ตอนที่มุกดากับธีรนัยน์จะไปหามารดาของตัวเอง ก็ถูกคนขวางเอาไว้อีก ผู้ชายในคราวนี้ดูแล้วน่ารังเกียจกว่าอนุชิตเสียอีก! ทาหน้าปะแป้งเสียมันเยิ้มจนทำให้คนที่เห็นเกิดความรู้สึกหุนหันอยากจะต่อยเขา
“คนสวย จะไปที่ไหนหรือ พวกเรามาเล่นด้วยกันเถอะ ถึงอย่างไรคนที่มาในวันนี้ก็ล้วนเป็นคนคุ้นเคยกัน” เสียงของชายหนุ่มให้ความรู้สึกหวานเลี่ยนประเภทหนึ่ง
“กรุณาหลีกทางด้วยค่ะ!” เนื่องจากธีรนัยน์ยังไม่ได้เข้าสู่สภาวะความเป็นผู้หญิงของตัวเอง เธอจึงผลักคนคนนั้นอย่างดุดัน หลังจากนั้นก็ดึงมุกดาก้าวไปข้างหน้า
“โอ้โฮ! เป็นคนที่มีนิสัยหงุดหงิดขี้โมโหเสียด้วย ผมชอบ ฮ่าๆๆ ผมชอบ พวกแก จับผู้หญิงสองคนนี้ไปข้างบนตึกให้ฉันสิ ฉันจะทะนุถนอมพวกเธอเป็นอย่างดี!” ผู้ชายคนนั้นโบกมือ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากไหน จะเข้ามาจับธีรนัยน์กับมุกดา
ธีรนัยน์ดึงมุกดาให้มาอยู่ด้านหลัง แต่ว่ามุกดาไม่ยอมแสดงให้เห็นว่าตนเองด้อยกว่า ทว่าเธอก็ไม่อยากก่อเรื่องในตอนนี้ ยากที่พวกคุณแม่จะมาร่วมงานเลี้ยงศิษย์เก่าสักครั้ง ถ้าทำพังก็คงไม่ดี
“พวกคุณอย่าเหลวไหล วันนี้เป็นงานเลี้ยงของเหล่าผู้อาวุโส มีอะไรก็พูดคุยกันดีๆ!” มุกดาเอ่ยกับคนคนนั้น แต่คนคนนั้นกลับนึกว่าพวกมุกดากลัวเสียแล้ว
“แน่นอนว่าผมพูดจาดีๆเป็น ผมเกรงใจคนสวยมากอยู่แล้ว ได้ยินมาว่าเดิมพวกคุณสองคนก็ออกมาหาผู้ชาย ทำไมจะต้องแสร้งทำเป็นจริงจังด้วยกัน เป็นกลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับหรือ ผมชอบ ผมชอบมาก!” ผู้ชายคนนั้นพูดจาจนทำให้ธีรนัยน์อยากจะพุ่งไปชกเขาสักหลายครั้ง
“พวกเราล้วนมีแฟนแล้ว ใครบอกคุณว่าพวกเรามาหาผู้ชายกัน” มุกดานึกว่าผู้ชายคนนี้พูดเหลวไหล
“แน่นอนว่าเป็นเธอยังไงล่ะ เธอบอกผมว่าพวกคุณคิดจะหาผู้ชายรวยๆ ผมก็ใช่ พวกคุณก็ไม่ต้องไปตามหาอีกแล้ว!” ชายหนุ่มชี้ไปทางนารา และยื่นมือออกมาดึงมุกดาเอาไว้
“เอาแบบนี้แล้วกัน พวกเราจะไปกับคุณ แต่รอจนงานเลี้ยงจบก่อนได้ไหม คุณก็รู้ว่าพวกเราไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน จึงอยากจะเปิดหูเปิดตาสักหน่อย” มุกดาคิดแผนการถ่วงเวลาเพื่อหาหนทางรับมือ
“อ่อ อยากจะดูงานเลี้ยงนี้หรือ ได้สิ พวกคุณก็อย่ามีความคิดเป็นอื่นล่ะ พวกคุณหนีไม่พ้นหรอก ไม่ได้รับคำอนุญาตจากผม กระทั่งประตูพวกคุณก็ออกไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นผมจะรอพวกคุณแล้วกัน ถอยออกไปให้หมด” ชายหนุ่มให้ลูกน้องถอยออกไป ส่วนเขาก็ไม่ได้ทำให้มุกดากับธีรนัยน์ลำบากใจอีกเช่นกัน
ธาราวดีกับบุณยอรรออยู่ครู่หนึ่ง ถึงเห็นลูกสาวของตัวเองเดินจูงมือกันเข้ามา
