ถึงแม้ว่าประวีร์จะพูดกับทุกคนว่าอักลี่ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ว่ามีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่รู้ว่าอักลี่ได้รับบาดเจ็บหักขนาดไหน
โชคดีที่เขาได้รับข่าวจากคณบดีได้ทันเวลา บอกว่าเห็นมุกดากับชลธีอยู่ที่โรงพยาบาล แล้วก็มีเด็กคนหนึ่งอยู่ที่ห้องฉุกเฉิน
ตอนที่เขาเข้าไปในห้องฉุกเฉินและเห็นอักลี่นั้น ท่าทางที่น่าสงสาร โชคดีที่มุกดาไม่ได้เห็น ไม่ยังงั้นเธอคงจะต้องไปฆ่าคนที่ทำร้ายอักลี่อย่างแน่นอน
มีตะปูเหล็กปักอยู่ที่หัวของอักลี่ โชคดีที่อักลี่หลบตะปูเลยปักไปอีกทางหนึ่ง ไม่ได้ปักตรงที่อันตราย ไม่ยังงั้นเทพเจ้าก็ไม่สามารถช่วยได้
ใครมีความเกลียดแค้นกับมุกดากับชลธีถึงขนาดนี้กัน ถึงได้ลงมือกับเด็กคนหนึ่งถึงขนาดนี้ เขาไม่คิดว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องมากนัก แต่เขาไม่สามารถทนต่อการรังแกเด็กได้
“ขอบคุณนะวีร์ นายเองก็เหนื่อยแย่เลย” ชลธียื่นมือไปหาประวีร์
ประวีร์เองก็ยื่นมือมาจับชลธีเหมือนกัน ขอแค่เขาดีกับมุก ประวีร์ก็ชอบเขาอยู่แล้ว แล้วก็สามารถเป็นเพื่อนกับเขาได้
“วีร์ พวกเรามาคุยกันหน่อยเถอะ”ชลธีดึงมือประวีร์ อยากจะให้เขาไปกับตัวเอง
“โอเค”ประวีร์ตอบตกลง แล้วก็เดินไปกับชลธี
คนอื่นๆ กำลังเฝ้าอักลี่อยู่ มุกดาเอาแต่อยากจะร้องไห้ แต่กลัวว่าจะกระทบกระเทือนอารมณ์ของแม่ทั้งสองคน เธอก็เลยอดทนเอาไว้
อักลี่นอนเงียบๆ อยู่แบบนั้น สีหน้าของเขาเรียบเฉยมาก ไม่ได้มีความเจ็บปวดอะไร
มุกดาลูบใบหน้าของอักลี่ ใบหน้าของเขาเย็นมาก ด้วยกำปั้นที่แน่นอยู่ในมือของเขา มันควรจะเป็นเวลาที่เขาต้องการโต้กลับ แต่เขาไม่ประสบความสำเร็จ
ลูกชายเป็นเด็กที่เชื่อฟังมากแต่ตอนนี้โดนทำร้ายมาแบบนี้ เพราะว่าเธอสอนมาผิดรึเปล่า เธอควรสอนให้ลูกไม่ต้องเอาอดทน และเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์จริง ไม่ยังงั้นถ้าวิ่งหนีไปอาจจะเจ็บน้อยกว่านี้ก็ได้
“มีอะไรที่ไม่ได้บอกพวกเรารึเปล่า? ” ชลธีเดินมาถึงดาดฟ้าที่ไม่มีคนอยู่ แล้วก็ถามประวีร์
“ใช่ ครั้งนี้ฉันไม่มีวางปล่อยคนที่ทำร้ายอักลี่ไปได้อย่างแน่นอน ฉันให้คนไปสืบแล้ว”ประวีร์ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
“พูดมาเถอะ โหดร้ายแค่ไหน”เสียงของชลธีสะอื้นเล็กน้อย
“มีตะปูเล่มหนึ่งฝังอยู่ในหัว”ประวีร์พูดเบาๆ
