่มอบกำไลข้อมือปะการังแดงที่มีแค่ชิ้นนี้ชิ้นเดียวให้ข้าหรอก?”
ที่แท้บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนหวานและความเขินอายก็เพราะกำไลข้อมือนี้นี่เอง
อารมณ์ชนิดที่บอกไม่ได้ว่าจะรู้สึกเสียใจหรือว่าเศร้าอาดูรที่กำลังวนเวียนในหัวมู่อวิ๋นซีอยู่ นางมองดูความสดใสบนใบหน้าของมู่ซิ่วในตอนนี้ ความหวังในดวงตา ราวกับว่าผ่านช่องว่างกาลเวลาอันแสนยาวนานที่สามารถทำให้มองเห็นตัวเองในชาติที่ผ่านมาได้
ในเวลานั้น นางได้ตั้งหน้าตั้งตารอความรักจากครอบครัวเหมือนกับที่มู่ซิ่วได้ตั้งตารอความรักจากคนรัก หวังว่ามู่เซิ่ง หลิ่วเย่จะปฏิบัติต่อนางให้ดี สามารถพอที่จะเชื่อนาง และพวกเขาแค่พูดกับนางด้วยถ้อยคำท่าทีที่อ่อนโยนสักประโยค นางก็รู้สึกได้ถึงความสุขนั้นได้เป็นเวลานาน
ขณะนี้ มู่ซิ่วก็ให้เป็นเช่นนี้เถิด เพียงแค่กำไลข้อมือชิ้นเดียว ก็ทำให้นางเคลิบเคลิ้มได้ถึงขนาดนี้
เรื่องราวของความรู้สึก แท้จริงแล้วก็เหมือนกับมีแค่ตัวเราเท่านั้นที่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเช่นไร
“ท่านพี่!”
มู่อวิ๋นซีจ้องมองไปที่มู่ซิ่ว “ท่านพี่ ชอบเขาจริงๆ หรือ?”
แววตาของมู่ซิ่วดูประหลาดใจ จึงลดมือลงพูดว่า “พูดอะไรโง่ๆ เขาเป็นสามีของพี่นะ”
มู่อวิ๋นซีอมยิ้ม “ถามเฉยๆ ข้าแค่อยากรู้
นางมองไปที่มู่ซิ่วที่เอามือไปจับกำไลข้อมือปะการังแดงโดยไม่รู้ตัว และคิดเงียบๆ อยู่ในใจ ท่านพี่ หากท่านชอบเขาจริงๆ เช่นนั้นข้าก็คงทำได้เพียงแค่ ช่วยท่านไล่มู่จื่อหลันออกไปจากข้างกายเจี่ยอี้ แบบนี้ชีวิตของท่านอาจจะมีความสุขขึ้นก็เป็นได้
เพียงแค่คิดเพิ่งจะผ่านไปได้คืนเดียว มู่อวิ๋นซีก็รู้ว่าตัวเองนั้นผิดไปแล้ว
วันที่สอง ฮั่วเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้มา หมอหญิงโจวได้มาที่ลานหย่งเหอกับหมอหลวงจ้าว หมอหลวงจ้าวหลังจากที่ได้ตรวจชีพจรองค์หญิงใหญ่เสร็จแล้วก็กลับไปก่อน โดยให้หมอหญิงโจวอยู่ฝังเข็มให้องค์หญิงใหญ่ก่อน
หลังจากที่ฝังเข็มเสร็จ เจี่ยอี้ได้เสนอว่าจะเป็นคนไปส่งหมอหญิงโจวเอง
ออกจากลานหย่งเหอ เจี่ยอี้เหลือบมองไปรอบๆ เห็นไม่มีใครสนใจ จึงได้รีบเดินขึ้นไปขวางหยุดอยู่ข้างหน้าของหมอหญิงโจวที่มีใบหน้าที่เย็นชา และพูดกับนางว่า “หมอหญิงโจว เรื่องครั้งก่อนเป็นเรื่องเข้าใจผิด โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
“ใต้เท้าเจี่ยไม่จำเป็นต้องมีพิธีอะไรมาก เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไปเถิด” หมอหญิงโจวไม่ต้องการพัวพันกับเจี่ยอี้ พูดตอบเจี่ยอี้อย่างเย็นชา จากนั้นได้อ้อมเขาแล้วเดินหน้าจากไป
เจี่ยอี้ก้าวไปทางซ้ายหยุดหมอหญิงโจวไว้อีกครั้ง จากนั้นได้หยิบตลับแป้งท้อธวัลพรรณออกมาจากแขนเสื้อหนึ่งตลับแล้วยื่นให้นาง
“หมอหญิงโจวเป็นคนใจกว้าง แต่ข้าไม่อาจจะทำเหมือนไม่มีอะไรไม่ได้ นี่คือแป้งท้อธวัลพรรณที่ดีที่สุดของแดงดุจท้อ หมอหญิงโจวประจำอยู่ที่วัง น่าจะรู้ว่าสตรีในวังต่างก็ใช้สิ่งนี้อยู่ หมอหญิงโจวได้โปรดรับไว้ด้วย”
หมอหญิงโจวมองเจี่ยอี้อย่างเย็นชา “ความหวังดีของใต้เท้าเจี่ย ข้ารับไว้แล้ว”
“หมอหญิงโจว!” เจี่ยอี้ได้ยื่นแป้งท้อธวัลพรรณไปด้านหน้าของนาง และพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ก่อนหน้านั้นเป็นข้าที่พรวดพราดไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่นั่นโทษข้าหมดก็ไม่ได้นะ? จะโทษต้องโทษที่เจ้าสวยเกินไป โทษเจ้าที่ทำให้ใจข้าหวั่นไหวไปกับเจ้าตั้งแต่แวบแรกที่เห็น”
“เจี่ยอี้!” สีหน้าของหมอหญิงโจวเริ่มดูไม่ได้ “นี้คือจวนตระกูลมู่ หากฮูหยินของท่านรู้ว่าท่านพูดคำพวกนี้กับข้า จะรู้สึกอย่างไร?”