“ลูกไปที่ไหนมา ทำไมถึงไปนานขนาดนั้น ธีรนัยน์ล่ะ” ธาราวดีจำธีรนัยน์ไม่ได้
มุกดาดันธีรนัยน์มาด้านหน้า “นี่ก็ธีรนัยน์คือไงคะ คุณแม่ก็จำไม่ได้หรือคะ” มุกดามองธาราวดีด้วยความพอใจ เธอกับธีรนัยน์ไม่ได้แสดงท่าทางเกี่ยวกับเรื่องเมื่อครู่นี้ออกมาทางสีหน้า และไม่อยากให้มารดาต้องเป็นกังวล
“ว้าว ธีรนัยน์จ๊ะ สวย สวยเกินไปแล้วจริงๆ น้ารู้สึกว่าชุดเดรสชุดนี้เหมาะกับหนูมาก เหมือนกับว่าตัดมาเพื่อหนูเลย” ธาราวดีเอ่ยชื่นชมขึ้นมา เธอคิดมาตลอดว่าลูกสาวของตัวเองนั้นสวยมากแล้ว แต่ธีรนัยน์คนนี้ก็สูสีพอๆกับลูกสาวของตัวเองเช่นกัน
“คุณน้า ขอบคุณสำหรับคำชมของคุณน้านะคะ หนูเริ่มอายแล้วนะ” ใบหน้าของธีรนัยน์แดงยิ่งกว่าเดิม สามสิบปีก็เพิ่งจะรู้ว่าสวมชุดเดรสแล้วจะสวยแบบนี้ หลังจากนี้ก็สามารถสวมชุดเดรสบ่อยๆได้แล้วใช่ไหมนะ
“มีอะไรต้องเขินอายกัน เด็กผู้หญิงสวมกระโปรงก็เป็นสัจธรรมที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ หลานดูน้า ดูคุณแม่ของหลานแล้วยังมีมุก ล้วนสวมกระโปรงไม่ใช่หรือ” ธาราวดีเอ่ยชื่นชมธีรนัยน์ ไม่ขาดปาก บุณยอรที่ได้ยินแล้วก็รู้สึกสบายใจมาก
ความจริงแล้วงานเลี้ยงก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ก็แค่ทุกคนที่ไม่ได้พบหน้ากันนานมาแนะนำตัวซึ่งกันและกัน เชิญนายกเทศมนตรีและผู้บริหารบางส่วนมาพูดหลายประโยค หลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มพูดคุยเรื่องการใช้ชีวิตและอดีตที่ผ่านมากัน
ธาราวดีและบุณยอรยังมีเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทกันอยู่บ้างเล็กน้อย ล้วนนั่งสนทนาอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน มุกดากับธีรนัยน์ก็ไปนั่งที่โต๊ะอีกตัวหนึ่ง ตอนนี้เองที่นาราก็มานั่งด้วย
“เมื่อครู่คือคุณชายของนายกเทศมนตรี พวกเธอต้องปรนนิบัติดีๆล่ะ อย่าไปล่วงเกินเข้า” นาราแสร้งเอ่ยเตือนมุกดากับธีรนัยน์อย่างเป็นคนดี
เมื่อเธอเห็นชุดเดรสที่ธีรนัยน์สวมอยู่บนร่าง ในใจก็เกิดความริษยาขึ้นมา ชุดเดรสชุดนี้เธอก็ถูกใจเช่นกัน เพียงแต่ว่ามือเท้าของเธอช้ากว่าบุณยอร ชุดเดรสชุดนี้จึงตกเป็นของธีรนัยน์ ถ้าหากว่าเธอสวมชุดเดรสชุดนี้จะต้องงดงามมาก และจะกลายเป็นจุดรวมสายตาในงานเลี้ยงนี้เช่นกัน
ธีรนัยน์ไม่รู้ว่านาราเคยมีเรื่องแบบนี้กับคุณแม่ของตัวเอง เธอรู้เพียงแค่ว่านาราเป็นชู้รักของธีร์ธวัช
อาหารบนโต๊ะถูกเสิร์ฟครบหมดแล้ว ทุกคนเริ่มต้นกินอาหารกัน จู่ๆนาราก็รู้สึกว่าเจ็บแปลบที่เท้าของตัวเองขึ้นมา เธอก้มหน้าลงไปดูครู่หนึ่ง ก็ไม่พบว่าบนเท้าของตัวเองมีอะไร
เธอขยับเล็กน้อย เท้าก็ไม่เจ็บแล้ว เมื่อครู่นี้เข้าใจผิดไปเองหรือ?
