บนทางเดิน จวงห้วนอวี่อยู่ในรถม้าของตนมาตลอด น้อยยิ่งที่จะปรากฏตัวให้เห็น ไม่รู้ว่ากำลังตั้งใจหลบหลีกเฉินฉางเซิงหรือไม่
เฉินฉางเซิงมิได้สนใจเขา จนถึงขนาดว่าไม่รู้ว่าเขาออกไปจากสุสานเทียนซู มาถึงยังเมืองฮั่นชิว จนกระทั่งเข้ามาในสวนโจว ทว่าเขาชัดเจนยิ่งนัก เพราะเหตุใดเวลานี้จวงห้วนอวี่ถึงปรากฏตัว อีกทั้งยังจ้องมองตนเอง
เขาเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง ไม่ว่าความคิดของพระราชวังหลี หรือว่าการต้อนรับของใต้เท้ามุขนายก่อนที่จะเข้าสวน ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรของสำนักทางทิศใต้ให้เขาเป็นผู้นำครานี้ จัดการเรื่องราวให้ยุติธรรม ปัญหาอยู่ตรงที่ จะจัดการอย่างไรถึงนับว่ายุติธรรมเล่า
เขาเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กลับถูกเจ๋อซิ่วขัดขวางไว้เบื้องหลัง
ในสายตาของจวงห้วนอวี่แฝงไว้ด้วยความเยาะหยัน
บนใบหน้าของเจ๋อซิ่วยังคงไม่มีความรู้สึกใดๆ เอ่ยเนิบนาบออกมา “เรื่องนี้ไม่จำเป็นให้เจ้าจัดการ”
มิได้เอ่ยว่าเฉินฉางเซิงไม่อาจจัดการได้ แต่ว่าจะมีคนจัดการ
พลังกระบี่ที่เยือกเย็นมาจากกลางป่าที่ไกลโพ้น มิได้เป็นของจวงห้วนอวี่ แต่เป็นของคนอื่น
ศิษย์พี่ศิษย์น้องอารามชิงซวีชัดเจนในจุดนี้ ดังนั้นจึงรีบจากไป
เวลานี้เอง กระบี่เยือกเย็นได้มาถึงยังริมฝั่งแม่น้ำ ทำลายป่าไม้บนหน้าผาโดยตรง สอดแทรกเข้าไปถึงด้านหน้าของเจ้าอารามชิงซวี
ท่าทางของเจ้าอารามชิงซวีเปลี่ยนไปฉับพลัน เสียงดังขึ้น มือทั้งคู่กุมกระบี่ไว้ด้านหน้า
ได้ยินเพียงเสียงโจมตีดังกังวานขึ้นมา
บนริมฝั่งแม่น้ำอลหม่านวุ่นวาย มีเสียงน้ำดังสาดกระเซ็น เผยให้เห็นก้อนกรวดทรายข้างใต้น้ำ
จนกระทั่งในเวลานี้ ผู้คนถึงมองเห็นกระบี่ที่พุ่งบินออกมาได้ชัดเจน
กระบี่อันนั้นถูกเจ้าอารามชิงซวีสกัดตีไว้ได้ ทว่ากลับเกิดแสงสว่างไสวฉับพลัน พลานุภาพเพิ่มขึ้นทันทีทันใด ราวกับว่าต้องการตัดแม่น้ำให้แยกจากกันก็มิปาน!
เสียงโครมกึกก้องดังขึ้น น้ำในแม่น้ำที่รินไหลถูกหมอกทำให้กระจาย หินกรวดจำนวนไม่ถ้วนกลิ้งหลุนๆ กระจัดกระจาย ริมแม่น้ำเป็นฝุ่นละอองปลิวฟุ้งทั่วทิศทาง!
