ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 248 บุตรสาวของท่านซู

เจ๋อซิ่วเดินไปข้างหน้า จ้องมองร่มกระดาษทองในมือเขา เอ่ยถามออกไป “เกิดอะไรขึ้น?”

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร หลังจากคิดจึงตอบออกไปว่า “ทันใดใจคิด”

เจ๋อซิ่วเงียบนิ่งชั่วครู่ จึงเอ่ยว่า “นั่นเป็นอาการป่วย”

เฉินฉางเซิงยิ้มออกมาพลางกล่าวตอบ “อาการป่วยนี้ข้าควรรักษาได้”

คนทั้งสองเดินลงสะพานหิน ถือร่มกระดาษทอง หายเข้าไปในสายฝนและเมฆหมอก

หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ สตรีของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าที่เข้ามาในสวนโจวภายหลังก็ได้มาถึงบนสะพานหิน

หนึ่งในนั้นมีสตรีที่ใบหน้างดงาม ท่าทางธรรมดา เหมือนกับลูกศิษย์ฝึกบำเพ็ญเพียรที่มักจะพบเจอในพรรคได้ทั่วไป

สตรีผู้นั้นยืนอยู่ตรงหัวสะพาน มองไปยังสายฝนที่ตกมาจากฟากฟ้า ทว่ากลับมีท่าทางไม่ธรรมดา

สตรีวัยที่มีอายุมากกว่าเล็กน้อยของกระทรวงสิบสามชิงเหย้า เมื่อมองใบหน้าด้านข้างของหญิงสาว ดวงตาได้เผยเห็นความรู้สึกที่น่าหวาดกลัว

และมีหญิงสาวนางหนึ่งจ้องมองหญิงสาวผู้นั้นแล้วรวบรวมความกล้าเอ่ยออกไป “ศิษย์พี่ ท่านไม่อยากเจอเขามากเลยรึ?”

หญิงสาวนางนั้นเงียบนิ่งพลางเอ่ยออกมา “เจอหรือว่าไม่เจอ ก็มิได้ต่างกัน เช่นนั้นแล้วไยต้องพบเจอ ข้าไม่ชื่นชอบความยุ่งยากที่สุด”

……

……

ท่ามกลางสายลมหิมะห่างจากเมืองฮั่นชิวหลายหมื่นลี้ บุรุษเผ่ามารที่สวมชุดคลุมสีดำปกคลุมเต็มร่างกายมองแผ่นสีดำ คิ้วขมวดเล็กน้อย

เวลาก่อนหน้านี้ ภาพเบื้องหลังของเฉินฉางเซิงหายไปไม่พบเจอ เวลาต่อมาเจ๋อซิ่วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เขาไม่รู้ว่าที่เฉินฉางเซิงถือนั้นคือร่มของผู้อาวุโสของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย นิ่งเงียบครุ่นคิด นี่แท้จริงแล้วเกิดสิ่งใดขึ้น

โลกปัจจุบันนี้ ไม่มีผู้ใดเข้าใจสวนโจวมากกว่าเขา และก็ไม่มีผู้ใดวางแผนได้ลึกซึ้งเท่าเขา เขาคิดว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ของสวนโจวได้ ถ้าหากแผ่นสีดำคือกระดานหมากรุก ผู้คนในสวนโจวก็คือตัวหมาก เวลานี้อยู่ๆ กลับพบว่า มีตัวหมากหายไปจากหมากรุก นี่ทำให้เขาแปลกประหลาดใจอย่างยิ่ง

กาทองแดงที่ลอยวนเวียนอยู่ในสายลมหิมะสามใบ จุดไฟชีวิตของเจ๋อซิ่วและคนอื่น ถูกเขาผูกโยงไว้กับผู้ใต้บังคับบัญชาเขาที่แทรกซึมเข้ามาในสวนโจว แต่เขายังคงไม่ทันได้จัดการเฉินฉางเซิง เขาทำได้เพียงแค่รอคอยให้เฉินฉางเซิงปรากฏอีกครั้ง และก็ไม่รู้ว่าสายฝนโปรยปรายในสวนโจวจะหยุดตกเมื่อใด