“ปัง!”หมัดของชลธีต่อยเข้ากับกำแพง ฝุ่นบนผนังกระจัดกระจาย เมื่อเอามือลงกำแพงก็มีรู และมือของเขาก็เลือดออก
“แต่ว่าโชคดีที่เด็กหลบไปได้ เลยไม่ได้อันตรายร้ายแรง แต่ว่าต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งในการพักฟื้นเลย โว้ย แม่งไร้หัวใจมาก!”ประวีร์เองก็ต่อยกำแพงอย่างรุนแรงเหมือนกัน
มือของชายทั้งสองมีเลือดออก และเลือดก็หยดลงบนพื้นทีละหยด จนกลายเป็นรูปดอกบ๊วยบาน
“ประธานชลธี ฉันสืบมาได้แล้ว เด็กน้อยคนนั้นกับพ่อแม่ของเขาถูกฉันจับเอาไว้แล้ว โชคดีที่มีคนช่วยพวกเรา น่าจะเป็นประวีร์กับคุณโจนส์” ลูซี่พูดกับชลธี
“อืม เดี๋ยวผมจะไปเดี๋ยวนี้”ชลธีไม่ได้ให้มุกดารู้เรื่องนี้ แล้วเขาก็ไปกับลูซี่
เด็กคนนั้นอ้วนมากจริงๆ ซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องตัวสั่น ดูเหมือนเขาจะอายุไม่มาก บางทีเขาอาจอายุแค่ 5-6 ขวบเท่านั้น แล้วเขาจะโหดร้ายกับอักลี่ขนาดนั้นได้อย่างไรกัน
พ่อแม่ก็ดูซื่อสัตย์ตั้งแต่แรกเห็น และทั้งครอบครัวก็ตัวสั่นตลอดเวลา
“พูดมา ใครเป็นคนให้พวกคุณทำแบบนี้? ” ชลธีเดินเข้ามา แล้วก็พูดกับครอบครัวนั้น
“พวกเราทำเอง พวกเราทำเองครับ” คนเป็นพ่อของครอบครัวนั้นพูดพร้อมกับตัวสั่น
“พวกคุณทำเองยังงั้นเหรอ? พวกคุณมีความแค้นอะไรกับเด็กคนนี้ ทำไมถึงได้ลงมืออย่างโหดร้ายขนาดนั้น? ” ชลธีพยายามอดทนต่อความอยากฆ่าอีกฝ่ายในใจ แล้วก็ถามพวกเขา
“เขาทำร้ายลูกของผม ผมก็เลยตีเขา เด็กพวกนี้ก็เป็นสมบัติของพ่อกับแม่ เขาทำร้ายคนอื่นก็ไม่ถูกต้องแล้ว พวกเขาทำร้ายเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรหรอก”คนเป็นพ่อยังคงพูดอย่างแข็งกร้าว
“เขาทำร้ายลูกของคุณ คุณแน่ใจเหรอ? พวกคุณครูในตอนนั้นเห็นว่าลูกของคุณทำร้ายอักลี่ แต่คุณกลับมาพูดว่าอักลี่ทำร้ายลูกของคุณยังงั้นเหรอ คุณนี่ช่างไม่มีมโนธรรมเอาซะเลยเหรอ? “ชลธีได้ยินคำพูดนั้น และก็เดินไปเตะผู้ชายคนนั้นด้วยความโมโห
“ทำไมคุณต้องทำร้ายผมด้วย ทำไมคุณต้องทำร้ายผมด้วย? “ชายหนุ่มพูดด้วยความหวาดกลัว ลูกเตะของชลธีทำให้ชีวิตเขาแทบจะหายไปครึ่งชีวิตแล้ว
“ใช่ไง ทำไมต้องทำร้ายคนอื่นด้วย? ” ผู้หญิงคนนั้นก็กอดผู้ชายของตัวเองเอาไว้ และเงยหน้าขึ้นมองชลธี
“ผมตีคุณเหรอ? เด็กเล็กขนาดนั้นพวกคุณยังลงไม้ลงมือได้ แล้วทำไมผมจะทำร้ายคุณไม่ได้? ” ชลธีชี้หน้าผู้ชายคนนั้นและพูด