เจ้าอารามชิงซวีเปล่งเสียงอ๊ากขึ้น หน้าอกราวกับว่าถูกโจมตีซ้ำ เข่าทั้งสองโค้งงอเล็กน้อย ประหนึ่งว่าวกระดาษที่เส้นขาดปลิวล่องลอยไปยังปลายแม่น้ำ เท้าทั้งคู่ลากเป็นรอยเด่นชัดสองสายอยู่บนพื้น
จนกระทั่งถอยหลังไปสิบกว่าจั้ง เขาถึงจะหยุดลง สีหน้าขาวซีดอย่างยิ่ง บนหน้าอกปรากฏรอยกระบี่ที่ชัดเจนหนึ่งเส้น ริมฝีปากมีโลหิตสดรินไหลไม่หยุด
สั่นสะเทือนไปยังท้องฟ้า จากนั้นร่วงหล่นลงมา เจ้าอารามชิงซวีทั่วทั้งตัวเปียกชุ่ม มองแล้วจนตรอกอย่างยิ่ง
นักบวชหนุ่มผู้นั้นรีบร้อนวิ่งข้ามไปอีกฝั่งของแม่น้ำ
……
……
‘ผีภูเขาแบ่งหินผาอันแข็งแกร่ง’
เฉินฉางเซิงเห็นภาพภาพนี้ ในใจครุ่นคิดเงียบๆ เมื่อแรกเริ่มในการชุมนุมไม้เลื้อย ชีเจียนเคยใช้เพลงกระบี่เขาหลีซานกระบวนท่านี้กับถังซานสือลิ่ว แต่ในเวลานั้นชีเจียนยังมิได้ผ่านขั้นทะลวงอเวจี ยังห่างชั้นจากผีภูเขาแบ่งหินผาที่คนผู้นี้ใช้ออกมาราวกับเป็นคนละความหมายอย่างสิ้นเชิง
เขากับเจ๋อซิ่วหันกายมองไปยังในป่า เห็นเพียงแค่เหลียงเสี้ยวเซียวกับชีเจียนเดินออกมาจากข้างใน
“เจ้าจะไปที่ใด?”
น้ำในแม่น้ำเริ่มรินไหลอีกครา เสียงน้ำกลับไม่อาจกลบเกลื่อนเสียงที่เยือกเย็นของเหลียงเสี้ยวเซียวได้
ฝั่งตรงข้าม อาจารย์ลูกศิษย์ของอารามชิงซวีต่างประคองกันและกัน กำลังเตรียมที่จะจากไป แม้จะอยู่ในระดับทะลวงอเวจีขั้นกลางเช่นกัน แต่วิชาเพลงกระบี่เขาหลีซานเหนือกว่าวิชากระบี่ของอารามชิงซวีมากนัก เป็นเพียงแค่เจ้าอารามที่ไร้ชื่อเสียงผู้หนึ่ง แล้วจะเทียบกับเจ็ดคำโคลงแดนเทพได้อย่างไร นอกจากยอมแพ้ก็คงจะไม่มีวิธีอื่นใดแล้ว
ได้ยินเสียงนี้ เจ้าอารามหันกายไปมอง บนใบหน้าขาวซีดเผยความรู้สึกโกรธเคืองออกมา พลางเอ่ยถาม “เจ้าจะเอาอย่างไร?”
เหลียงเสี้ยวเซียวใบหน้าไร้ความรู้สึกเอ่ยว่า “นำสิ่งของทิ้งไว้”
เจ้าอารามของอารามชิงซวีกัดฟัน นำชิ้นส่วนของศาสตราวิเศษในมือโยนออกไป
เหลียงเสี้ยวเซียวยังคงไม่ได้มีความหมายให้พวกเขาจากไป กล่าวต่อ “จากนั้นมาขอโทษ”
เจ้าอารามชิงซวีเอ่ยตะโกนออกไป “ไม่ต้องรังแกคนจนเกินไป! อย่าได้คิดว่าอำนาจของเขาหลีซานมีมากมาย จึงได้ทำเช่นนี้กับพวกข้า”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้ เขามองไปยังเฉินฉางเซิง กฎระเบียบของสวนโจวก็เป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่ศิษย์น้องของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คู่นั้นสู้เขาไม่ได้ เป็นธรรมดาที่ศาสตราวิเศษจะต้องเป็นของเขา เขาสู้เหลียงเสี้ยวเซียวไม่ได้ แน่นอนว่าจะเอาศาสตราไว้กับตัวไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงถาม เพราะไม่มีเหตุจำเป็นอันใดที่จะต้องขอโทษคนทิศใต้
เหลียงเสี้ยวเซียวราวกับว่าไม่รู้ความหมายของเขา รับศาสตราวุธมาแล้วส่งให้ศิษย์พี่ถงแห่งเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ลังเล