สายลมหิมะอยู่ๆ ก็หยุดแล้ว

มิใช่การหยุดธรรมดา แต่เป็นการหยุดจริงๆ

สายลมเงียบเชียบไร้เสียง ผืนหิมะขนหางของนกยูง หยุดนิ่งไม่ลอยวนเวียนในอากาศ แพร่กระจายปรกฟ้าคลุมดินบริเวณรอบกายของบุรุษเผ่ามาร

บุรุษเผ่ามารแหงนหน้าขึ้น จ้องมองไปยังพื้นที่ที่อยู่ส่วนลึกของหิมะ ท่าทางยังคงเฉยเมยเหมือนเก่า สายตาทั้งคู่หรี่ลงเล็กน้อย เป็นเส้นเล็กยาวเด่นชัดอีกทั้งงดงาม กลับทำให้บรรยากาศอึมครึม

รอยกระบี่ที่เด่นชัด ปรากฏตรงที่แห่งนั้นเชื่องช้า ราวกับว่าได้ตัดช่องว่างกลางผืนหิมะให้เปิดออก

นี่กระบี่ที่ไม่รู้ว่ามาจากแห่งใด คิดไม่ถึงว่าจะสามารถหยุดสายลมหิมะของเมืองมารได้?

“เพื่อเพราะว่าต้องการลอบทำร้ายคนรุ่นหลัง จึงได้เปิดโปงวิชาวิทยายุทธ์ของตน หรือว่าเจ้าไม่รู้สึกว่าทุ่มเทสิ่งแลกเปลี่ยนมากมายไปเสียหน่อย?”

เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางหิมะ เสียงนี้เย็นฉ่ำอย่างยิ่ง รับรู้ได้ถึงความรู้สึกเชื่องช้าสบาย

“เอ่ยตามความจริง พวกเราเหล่านี้ตรวจสอบมาเป็นเวลาหลายร้อยปี จนกระทั่งวันนี้ถึงล่วงรู้ ที่แท้กุนซือเผ่ามารคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเผ่าพ่อมดมังกรเทียน”

บุรุษเผ่ามารยิ้มเล็กน้อย มิได้เอ่ยสิ่งใด

ที่แท้ก็เป็นกุนซือเผ่ามารชุดดำผู้ลึกลับและน่าหวาดกลัวที่สุดในตำนาน

มิน่าเล่าทั้งร่างกายล้วนสวมชุดคลุมยาวสีดำดูสะดุดตาท่ามกลางสายลมหิมะเช่นนี้

เช่นนั้นแล้วเจ้าของเสียงที่เยือกเย็นนี้คือผู้ใด?

เผชิญหน้ากับกุนซือเผ่ามารชุดดำที่ไม่อาจคาดเดาได้ คนผู้นั้นมิได้มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย จนถึงขนาดว่ามิได้สนใจเสียด้วยซ้ำ

เสียงที่น่ากลัวแหวกอากาศแยกออกมา ร่องรอยของกระบี่กลางอากาศผืนหิมะค่อยๆ ขยายตัวขึ้น มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากข้างใน

เดินออกมาจากร่องรอยของกระบี่ คนผู้นั้นราวกับว่าถูกชโลมไปด้วยความแหลมคมหนึ่งชั้น ระหว่างเสื้อผ้าและหน้าตามีแสงสว่างโชติช่วงเปล่งออกมา

จนกระทั่งคนผู้นั้นเหยียบลงบนหิมะไม่กี่ก้าว ความแหลมคมเหล่านั้นถึงได้หายไป

นั่นคือบุรุษเผ่ามนุษย์ผู้หนึ่ง ไม่รู้ว่าอายุเท่าใด ถ้าหากมองเพียงแค่ท่าทางที่เชื่องช้า เหมือนกับว่าเป็นคนหนุ่ม แต่เมื่อมองเข้าไปยังนัยน์ตาส่วนลึกที่สงบนิ่ง ราวกับว่าเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรมาแล้วพันปี

บุรุษผู้นั้นยืนมือไขว้หลังอยู่บนพื้นหิมะ ระหว่างเอวได้คาดกระบี่ไว้ กระบี่นั้นกวัดแกว่งเบาๆ คล้ายกับว่าตามแต่ใจ ด้วยเหตุนี้จึงสง่างามผ่าเผยอย่างยิ่ง

“หากต้องการทำเรื่องบางอย่างให้สำเร็จลุล่วง ก็จะต้องแลกเปลี่ยนกับบางอย่าง”

คนชุดดำมองไปยังบุรุษผู้นั้น แล้วเอ่ยออกมาด้วยความสงบ “ซูหลี เจ้าท่องเที่ยวพเนจรไปบนโลกใบนี้เป็นเวลาหลายร้อยปี หรือว่ายังไม่เข้าใจในเหตุผลนี้อีก?”