“พวกเราไม่ได้ทำร้ายเขา!”หญิงสาวแก้ต่าง แต่ว่ากลับถูกชายหนุ่มส่งสายตาห้ามเอาไว้ก่อน เธอก็เลยรีก้มหน้าในทันที
“ได้ พวกคุณทำร้ายเด็กตัวเล็กๆ ผมก็จะทำร้ายลูกของพวกคุณเหมือนกัน” ชลธีพูดแล้วก็เดินเข้าไปหาเด็กอ้วนคนนั้น
“พ่อครับ แม่ครับ ผมกลัว ผมกลัว”เด็กน้อยมองใบหน้าของชลธีที่เหมือนกับยมบาลมาก ก็หวาดกลัวจนร้องไห้ออกมา
“กลัวเหรอ? เธอจะฆ่าคนได้อยู่แล้ว แล้วจะมากลัวอะไร? ” ชลธียกมือขึ้นมา จะดีเด็กอ้วนคนนั้น
“หยุดนะ พวกเราไม่ได้ทำร้ายลูกของคุณจริงๆ ” พอหญิงสาวคนนั้นเห็นว่าชลธีทำร้ายลูกชายของตัวเอง ในฐานะที่เธอเป็นแม่ สัญชาตญาณของเธอก็ต้องปกป้องเขาอยู่แล้ว
“งั้นความหมายของคุณก็คือลูกผมทำร้ายตัวเองยังงั้นเหรอ? ” ชลธีหันกลับมาพูดกับหญิงสาวคนนั้น
“แน่นอนว่าไม่ใช่ แต่ว่าพวกเราไม่ได้เป็นคนทำ ฉันสาบานกับพระเจ้าก็ได้ พวกเราไม่ได้เป็นคนทำร้ายเขาจริงๆ ไม่ใช่พวกเรา”หญิงสาวพูดและร้อนรนจนเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
“ใครก็ได้เข้ามาหน่อย แยกพวกเขาออกจากกัน ถ้าเกิดว่าไม่พูดความจริงก็ทำร้ายเด็กคนนี้ได้เลย ตีจนกว่าพ่อแม่เขาจะพูดความจริงแล้วค่อยหยุด! ต่อให้ตีจนตายแล้วก็ทำต่อไป ถือว่าเป็นการชดใช้ให้กับลูกของฉัน”ชลธีพูดกับลูซี่
ลูซี่ก็อุ้มเด็กน้อยไปอยู่อีกห้องหนึ่ง
“อย่านะ อย่านะ ไม่ใช่พวกเราจริงๆ ไม่ใช่พวกเรา” หญิงสาวคนนั้นเห็นว่าลูกของตัวเองถูกส่งไปอยู่อีกห้องหนึ่ง เธอก็ยิ่งร้อนรนมากกว่าเดิม แต่ว่าชายหนุ่มเอาแต่ดึงเธอไว้ ไม่ยอมปล่อยให้เธอพูด เธอก็ทำได้แค่ร้องไห้
“กรี๊ด แม่ครับ แม่ครับ!”ภายในห้องที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนั้น เป็นห้องที่อยู่ติดกับห้องนี้พอดี มีเสียงของเด็กน้อยดังขึ้นมา ทำให้หญิงสาวตื่นตระหนกมากกว่าเดิม
“สามี ลูกของพวกเราต้องได้รับความทุกข์อยู่นะ คุณพูดเถอะ พูดเถอะ ไม่ยังงั้นเขาอาจจะตีลูกเราจนตายก็ได้” หญิงสาวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอร้องสามีของตัวเอง
“พูดไม่ได้ พูดไม่ได้”ชายหนุ่มกระซิบบอกหญิงสาว
“โอ๊ย โอ๊ย ฮือๆ แม่ครับ แม่”เสียงของเด็กน้อยยิ่งร้องยิ่งน่าสงสาร ทำให้หญิงสาวที่ได้ยินนั้นหัวใจแตกสลาย
“ฉันไม่สนใจแล้ว ยังไงก็ต้องตายอยู่ดี ทำไมพวกเราต้องให้คนอื่นมาเป็นแพะรับบาปด้วย!” ตอนนี้หญิงสาวก็คิดได้แล้ว เธอยืนขึ้น แล้วก็ไปเล่าเรื่องจริงให้ชลธีฟัง