ดินแดนต้าลู่ทางด้านทิศใต้ มีพรรคฉางเซิงและเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คอยเฝ้าสังเกตการณ์และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เช่นนี้ถึงอยู่ภายใต้อำนาจของต้าโจวและนิกายหลวงได้ มีสิทธิ์ค่อนข้างที่จะอิสระมานานหลายปี ลูกศิษย์ของทั้งสองสำนักต่างเรียกกันว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องเป็นประจำ กล่าวว่าเป็นศิษย์สำนักเดียวกันก็คงจะไม่เกินไป
เหลียงเสี้ยวเซียวถือกระบี่ มุ่งหน้าไปยังฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ
เฉินฉางเซิงเอ่ยออกมา “เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ไร้แรงที่จะสู้ต่อไปได้”
ความหมายในประโยคนี้ไม่ได้บอกว่าให้พอได้แล้ว แต่หมายความว่าพอได้แล้ว
เหลียงเสี้ยวเซียวหยุดย่างก้าว หันกายมองไปยังเฉินฉางเซิง นัยน์ตาเยือกเย็น ข้อพิพาทระหว่างพรรคกระบี่หลีซานและสำนักฝึกหลวงยากที่จะแก้ไขได้จำนวนมาก เหลียงเสี้ยวเซียวก็มิได้เหมือนกับโก่วหานสือที่ได้ประสบการณ์กินนอนอยู่ในที่เดียวกันกับเฉินฉางเซิง ในสายตาของเขา เฉินฉางเซิงผู้นี้เดิมทีก็น่ารังเกียจอย่างยิ่ง
เจ๋อซิ่วใบหน้าไร้ความรู้สึกยังคงยืนอยู่ข้างหน้าเฉินฉางเซิง
ถึงแม้ตอนนี้เขาทะลวงอเวจีได้เพียงขั้นต้น เทียบกับเหลียงเสี้ยวเซียวแล้วยังด้อยกว่าอีกหนึ่งขั้น ทว่าบนใบหน้าของเขามิได้มีความหวาดกลัวใดๆ แม้แต่ความตื่นเต้นก็ไม่มี
ก็เหมือนกับอยู่ในป่าด้านนอกสุสานเทียนซู เขาเคยเอ่ยกับเช่นนั้นกับเฉินฉางเซิง เมื่อแรกเริ่มในการต่อสู้ของการสอบใหญ่ถ้าหากสามารถใช้ชีวิตแลกในการต่อสู้ได้ แม้แต่โก่วหานสือเขาก็มิได้เกรงกลัว แล้วจะนับอะไรกับเหลียงเสี้ยวเซียวที่อยู่อันดับสามของเจ็ดคำโคลงแดนเทพเล่า
นี่เป็นการมองเห็นความเป็นความตาย สังหารเผ่ามารมานับไม่ถ้วน จึงมีความมั่นใจเช่นนี้
ชีเจียนจ้องมองเจ๋อซิ่ว ขมวดคิ้วเล็กน้อย เดินไปข้างกายเหลียงเสี้ยวเซียว
เหลียงเสี้ยวเซียวเอ่ยเยาะหยันเฉินฉางเซิง “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เอ่ยสิ่งใด เวลานี้จะมาแสร้งเอาความยุติธรรมรึ?”
เฉินฉางเซิงครุ่นคิด มิได้เอ่ยอธิบายสิ่งที่ตนเตรียมจะทำก่อนหน้านี้
ศิษย์พี่ผู้นั้นของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ปรารถนาให้ทั้งสองฝ่ายมาต่อสู้กันเพราะตน จึงใช้เสียงนุ่มนวลอธิบายออกไปสองประโยค
เหลียงเสี้ยวเซียวมิได้เอ่ยสิ่งใด ความรู้สึกเยาะหยันบนใบหน้ายิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
“ตั้งแต่อยู่สุสานเทียนซู เจ้าคล้ายกับว่ารู้สึกเป็นศัตรูกับข้ามาตลอด”
เฉินฉางเซิงจ้องมองเขาเอ่ยอย่างจริงจังต่อ “ข้าไม่เข้าใจนี่เป็นเพราะเหตุใด”
เหลียงเสี้ยวเซียวคล้ายกับว่าได้ยินคำถามโง่เขลา “ข้าเป็นลูกศิษย์ของพรรคกระบี่หลีซาน มีความรู้สึกเป็นศัตรูของเจ้า มิใช่ว่าเป็นเรื่องที่ต้องกระทำหรอกหรือ?”
เฉินฉางเซิงครุ่นคิด ชี้ไปยังจวงห้วนอวี่ที่อยู่ใต้ต้นไม้ “เขาเป็นนักเรียนของสำนักเทียนเต้า เพราะเหตุใดก็มีความรู้สึกเป็นศัตรูต่อข้ามาตลอดเล่า?”