แซ่ซู อีกทั้งยังทำให้กุนซือชุดดำเผ่ามารให้ความสนใจและยินยอมสนทนาด้วย บนโลกใบนี้มีเพียงแค่หนึ่งคน

ซูหลี อาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซาน

สำหรับเผ่ามนุษย์แล้วนั้น กุนซือชุดดำเผ่ามารเป็นฝันร้ายที่น่ากลัวที่สุด อยู่ในระดับที่ว่าน่าเกรงกลัวมากกว่าราชามารเสียอีก

เช่นนั้นแล้วซูหลีอาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซาน ก็เป็นเรื่องเล่าขานที่แปลกประหลาดที่สุด เป็นผืนน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตาผู้เอาแต่ใจตนเอง

เพราะว่าสวนโจว พวกเขาถึงพบเจอกัน เช่นนั้นอีกชั่วครู่ผู้ใดจะจากไป?

……

……

ซูหลีมิได้ใส่ใจที่จะสนทนากับชุดดำ

เริ่มจากเมื่อหลายร้อยปีก่อน เขาไม่ได้สนใจที่จะสนทนากับศิษย์น้องร่วมสำนัก หรือว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ สังฆราช จักรพรรดิไท่จง และบรรดาผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น

ความสนใจของเขาอยู่ที่กระบี่ อยู่ที่การเดินทาง อยู่ที่มวลหมู่เมฆและดวงดาวในท้องฟ้า

เขาโพล่งถามออกมาตรงๆ “เจ้าส่งลูกน้องเข้าไปในสวนโจวกี่คน? เผ่าพ่อมดมังกรเทียนยังมีคนให้เจ้าใช้งานอีกรึ?”

คนชุดดำโบกมือ เมฆหมอกบนแผ่นสีดำได้เพิ่มขึ้น ทำลายภาพทิวทัศน์และรอยเท้าของผู้คนในสวนโจว

เขามองไปยังซูหลี หรี่ดวงตาลง ยิ้มพลางเอ่ยถามออกไป “ทำไม? เป็นห่วงบุตรสาวเจ้าอย่างนั้นรึ?”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ซูหลีก็หรี่ดวงตาลงแล้วคลี่ยิ้มออกมา

เมื่อคนชุดดำหรี่ดวงตาลง ดวงตายาวละเอียดและงดงาม ทว่ากลับเต็มไปด้วยไอสังหาร น่าหวาดกลัวยิ่งนัก

เมื่อซูหลีหรี่ดวงตาลง ดวงตาหรี่ยิ้มคล้ายกับว่ากำลังดีอกดีใจ เวลานี้กลับคล้ายว่าความแหลมคมที่อยู่บนกระบี่

เขาเอ่ยอย่างถอดทอนใจ “สมกับเป็นบุรุษชุดดำในตำนาน ที่จริงแล้วน่าเกรงกลัวยิ่ง คาดไม่ถึงว่าแม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ล่วงรู้”

คนชุดดำเอ่ยออกมาราบเรียบ “บนโลกใบนี้เรื่องที่ข้าไม่รู้มีน้อยอย่างยิ่ง”

ใบหน้ายิ้มแย้มของซูหลีหุบลงฉับพลัน ท่าทางจริงจังเอ่ยถามออกไป “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ เมื่อข้าระบายความคลุ้มคลั่ง จะน่าหวาดกลัวขนาดไหน?”

