ธีรนัยน์ได้ยินคนอื่นพูดกันมาว่าเธอมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับณฐวร เธอเลยคิดจะไปหาใครสักคนที่มีเหตุผลพอ แต่ณฐวรขวางเธอเอาไว้ก่อน
“เดินตามทางชีวิตของตนเอง คนอื่นเขาจะพูดว่าอะไรก็ปล่อยให้เขาพูดไป ทุกคนมีปาก คุณห้ามได้หนึ่งครั้งแต่ก็ไม่สามารถห้ามได้ทุกครั้งไป” ณฐวรกระซิบพูดกับธีรนัยน์
ฝีเท้าของธีรนัยน์พลันหยุดลงทันที ณฐวรพูดก็ถูกอีก แต่ว่าธีรนัยน์คนอย่างเธอก็ไม่ได้ติดใจเอาความ ก็แค่ณฐวรที่อยู่ในใจของเธอนั้นเป็นคนสูงส่งไม่สามารถไปดึงเขาลงมาทำร้ายได้ พอปล่อยให้คนอื่นพูดไปเรื่อยๆ ในใจของเธอนั้นก็ไม่สบายใจมาก
“ฉันเองก็ไม่มีอะไรนะ แค่ฉันรู้สึกว่าต้องพลอยทำให้คุณเสียชื่อเสียงไปเยอะเลย” ธีรนัยน์กระซิบพูดกับณฐวร
“คุณเองก็ไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว ผมก็ยิ่งไม่สนใจอะไรยิ่งกว่าอยู่แล้ว ไปเถอะ เราไปหาของดีๆ กินกันสักหน่อยเถอะ พวกเราจะได้สบายใจขึ้นมาหน่อย แม่ของผมชอบพูดกับผมบ่อยๆ ชีวิตของคนเรามีแค่ช่วงตอนกินข้าวกับนอนหลับเท่านั้นแหละที่ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สบายที่สุด ตอนนี้ก็ต้องทำให้ตนเองผ่อนคลายลงมาทั้งหมด ไม่ต้องไปคิดอะไรทั้งนั้นแหละ เพื่อเพลิดเพลินดื่มด่ำไปกับอาหารอันเลิศรส”
“ไปกัน!” ณฐวรดึงธีรนัยน์มาถึงห้องรับรองส่วนตัวห้องหนึ่ง
ห้องรับรองส่วนตัวมันไม่ใหญ่โตอะไร แต่ว่าการตกแต่งนั้นไม่เลวเลยทีเดียว แถมยังวิจิตรหรูหราโอ่อ่ามาก ธีรนัยน์กับณฐวรแยกกันนั่ง ธีรนัยน์จงใจเว้นที่นั่งให้ห่างณฐวรหนึ่งที่นั่ง
ณฐวรก็ไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบเมนูอาหารขึ้นมาก็เริ่มสั่งอาหารทันที
ธีรนัยน์เหล่มองณฐวรทางด้านข้าง หน้าตาคนคนนี้มอง 360 องศาช่างไม่มีจุดบกพร่องตรงไหนเลยจริงๆ จะมองมุมไหนก็แสนจะหล่อทุกมุมเลย
สันจมูกโด่งทางด้านข้างของณฐวร เปลือกตาที่คล้อยลงจนปิดขนตาที่หนาเป็นแพ ยิ่งผิวพรรณที่ขาวเกลี้ยงเกลาเมื่อเอามาเปรียบเทียบแล้วยังนุ่มนิ่มมีน้ำมีนวลมากกว่ากับผิวพรรณของเด็กสาวเสียอีก
“หน้าตาดีใช่ไหม?” จังหวะนี้เองณฐวรได้สั่งอาหารทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว พอหันกลับมาก็เห็นธีรนัยน์กำลังนั่งจ้องตนเองอย่างสติเลื่อนลอย ดังนั้นเลยถามออกไป
ธีรนัยน์ที่มองจนตาลอยสติเตลิดไปไหนต่อไหนแล้ว จนไม่คิดว่าจู่ๆ ณฐวรจะถามกลับมา จนทำให้เธอตกใจทันที
“แค่กๆ ๆ ๆ ๆ แค่กๆ ๆ ๆ !” ธีรนัยน์ตกใจจนสำลักน้ำลายตัวเอง
ฝ่ามือใหญ่อันอบอุ่นและแห้งกร้านของณฐวรกำลังตบหลังให้ธีรนัยน์อย่างแผ่วเบา
ธีรนัยน์ไม่อยากให้ณฐวรมาคอยตบหลังให้ตนเอง เพราะเธอรู้สึกว่ามันน่าอายชะมัด ทว่าตนเองก็สำลักหนักมาก ขนาดจะยังพูดออกมายังทำไม่ได้เลย