เหลียงเสี้ยวเซียวกล่าวตอบ “หรือว่าเจ้าควรครุ่นคิดเสียหน่อย เมื่อคนทั่วทั้งโลกมีความรู้สึกเป็นศัตรูกับเจ้า นั่นเป็นเพราะเจ้าทำสิ่งใดผิดหรือไม่?”
เฉินฉางเซิงครุ่นคิดชั่วครู่ เอ่ยออกมา “ข้าเคยคิดปัญหานี้อย่างจริงจังแล้ว พบว่าอาจเป็นเพราะโลกนี้เข้าใจผิด”
ชีเจียนกระตุกแขนเสื้อของเหลียงเสี้ยวเซียวเบาๆ
ท่าทางของเหลียงเสี้ยวเซียวเมินเฉย มิได้เอ่ยสิ่งใดต่อ
เฉินฉางเซิงสั่นศีรษะ เดินข้ามแม่น้ำไป มาถึงยังข้างกายของอาจารย์และศิษย์อารามชิงซวี
จ้องมองหน้าอกของเจ้าอารามมีรอยกระบี่บาดลึกน่าหวาดกลัว เขาจึงเอ่ยว่า “ได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเจ้าจงออกไปเสีย”
นักบวชหนุ่มผู้นั้นในใจครุ่นคิดเพิ่งจะเข้ามาสวนโจวได้เพียงแค่ครึ่งวัน อะไรก็มิได้จะให้ออกไปแล้ว ใบหน้าจึงเผยท่าทางไม่ยินยอมออกมา
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้อาจารย์เจ้าก็เคยเอ่ยแล้ว นี่คือกฎของสวนโจว”
นักบวชหนุ่มจ้องมองเขา กล่าวด้วยความโมโห “เจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวง เหตุใดถึงไม่ช่วยพวกเรา”
เฉินฉางเซิงมิได้เอ่ยตอบ ไปจับชีพจรของเจ้าอารามชิงซวี ก้มศีรษะเอ่ยออกมา “จะต้องทำเวลาหน่อยแล้ว”
เจ้าอารามของอารามชิงซวีพยักหน้าอย่างอ่อนแรง เขากับลูกศิษย์มีความรู้และประสบการณ์ไม่เหมือนกัน รู้ว่าก่อนหน้านี้ถึงแม้เฉินฉางเซิงไม่ได้ลงมือช่วยเหลือ แต่ถ้าหากไม่เป็นเพราะเขาอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย ตนจะต้องถูกผู้แข็งแกร่งหนุ่มน้อยพรรคกระบี่หลีซานทำร้ายบาดเจ็บยิ่งกว่านี้
เขาหยิบเส้นตะกั่วออกมาจากเอว จุดไฟด้วยมือที่สั่นเทา
ควันสีเขียวที่เบาบาง ได้เผาไหม้จากส่วนปลาย ค่อยๆ ล่องลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นหายลับไปในท้องฟ้าของสวนโจวเชื่องช้า
เฉินฉางเซิงคล้ายกับว่ารู้สึกได้เลือนราง ควันสีเขียวนี้ได้ผสมวนเวียนอยู่ในกลางอากาศ เริ่มมีปฏิกิริยาโต้ตอบแล้วเปิดช่องว่างที่กั้นอยู่ระหว่างสวนโจวและโลกแห่งความเป็นจริงออก
กล่าวตามเหตุผล ความรู้ทางด้านช่องว่างเป็นวิทยาการขั้นสูงระดับผู้เชี่ยวชาญ เส้นตะกั่วที่ลุกไหม้เส้นหนึ่ง ไม่อาจเพียงพอที่จะเคลื่อนย้ายคนหนึ่งไปสู่ด้านนอกของสวนโจว เช่นนั้นแล้ววิธีการใช้เส้นตะกั่วเหล่านี้คงจะเป็นกฎระเบียบของโลกในสวนโจวเอง จนถึงขนาดว่าอาจจะเป็นผลิตผลของสวนโจวในหลายปีก่อนหน้านี้เอง
น้ำในแม่น้ำค่อยๆ ไหลริน ริมฝั่งแม่น้ำที่เปียกชุ่มก็เปลี่ยนเป็นแห้งผากอีกครา
นักบวชหนุ่มถึงแม้ยังคงไม่ยินยอม แต่กลับไม่มีหนทางอื่น เขารู้ดี หลังจากอาจารย์ไปแล้ว ตนจะต้องออกจากสวนโจวตามไปอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรก็ตามจากระดับวิทยายุทธ์และเพลงกระบี่ของตน เดิมทีก็ไม่อาจต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งในสวนโจวได้
เวลาค่อยๆ หมุนผ่านไป เส้นตะกั่วของเจ้าอารามชิงซวีค่อยๆ เผาไหม้หมดลงเชื่องช้า
น้ำในแม่น้ำยังคงไหลริน วัชพืชในน้ำยังคงโบกสะบัดไม่หยุดนิ่ง
มิได้เกิดสิ่งใดขึ้น
เจ้าอารามชิงซวียังคงนอนอยู่ข้างริมแม่น้ำ
เฉินฉางเซิงรู้สึกตกตะลึง เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “หรือว่าเส้นตะกั่วนี้หมดอายุแล้ว?”