คนชุดดำยิ้มแย้มยิ่งเพิ่มความจริงใจ กล่าวออกมา “ปีนั้นเมื่อเจ้าบ้าคลั่งเป็นครั้งแรก ค่ายกลใหญ่หมื่นกระบี่ของเขาหลีซานก็ถูกเจ้าทำลาย ครั้งที่สองเมื่อเจ้าบ้าคลั่ง ผู้อาวุโสของพรรคฉางเซิงก็เสียชีวิตเป็นจำนวนสิบเจ็ดท่าน ด้วยเหตุนี้จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ไม่อาจเลือกผู้นำพรรคใหม่ได้ หกนักปราชญ์จึงขาดไปหนึ่งคน พวกเจ้าเผ่ามนุษย์ต่างกล่าวกันว่าฮว่าเจี่ยเซียวจางเป็นคนบ้า แต่กลับไม่รู้ว่าแม้แต่หัวนิ้วเท้าของเจ้าเขาก็ยังเทียบไม่ได้ เพียงแค่เมื่อเจ้าบ้าคลั่งแล้วก่อเรื่องราวเหล่านั้น กลับไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเท่านั้นเอง”

ซูหลีกล่าวอธิบายอย่างตั้งใจ “เรื่องที่สองมิได้เกี่ยวข้องกับข้า อย่างน้อยข้าก็จะไม่ยอมรับ”

คนชุดดำยิ้มออกมา มิได้เอ่ยสิ่งใด

ซูหลีกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าบ้าคลั่งแล้วน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง เพราะเหตุใดยังจะต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า?”

คนชุดดดำพลันหุบใบหน้ายิ้มแย้มไว้ จ้องมองเขาเอ่ยด้วยความจริงจังอย่างยิ่ง “นี่อธิบายได้ว่า ข้ามีความมั่นใจที่จะควบคุมเรื่องทุกอย่างไว้ได้”

ซูหลีขมวดคิ้วพลางกล่าวไว้ “ข้าไม่อาจเข้าใจได้อย่างยิ่ง เจ้าใช้อะไรมาควบคุมสวนโจว บางคราข้าถึงกับสงสัยว่าเจ้าคือใต้เท้าหวังจือเช่อ”

ชุดดำเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “หลายปีผ่านมา เจ้าท่องเที่ยวในโลกนี้มาหลายปี ต้องการตามหาข้ามาโดยตลอดเพียงแค่อยากจะถามแค่นี้รึ?”

ซูหลีจ้องมองเขาเงียบนิ่ง มือขวาร่วงหล่นบนด้ามกระบี่ กล่าวว่า “จนกระทั่งถึงขณะนี้ ข้ายังคงไม่รู้ว่าเจ้าคือผู้ใด แต่ในเมื่อตามหาเจ้าได้ไม่ง่ายดาย ข้าก็ไม่อยากจะปล่อยเจ้าไปอีก”

กุนซือชุดดำเผ่ามาร เป็นศัตรูที่ลึกลับและน่าหวาดกลัวที่สุดของเผ่ามนุษย์

ปีนั้นถ้าหากไม่ใช่เขา หรือกองทัพทหารของจักรพรรดิไท่จง ได้ยึดจุดยุทธศาสตร์ของเมืองเสวี่ยเหล่านานแล้ว เผ่ามารยังคงเป็นคำที่อยู่ในประวัติศาสตร์

หลายปีต่อมา เรื่องที่ผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์บนโลกใบนี้อยากจะทำที่สุด ก็คือตามหาคนชุดดำ จากนั้นก็สังหารคนชุดดำเสีย

ปัญหาอยู่ที่ จนกระทั่งถึงขณะนี้ ยังคงไม่มีผู้ใดล่วงรู้สถานะที่แท้จริงของคนชุดดำ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะตามหาร่องรอยของเขา

จนกระทั่งถึงวันนี้ ชุดดำได้เด็ดเส้นสายรุ้งในท้องฟ้า เพราะเพียงแค่ต้องการเปิดประตูสวนโจว

“หาไม่เจอนั้นไม่สำคัญ สำคัญก็คือสังหารข้า ปัญหาอยู่ที่ เจ้าสังหารข้าได้รึ?”

ชุดดำจ้องมองซูหลีเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ข้าลงมือกับสวนโจว จึงเผยร่องรอยออกมา ถูกเจ้าถือโอกาสหาพบ แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ นี่อาจเป็นการดักซุ่มโจมตีเจ้าอยู่ ก็เหมือนกับที่เคยพูดก่อนหน้านี้ เจ้าตามหามาหลายร้อยปีก็ตามหาไม่เจอ เช่นนั้นแล้ว ถ้าหากข้าไม่อยากให้เจ้าตามหา เจ้าจะสามารถตามหาข้าได้อย่างไร?”