“หากว่านางรู้แล้ว จะต้องเอ่ยปากขอเจ้าแต่งงานกับข้าแน่นอน” ในขณะที่หมอหญิงโจวกำลังตกตะลึง เจี่ยอี้ได้จับมือเล็กๆ ของหมอหญิงโจวไว้ จากนั้นยัดตลับแป้งท้อธวัลพรรณไปไว้ในมือของนาง “ถือไว้ กลับไปแล้วลองใช้ดู จะได้รู้นี้คือของดี หลังจากที่……”
“พี่เขย!”
เสียงที่ชัดเจนและไพเราะได้ดังขึ้นในขณะนี้
การเคลื่อนไหวของเจี่ยอี้ได้แข็งทื่อไป หมอหญิงโจวรีบใช้โอกาสนี้ดึงมือกลับ ส่วนแป้งท้อธวัลพรรณได้ตกลงไปบนแผ่นหินเสียงดัง ตลับหยกลายดอกบัวชั้นดีได้แตกออกเป็นสองส่วน กลิ่นหอมของดอกท้อได้ตลบอบอวลไปทั่วอากาศ
“นี่……”
สีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเจี่ยอี้มองไปที่มู่อวิ๋นซีที่กำลังเดินมาอย่างรวดเร็ว และพูดว่า “ข้าคิดว่าหมอหญิงโจวมาเพื่อฝังเข็มให้องค์หญิงใหญ่นั้นลำบากแล้ว ดังนั้นจึงได้คุยกับพี่สาวของเจ้า เพื่อมอบแป้งท้อธวัลพรรณให้กับนางหนึ่งตลับ ไม่คิดว่าหมอหญิงโจวจะปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
สีหน้าของหมอหญิงโจวดูไม่ดี แต่เพื่อไว้หน้าให้องค์หญิงใหญ่จึงไม่ได้เปิดเผยคำโกหกของเจี่ยอี้ “เรื่องเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“ข้าไปส่งท่านเอง ประจวบเหมาะข้ามีเรื่องจะต้องถามท่านด้วย”
มู่อวิ๋นซีคว้าแขนของหมอหญิงโจว เดินไปข้างหน้าได้สักระยะถึงพูดขึ้น “เจ้าไม่ต้องไว้หน้าพวกเรา หากมีครั้งต่อไปเขายังมาพัวพันกับเจ้า เจ้าก็เอาเข็มแทงไปที่เขาได้เลย หรือเอายาพิษส่งให้เขาตรงๆ ก็ได้”
หมอหญิงโจวมองมู่อวิ๋นซีอย่างสงสัย ผ่านไปสักพักได้รู้สึกว่านางไม่ได้ล้อเล่น “แต่เขาเป็นพี่เขยของเจ้านะ”
“แต่เขาเป็นพวกมักมากบ้าตัณหา เป็นไอ้สารเลว จะเอาคืนคนแบบนี้ ไยต้องเกรงใจด้วยเล่า?” มู่อวิ๋นซีปล่อยแขนของหมอหญิงโจว “เจ้าวางใจ ที่อื่นข้าไม่อาจรับรองได้ แต่ต่อไปอยู่ที่จวนตระกูลมู่ หากเขายังกล้าที่จะมารังควานเจ้าอยู่ ข้าก็จะตอนเขาเอง”
ตอนนี้องค์หญิงใหญ่ยังต้องการการฝังเข็มจากหมอหญิงโจว หากเจี่ยอี้ยังมารังควานหมอหญิงโจวจนนางโกรธจริงๆ นั้นก็ราวกับชีวิตองค์หญิงใหญ่จะต้องเสี่ยงตายไม่ใช่รึ?