ณฐวรยกชาร้อนมาให้ธีรนัยน์แก้วหนึ่ง เมื่อมองเห็นว่าอาการของเธอเริ่มเบาลงเล็กน้อย จึงค่อยยื่นน้ำให้เธอดื่ม ธีรนัยน์หน้าแดงแจ๋ ครั้งนี้ทำเรื่องน่าอายมากอายยันลูกบวชเลย การที่ตนเองมาสำลักน้ำลายตนเอง ขืนเล่าออกไปช่างน่าขายหน้าชะมัด
“ดีขึ้นบ้างหรือยัง?” ณฐวรถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ค่ะ ดีขึ้นแล้ว ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณ คุณนะคะ” ธีรนัยน์ดื่มชาร้อนอีกอึกหนึ่ง และรู้สึกว่าตนเองดีขึ้นเยอะแล้ว เธอรับทิชชูที่ณฐวรยื่นมาให้ เพื่อเช็ดน้ำหูน้ำตาของตนเอง
ไม่นานนักอาหารก็มาเสิร์ฟ ณฐวรสั่งกับข้าวมา 3อย่าง น้ำซุปหนึ่งอย่าง แถมในอาหารพวกนั้นยังมีปลาอยู่ด้วย พอธีรนัยน์เห็นปลาแล้วก็เกิดอาการตื่นเต้นขึ้นมาทันที ครั้งที่แล้วแม่ของตนเองไม่ได้เอาก้างปลาออกให้เธอ จนทำให้เธอก้างปลาติดคอ
“กินเถอะ กินเสร็จแล้วจะได้พักผ่อนสักหน่อย เดี๋ยวบ่ายจะได้ทำงานต่อ” ณฐวรหยิบตะเกียบขึ้นมาเขารีบคีบชิ้นเนื้อปลาทันที ตอนที่ธีรนัยน์กำลังกังวลว่าณฐวรจะคีบให้ตนเองนั้น เลยรู้ว่าตัวเองคิดมากเกินเหตุไป ณฐวรคีบปลาใส่จานของตนเองแทน
ในใจของธีรนัยน์เองก็ไม่รู้ว่ามีความรู้สึกอย่างไร เพราะรู้สึกโล่งอก แต่ก็แอบผิดหวังอยู่เล็กน้อย
ธีรนัยน์เลยพยายามจัดการคีบอาหารอย่างอื่น เธอเพิ่งกินไปได้สองคำเอง จู่ๆ ในชามก็มีเนื้อปลาเพิ่มขึ้นมาหนึ่งชิ้น
“ฉัน…” ธีรนัยน์อยากพูดว่าตัวเองไม่กล้ากินปลา แต่พอเธอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นณฐวรยิ้มให้เธอ
“ไม่เป็นไรแล้ว ผมจัดการดึงก้างปลาออกให้แล้ว คุณวางใจกินมันได้เลย”
จังหวะนั่นเองธีรนัยน์ก็ไม่รู้ว่าตนเองควรจะพูดว่าอะไรดี ถ้าไม่รับน้ำใจเอาไว้ก็เหมือนว่าตัวเองนั่นจะเขินอายอยู่บ้าง
ปลาชิ้นนั่นมันเด้งดึ๋งมาก พอเข้าปากก็ละลายในปากทันที แถมไม่มีก้างสักนิด รสชาติก็อร่อยเหาะ ธีรนัยน์เป็นคนชอบกินปลามากอยู่แล้ว พอเข้าปากเธอก็เคี้ยวอยู่แค่ครั้งเดียว เนื้อปลาก็เข้าไปอยู่ในท้องแล้ว
จังหวะที่เธอยังไม่ทันตั้งตัว ณฐวรก็คีบเนื้อปลาชิ้นใหญ่ให้เธออีกหนึ่งชิ้น
“ณัฐ คุณเองก็กินเถอะ อย่ามัวมาคีบปลาให้ฉันอยู่เลยนะ นี่ฉันยังไม่ทันได้กินเลยเนี่ย!” ณัฐวรมัวแต่เอาก้างปลาออกให้ธีรนัยน์อาหารที่อยู่ด้านหน้าของเขายังไม่มีการขยับสักนิดเลย
“อ้อ ผมกินข้าวเร็วกว่าคุณ คุณกินก่อนเลยอีกเดี๋ยวจะกินตามคุณเอง”
ณฐวรจัดการคีบก้างปลาออกอย่างรวดเร็ว ซึ่งแสดงท่าทางเอาเป็นเอาตายเหมือนกับบุณยอรทุกกระเบียดนิ้ว
ในใจของธีรนัยน์นั้นเพิ่งรู้ว่าแม่ของตัวเองไม่ใช่แม่เลี้ยง แถมยังแสนดีกับตนเองมาก แค่ตัวเธอใช้ชีวิตท่ามกลางความสุขแต่กลับไม่รู้จักความสุขเลยเท่านั้นเอง ใจเธอคิดว่าสุดสัปดาห์นี้จะกลับไปยังเมืองสระมังกรเพื่อกลับไปเยี่ยมแม่
ทั้งสองคนรับประทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย ธีรนัยน์เองก็กินปลาอย่างอิ่มหนำสำราญ เพราะตัวเองก็ไม่ได้กินปลามานานมากแล้ว ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ตนเองโดนก้างปลาติดคอ เธอก็ไม่กล้ากินปลาอีกเลย