ดวงตาซูหลีหรี่เล็กยิ่งทวีความร้ายกาจขึ้น แม้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ความแหลมคมกลับค่อยๆ เพิ่มขึ้น

คนชุดดำราวกับว่ามิได้สังเกตเห็น เอ่ยอย่างมิได้ใส่ใจ “แรกเริ่มให้สมาชิกเผ่านามเยี่ยซื่อผู้นั้นเข้าไปลอบสังหารองค์หญิงเผ่าปีศาจ ก็เพราะว่าต้องการให้พวกเจ้าเผ่ามนุษย์แสวงหาสวนโจวพบก่อน เพราะว่าต้องการได้รับความไว้วางใจจากพวกเจ้า ข้าถึงขนาดว่าหยิบยืมตาข่ายฟ้าของฝ่าบาทราชามารมา แน่นอนว่า เจ้าเด็กชิวซานจวินที่อยู่ด้านนอกสวน ได้ทำการนอกเหนือสิ่งที่ข้าคาดคิดไว้ เดิมทีข้าที่เตรียมแผนการบางอย่างไว้ จึงไม่อาจจะสำเร็จได้ ทำได้เพียงแค่เลือกแผนอื่น”

ซูหลีเอ่ยถาม “เจ้าต้องการสังหารคนที่อยู่ในสวนโจวรึ?”

คนชุดดำกล่าวตอบ “ไม่ผิด”

ซูหลีเอ่ยออกมา “ถ้าหากเป็นฝีมือระดับเจ้า เพราะเหตุใดหลายร้อยปีผ่านมา เจ้ามิได้ลงมือในสวนโจวมาตลอด?”

คนชุดดำจ้องมองเขาคลี่ยิ้มพลางเอ่ยต่อ “เพราะว่าสิบกว่าปีที่แล้วเจ้าเพิ่งจะมีบุตรสาวที่รักใคร่ดังหัวแก้วหัวแหวน เพราะว่าปีนี้บุตรสาวของเจ้าถึงจะเข้าสวนโจวได้ ข้าอยากให้เจ้ารับรู้ ข้ามีความสามารถที่จะสังหารบุตรสาวของเจ้า ด้วยเหตุนี้เจ้าจะต้องมาหาข้า เช่นนี้แล้ว ข้าถึงจะสังหารเจ้าได้”

ซูหลีราวกับว่ากำลังคิดขึ้นได้ เอ่ยว่า “สุดท้ายแล้วเดิมทีก็เพียงเพราะว่าต้องการสังหารข้ารึ?”

คนชุดดำเอ่ย “เสียความคิดในการวางหมากมากมาย จะต้องได้รับประโยชน์ที่เพียงพอ”

ซูหลีเอ่ยออกมาด้วยความอึดอัดเล็กน้อย “ข้าไม่ใช่นักปราชญ์ และก็มิใช่หนึ่งในมรสุมแปดทิศ สำหรับเผ่ามนุษย์แล้ว ข้ามิได้สำคัญแต่อย่างใด”

“เจ้านี่มิใช่เป็นการถ่อมตัว แต่กำลังหัวเราะเยาะสายตาของข้า”

คนชุดดำสั่นศีรษะ เอ่ยออกมาเรียบเฉย “คำที่เรียกว่าห้านักปราชญ์ แปดมรสุม ในสายตาของข้าล้วนแต่ไม่เพียงพอให้เกรงกลัว เพราะว่าพวกเขาแก่หงำเหงือกไม่แปรเปลี่ยน มิได้คิดแสวงหาความก้าวหน้า แต่เจ้าแตกต่างออกไป เจ้ามิได้เป็นคนที่ปรารถนาจะควบคุมโลกใบนี้ อยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง กล้าสังหารก็สังหารได้ ชื่นชอบสังหารก็สังหารได้ ดีเยี่ยมจนถึงขนาดว่าสังหารได้อย่างง่ายดาย เผ่าพันธุ์ข้าต้องการจะเอาชนะเผ่าพันธุ์มนุษย์ คนที่เป็นดังเช่นเจ้าจะต้องสังหารเสีย”

ซูหลีเงียบนิ่งเป็นเวลานาน อยู่ๆ ก็รู้สึกรำคาญใจพลางเอ่ยออกมา “เพราะเหตุใดข้ารู้สึกว่าประโยคนี้ฟังดูแล้วดีใจอย่างยิ่ง?”