เมื่อใช้ตะเกียบคีบอาหารมาคำหนึ่ง นาราก็ไอขึ้นมาทันที น้ำมูกน้ำตารินไหลออกมาทั่วใบหน้า
ประจวบเหมาะกับโต๊ะที่พวกเธอนั่งนั้นยังมีวัยรุ่นอยู่บ้าง กว่าครึ่งล้วนเป็นชายหนุ่ม สภาพน่าเกลียดของนาราที่ไออยู่นั้นทำให้ทุกคนรู้สึกรังเกียจมาก
นาราคิดจะให้คนดึงกระดาษทิชชู่ให้ตัวเองสักแผ่นก็ไม่มี มุกดากับธีรนัยน์กินอาหารกันอย่างปกติ ทั้งสองคนมองสบตากันครู่หนึ่ง และกินอย่างมีความสุขมากกว่าเดิม
“ใครใส่วาซาบิให้ฉันกัน?” ไม่ง่ายเลยที่นาราจะหยุดไอ เธอหยิบกระดาษทิชชู่ที่อยู่บนโต๊ะมาเช็ดด้วยตัวเอง
เธอมองไปรอบๆ ไม่มีใครมีปฏิกิริยาอะไร บนใบหน้าของผู้ชายพวกนั้นยังคงมีท่าทางรังเกียจมากอยู่ นี่ทำให้นารารู้สึกอับอายขายขี้หน้ามากที่สุด
สุดท้ายสายตาของเธอก็ไปตกอยู่บนร่างของมุกดา เธอชี้ไปที่มุกดาแล้วด่าว่า “มุกดา เธอใส่วาซาบิให้ฉันใช่หรือไม่”
“นารา เธอโง่ใช่ไหม ฉันอยู่ห่างจากเธอขนาดนี้ จะไปมีวาซาบิให้เธอได้อย่างไรกัน เธอถามทุกคนดูสิ อาหารทั้งหมดในวันนี้ล้วนไม่ได้ใส่วาซาบิ!” มุกดาเอ่ยด้วยใบหน้าที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เธอมองไปที่คนเหล่านั้น คนเหล่านั้นล้วนเป็นพยานให้เธอว่า เธอไม่ได้เป็นคนใส่วาซาบิจริงๆ
“ตัวเองไม่รู้ว่ากินอะไรเข้าไปแล้วยังจะมาโทษคนอื่นอีก น่ารังเกียจจริงๆ โดยเฉพาะท่าทางเมื่อครู่นี้ ทำให้คลื่นไส้เกินไปแล้วจริงๆ ถ้าไม่ใช่ว่ามีสาวงามอยู่ด้วยสองคน ผมยังอยากจะเปลี่ยนที่นั่งเลย” มีชายคนหนึ่งที่ประทับใจในตัวมุกดาและธีรนัยน์มาก ใครใช้ให้ผู้อื่นหน้าตาดีมากกัน! เมื่อชายคนนั้นเอ่ยขึ้นมา คนอื่นๆก็ล้วนเออออตามไปด้วย นี่ทำให้นาราหาวาจาอื่นๆโต้กลับไม่ได้
เธอจึงทำได้เพียงแค่ยอมรับว่าตัวเองโชคร้าย ทว่าในใจเธอกลับลอบยินดีกับเรื่องใหญ่ในอีกครู่หนึ่ง มุกดา ธีรนัยน์ ตอนนี้พวกเธอสองคนได้ใจไปเถอะ ฉันจะรอดูตอนงานเลี้ยงสิ้นสุดลง พวกเธออยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก
เหล่าผู้ปกครองล้วนพูดคุยกันอย่างครึกครื้น ส่วนบรรดาลูกหลานก็ค่อยๆเริ่มสนทนากัน ตอนนี้ก็มีคนมาพูดคุยกับมุกดาและธีรนัยน์ ทั้งสองคนก็ไม่ได้บอกปัดอีก บรรยากาศบนโต๊ะจึงมีชีวิตชีวาขึ้นมา มุกดาทำความเข้าใจกับปัจจัยสภาพแวดล้อมของแต่ละคนที่นั่งอยู่ครู่หนึ่ง ในใจของเธอก็มีแผนการแล้ว