“โอเค ธีรนัยน์เดี๋ยวคุณไปพักที่ห้องพักของผมแล้วกัน เดี๋ยวผมนั่งดูเอกสารข้างนอก เพราะการวางแผนโฆษณาในครั้งนี้มีความต้องการสูงมาก ผมจะต้องทำออกมาให้ดีที่สุด นี่ถือว่าเป็นงานชิ้นแรกของผมในการทำงานที่บริษัทฮอนดากรุ๊ป” ณฐวรให้ธีรนัยน์ไปพักสายตาสักงีบที่ห้องพักของตนเอง
ธีรนัยน์คิดอยู่สักพัก ตามนั้นก็ได้ ถึงอย่างไรเธอติดนิสัยนอนกลางวันจนเป็นนิสัยแล้ว เธอเข้าไปในห้องพักและงีบหลับทันที ส่วนณฐวรก็นั่งมองผลงานเหล่านั้นอยู่ทางด้านนอก
มุกดาคอยมองชลธีที่นอนอยู่บนเตียงแต่ไม่ขยับตัวสักนิด จนจมูกของเธอแดงแสบจมูกขึ้นมา และจัดการช่วยหน้าเช็ดตาให้กับชลธี ใจเธอยิ่งปวดแสบปวดร้อนหนักยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ใบหน้าของชลธีเริ่มซูบตอบลงแล้ว แม้ว่าจะให้อาหารทางสายยางก็ตาม ทว่าโภชนาการก็ยังไม่เพียบพร้อม ร่างกายของเขาจำเป็นต้องการโภชนาการที่มีกว่านี้อีกมาก
“ชลคะ คุณรีบฟื้นเร็วๆ ขึ้นมาเถอะ ถ้าคุณยังไม่ตื่นสักที หน้าตาจะไม่หล่อแล้วนะ คุณดูตัวเองสิใบหน้าคุณตอบขนาดนี้แล้ว ต่อไปจะต้องใช้เวลานานขนาดไหนฉันถึงขุนคุณให้กลับมาอ้วนได้เนี่ย?” มุกดาพูดไปก็ถอนหายใจไป นี่มันสองเดือนเข้าไปแล้วนะ ชลธีไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ เลย
“น้ามุกดาคะ!” มุกดากำลังถอนหายใจยาว พลันมีเด็กน้อยอายุ 7-8 ขวบคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย เธอชำเลืองมองมุกดา ก็รีบพูดทักทายทันที
มุกดามองเด็กผู้หญิงคนนี้ แม้ว่าหน้าตาสวยมาก ทว่าเธอมั่นใจว่าตนเองไม่รู้จักเด็กคนนี้จริงๆ
“หนูคือ?” มุกดาถามเด็กคนนั้นกลับด้วยความสงสัย
“คุณคือคุณน้ามุกดาใช่ไหมคะ? หนูมีสิ่งของบางอย่างต้องให้คุณค่ะ! คุณน้ามุกดาลาก่อนค่ะ” เด็กสาวตัวน้อยยื่นสิ่งของให้กับมุกดา จากนั่นก็วิ่งหนีไปทันที
มุกดามองสิ่งของชิ้นนั้นที่อยู่ในมือ เหมือนว่าเป็นสิ่งของสักอย่างที่มาจากดินน้ำมัน ทว่าจะดูยังไงก็ดูไม่ออก ไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่
มุกดาเอาของชิ้นนั้นพลิกไปพลิกมาดูซ้ำแล้วหลายรอบ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันมีอะไรกันแน่ เธอจึงจัดการ แบ่งสิ่งของชิ้นนั้นออกทันที
ด้านในกลับมีกระดาษอยู่หนึ่งแผ่น บนนั้นเขียนภาษาเยอรมันเอาไว้
“ระวังธีร์ธวัชเอาไว้!” มุกดาอ่านจบแล้วก็จัดการฉีกกระดาษแผ่นนั้นทิ้งซะ เธอพลันฉุกคิดเรื่องงานวันเกิดชลธีในครั้งนั้น ก็ได้รับคำเตือนเช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นถึงทำให้งานวันเกิดผ่านไปอย่างสวัสดิภาพไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้น วันนี้กลับมีกระดาษชิ้นนี้โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง ตกลงว่าคือใครกันแน่?