ชุดดำยิ้มออกมา มิได้เอ่ยสิ่งใด หยิบแผ่นสีดำขึ้นมาเคาะเบาๆ เห็นเพียงแค่เมฆหมอกหยุดลงพลัน ทั้งหมดทั้งมวลก็กลับมาเป็นดังก่อนหน้านี้

ท่าทางของซูหลีกับเยือกเย็น กล่าวถามออกไป “เจ้าจะปิดสวนโจวรึ?”

ชุดดำกล่าวตอบ “นี่เป็นโลกของท่านโจว ถึงแม้ว่าข้าจะเข้าใจทั้งหมดก็ไม่อาจปิดได้ แต่ว่าปิดชั่วคราวเพียงแค่ไม่กี่วันนั้นย่อมทำได้”

ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “ที่จริงแล้วเจ้าต้องการจะทำสิ่งใด?”

ชุดดำกล่าวตอบ “ข้าเคยบอกไปแล้ว เสียความคิดในการวางหมากมากมาย จะต้องได้รับประโยชน์ที่เพียงพอ นอกจากเจ้า ข้ายังต้องการสังหารคนอีกจำนวนมาก”

ซูหลีเอ่ยเสียงเย็น “มีเพียงแค่ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรขั้นทะลวงอเวจีถึงจะเข้าสวนโจวได้ ถึงเจ้าจะวางแผนมาเป็นเวลานาน ทว่าลูกน้องที่แอบเข้าไปอย่างลับๆ ถึงแม้จะแข็งแกร่งอีกเพียงใด เผ่ามารเพียงแค่ไม่กี่คนจะเอาชนะคนหลายร้อยคนได้รึ? เผ่ามารได้รับความเอาใจใส่จากกฎสวรรค์ สามารถฝึกบำเพ็ญเพียรได้ตั้งแต่กำเนิด ร่างกายเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่เพราะเหตุใดถึงไม่อาจเอาชนะเผ่ามนุษย์ของพวกเราได้มาโดยตลอด? เพราะว่าพวกเราอาศัยจำนวนคน แล้วรังแกพวกเจ้าเผ่ามารที่มีจำนวนน้อย!”

“เช่นนั้นแล้วเจ้าเคยคิดมาก่อนหรือไม่ เพราะเหตุใดเผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าไม่เคยเอาชนะพวกข้ามาได้ตลอด เพราะว่าพวกเจ้าคนยิ่งมากแล้ว ก็เกิดความขัดแย้งภายในได้ง่าย นอกจากหมาในแล้ว ในดินแดนต้าลู่ข้ายังไม่เคยพบเห็นเผ่าพันธุ์ที่ชื่นชอบเข่นฆ่ากันเองดังเช่นเผ่ามนุษย์ของเจ้า แน่นอนว่า ข้าก็ไม่เคยคิดมาก่อน ว่าเปิดประตูสวนโจวหนึ่งบานว่าจะสามารถฝังศพผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ได้หลายร้อยคน ข้าต้องการสังหารเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น นี่กลับเป็นเรื่องไม่ลำบากแต่อย่างใด”

ซูหลีเอ่ยถามออกไป “เจ้าอยากสังหารผู้ใด?”

คนชุดดำคลี่ยิ้มพลางเอ่ยออกมา “เจ๋อซิ่วช่างเหมือนเจ้าในปีนั้น ด้วยเหตุนี้จะต้องสังหารเขา หญิงสาวทั้งสองคน หนึ่งในนั้นก็คือบุตรสาวเจ้า ก็จะต้องตาย หนุ่มน้อยสำนักฝึกหลวงที่นามว่าเฉินฉางเซิง? ก็เป็นคนทั้งสี่คนนี้ ข้าเสียดายอย่างยิ่งโก่วหานสือไม่ได้เข้ามาในสวนโจว มิเช่นนั้นก็ใกล้จะครบแล้ว เพราะเหตุใดจะต้องสังหารคนทั้งสี่นี้น่ะหรือ? เพราะว่าพวกเขาเป็นอนาคตของเผ่ามนุษย์ แต่เจ้าเป็นปัจจุบันของเผ่ามนุษย์ สวนโจวได้ปรากฏอีกครา ช่วยให้ข้าจัดการปัจจุบันและอนาคตของเผ่ามนุษย์ คิดแล้วหากพวกเขาได้รู้เรื่องนี้ ควรที่จะปลื้มใจถึงจะถูก”

หลังจากซูหลีเงียบนิ่งชั่วครู่เอ่ยว่า “แล้วชิวซานจวินเล่า?”