เจ๋อซิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้องมองนักบวชหนุ่มผู้นั้น
นักบวชหนุ่มตะลึงงัน จากนั้นถึงมีปฏิกิริยาโต้ตอบ พลันหยิบเส้นตะกั่วออกมาจากเอวของตน เพราะว่าตื่นเต้น มือจึงสั่นเทาเล็กน้อย
หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ เส้นตะกั่วของนักบวชหนุ่มก็เผาไหม้หมด แต่ว่ายังคงไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เขาคลึงปลายเส้นที่หลงเหลือดู สีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีด
เจ้าอารามชิงซวีสีหน้ายิ่งทวีความขาวซีดเข้าไปอีก
กระบวนท่าผีภูเขาแบ่งหินผาของเหลียงเสี้ยวเซียวรุนแรงเหลือเกิน ปะทะกันเพียงแค่สองกระบวนท่า หน้าอกของเขาก็ปรากฏรอยบาดแผลน่าหวาดกลัวขึ้นมา ขณะนี้โลหิตสดยังคงไม่หยุดรินไหล ถ้าหากกลับไปยังประตูสวนเพื่อให้นักบวชนิกายหลวงรักษาไม่ทัน เกรงว่าจะอันตรายถึงชีวิต
“แท้จริงแล้วเกิดสิ่งใดขึ้น?”
นักบวชหนุ่มเอ่ยถามด้วยความลุกลี้ลุกลน จึงมองไปรอบๆ ตามจิตใต้สำนึก
ป่าริมแม่น้ำทั่วทั้งผืนเงียบเชียบ เวลานี้เองจู่ๆ ก็คล้ายกับว่ามืดทึบน่ากลัวขึ้นมา
เรื่องที่เกิดขึ้นทางนี้ สุดท้ายแล้วก็สั่นคลอนไปถึงคนฝั่งทางนู้น
ชีเจียนกับเหลียงเสี้ยวเซียวและศิษย์พี่ศิษย์น้องของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เดินเข้าไปหา จวงห้วนอวี่ก็เดินเข้าไปพอดี
“ไม่ได้ปัญหาขึ้นหรอกใช่หรือไม่? อาจารย์…อาจารย์ข้าจะทำอย่างไร? เขายังคงมีโลหิตไหลออกมา คงจะไม่เสียชีวิตใช่หรือไม่?”
นักบวชหนุ่มจ้องมองเฉินฉางเซิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่สงบและรอคอย
เหลียงเสี้ยวเซียวจ้องมองบาดแผลกระบี่บนหน้าอกของเจ้าอารามชิงซวี ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงอเวจีที่เข้ามาในสวนโจว ล้วนแต่เป็นเผ่ามนุษย์ผู้เป็นความหวังในการต่อสู้กับเผ่ามาร เหล่านักปราชญ์จะดูเขาเสียชีวิตง่ายดายได้อย่างไร ปีนั้นที่ตั้งกฎระเบียบให้สวนโจว แม้ดูแล้วจะโหดร้ายทารุณไปบ้าง แต่ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดหรือใจคนที่ดุร้ายอย่างไรก็ตาม เมื่อถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ก็สามารถใช้เส้นตะกั่วออกจากสวนโจวได้
ทว่าขณะนี้เส้นตะกั่วไร้ผลเสียแล้ว
เฉินฉางเซิงหยิบตลับเข็มออกมา จากนั้นจึงห้ามโลหิตให้แก่เจ้าอารามชิงซวีอย่างง่ายๆ จากนั้นจึงยืดตัวขึ้น จ้องมองไปยังแม่น้ำที่รินไหลไกลออกไป