“สายเลือดมังกรที่แท้จริง อายุยังไม่เต็มยี่สิบปีก็สำเร็จขึ้นรวบรวมดวงดาว…ที่จริงแล้วเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง”

คนชุดดำจ้องมองเขายิ้มพลางเอ่ยต่อ “เสียดายชนรุ่นหลังของเจ้าเป็นคนงมงายในความรัก เมื่อเขารู้ว่าเปิดสวนโจวก็เท่ากับให้เป็นการเปิดประตูให้คนทั้งสี่ตรงดิ่งไปสู่เหว เมื่อเขารู้ว่าสวีโหย่วหรงจะเสียชีวิตเพราะเขา เขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต รับมือกับคนที่งมงายในความรัก ไม่สังหารเขายังโหดร้ายมากกว่าสังหารเสียอีก”

ซูหลีเอ่ยต่อ “หวังผ้อ เซี่ยวจาง เหลียงหวังซุน”

ทั้งสามชื่อนี้ ล้วนแต่อยู่บนประกาศเซี่ยวเหยา

เขาเอ่ยออกมาเป็นคำถามและเป็นการท้าประลอง

คนชุดดำครุ่นคิด หลังจากนั้นจึงเอ่ยออกมา “ก็เป็นดังเช่นที่เจ้าพูด เผ่ามนุษย์เกิดได้ง่ายดายเช่นนี้ ข้าจะต้องใช้ความอดทนเสียหน่อย ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ค่อยๆ สังหาร ข้ามาคิดดูแล้ว คงจะมีสักวันหนึ่งที่จะสังหารจนราบคาบได้”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ เขาไอออกมา ใบหน้าที่เฉลียวฉลาดมีความสามารถแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด ผิวหนังก็เปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น คล้ายกับว่าเกิดสิ่งผิดปกติ ริมฝีปากปรากฏโลหิตสดไหลซึมออกมา

เงารูปร่างของซูหลีก็ได้ขยับวูบวาบเล็กน้อย นัยน์ตาคล้ายกับว่ามืดมัว

จนกระทั่งถึงเวลานี้ หิมะในอากาศได้หยุดลง ถึงปรากฏเป็นรอยกระบี่ที่ออกพลาดหลายร้อยสาย

บางรอยกระบี่เข้าไปในกลางหิมะ จนกระทั่งคล้ายกับว่ากำลังทำลายท้องฟ้า

แต่สุดท้ายแล้วไม่อาจทำลายได้ เพราะว่าด้านนอกหิมะกลางอากาศนั้น ยังมีลมหิมะขนาดใหญ่พัดผ่านอยู่

เดิมทีขณะที่สนทนากัน ผู้แกร่งกล้าทั้งสองคนนี้ ได้ต่อสู้กันมาตลอด

ตามเสียงการไอของชุดดำ หิมะในอากาศที่หยุดลงค่อยๆ ขยับตัว หิมะจึงได้ร่วงหล่นมาอีกครา

เงาร่างประหนึ่งเทือกเขาปรากฏอยู่บริเวณรอบๆ ทุ่งหิมะ บีบบังคับน่ากลัวจนถึงสุดขีด

มีขุนพลทหารหลายนายปรากฏในสนาม!

มีเงาพระอาทิตย์เกิดขึ้นในเมืองเสวี่ยเหล่าอยู่ไกลโพ้น ปกคลุมท้องฟ้าครึ่งหนึ่ง แล้วร่วงหล่นยังบนพื้นหิมะ

ซูหลีตกตะลึง หันกายมองไปยังทิศใต้ หรี่ดวงตาทั้งคู่ ท่าทางผิดหวังเล็กน้อย คล้ายกับว่ากำลังปลงกับทั้งหมด

จากนั้น เขาจึงตะเบ็งเสียงออกมา “คนรีบมาสิ!”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset