สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1558 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1398

มีคนรู้สึกยินดีกับความโชคร้ายของคนอื่น มีคนที่ไม่ใส่ใจเพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเองส้งน่าเม้มปากสีชมพูของเธอ เริ่มที่จะระมัดระวังคนที่ชื่อติงยียีคนนี้ขึ้นมา
การฝึกซ้อมในช่วงบ่ายสำหรับติงยียีนั้นพูดง่ายๆก็คือเป็นการฝึกที่โหดร้ายราวกับปีศาจ เธอต้องเดินเป็นเส้นตรงบนเวทีพร้อมกับชามใส่น้ำครึ่งชาม ตอนที่เดินจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งร่างกายของเธอก็เปียกปอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส้งน่าที่วางชามน้ำอยู่บนหัวเดินได้อย่างสบายๆนั้นมองความครึกครื้นของเธอจากทางด้านข้าง จงใจเดินไปอยู่ด้านหลังตัวเธอและพูด: “หลีกทางหน่อย หลีกทางหน่อย ฉันจะเดิน”
ติงยียีอยากที่จะหลีกทางให้ รีบเดินเกินไป ชามที่อยู่บนหัวก็ตกลงมา เธอรีบยื่นมือออกไปรับ แต่ขากลับลื่น การกระทำที่ต่อเนื่องนั้นทำให้ร่างกายของเธอเอนตัวไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
“ระวัง!” เอเลนและชิวไป๋ที่อยู่ด้านล่างเวทีร้องตะโกนออกมาพร้อมกัน ติงยียีที่อยู่ภาวะมึนงงก็รู้ว่ามีแขนแข็งแรงมารั้งเอวของเธอเอาไว้
แขนคู่นั้นรัดแน่นที่เอวของติงยียี การกระทำแบบนี้ทำให้คนทั้งสองแนบชิดกันเป็นอย่างมาก สีหน้าที่แตกต่างกันในสถานที่เกิดเหตุ ชิวไป๋รีบวิ่งขึ้นมาบนเวทีดึงติงยียีออกมาจากอ้อมกอดของเอเลน
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?”เธอพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ ในขณะเดียวกันก็ส่งสายตาแหลมคมเตือนเอเลน คนหลังก็เอามือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋า ยิ้มอย่างไม่มีพิษกับทั้งคนและสัตว์
“ฉันไม่เป็นไร แต่ขาน่าจะพลิกนิดหน่อยแล้ว”ติงยียีหันตัวไปพูดกับเอเลนด้วยความเกรงใจ: “ขอบคุณ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเอเลนกว้างขึ้น “ไม่ต้องขอบคุณ มีอะไรที่ไม่เข้าใจคุณสามารถมาหาผมได้ ไม่อย่างนั้นไปถ่วงความก้าวหน้าของทุกคนจะไม่ดี”
ชิวไป๋ขมวดคิ้ว เธอรู้สึกมาโดยตลอดว่าสายตาของเขานั้นไม่ถูกต้อง การเปิดเผยความนัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในครั้งนี้นั้นบ้าเกินไป เธอกลัวว่าติงยียีจะฟังไม่ได้ออก กำลังจะออกไปด้านหน้าปฏิเสธ ติงยียีเปิดปาก “ต้องขอโทษเป็นอย่างมากที่ฉันถ่วงความก้าวหน้าของทุกคน ฉันจะตั้งใจฝึกฝน”
ส้งน่าที่อยู่ด้านข้างตะโกนออกมาอย่างอ่อนหวาน “อาจารย์เอเลน ฉันรู้สึกว่าท่าทางของฉันเหมือนว่าจะมีปัญหานิดหน่อย”
เอเลนมองติงยียี หมุนตัวเดินไปหาส้งน่าเพื่อชี้แนะ ชิวไป๋พยุงติงยียีลงจากเวที “ไม่เป็นอะไรจริงๆใช่ไหม?”
“ความจริงแล้วเจ็บนิดหน่อย แต่ว่าในกรณีแบบนี้จะสามารถพูดว่าเจ็บได้ยังไงกัน ทนไปก่อนละกัน”ติงยียีมองคนอื่นที่อยู่บนเวทีอย่างห่อเหี่ยวใจ เขาฝึกซ้อมออกมาได้แย่มากจริงๆ
ชิวไป๋จ้องเขม็งไปที่เอเลน ในใจกำลังคิดว่าเขานั้นสนใจติงยียีหรือเปล่า อีกฝ่ายเหมือนว่ารับรู้ถึงสายตาของเธอ จึงหันมายิ้มให้เธอ
ติงยียีเห็นสายตาทั้งสองคนที่ตรึงแน่นมั่นคงไปที่อีกฝ่าย ภายในจนั้นตกตะลึง ชิวไป๋คงจะไม่ได้ถูกใจเอเลน เข้าแล้วนะ ถ้าอย่างนั้นเย่ป๋อจะทำยังไง?
หลังจากเรียนเสร็จ ชิวไป๋ก็ออกไป ติงยียีกลิ้งไปมาอยู่บนเตียง ขณะที่อยากจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาทันทีน้ำ
เสียงของเย่เนี่ยนโม่ฟังไม่ออกถึงอารมณ์โมโห เธอได้ยินเสียงพิมพ์คีย์บอร์ดเป็นครั้งคราว สองคนหาบทสนทนามาพูดคุยกัน ส่วนใหญ่ติงยียีจะเป็นฝ่ายพูด เย่เนี่ยนโม่ที่ฟังอยู่ข้างๆ ตอบกลับเธอประโยคสองประโยคเป็นครั้งคราว

ติงยียีรู้สึกค่อนข้างง่วง พูดพึมพำ: “ฉันคงจะต้องไปนอนแล้ว พรุ่งนี้ยังจะต้องจับตามองเอเลน”
“เอเลน?” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากทางปลายสายโทรศัพท์มือถืออย่างรวดเร็ว เธอรู้สึกได้แม้กระทั่งว่าเขาที่อยู่ทางปลายสายโทรศัพท์นั้นลุกขึ้นเดินไปที่ด้านหน้าของหน้าตา
เธอพยักหน้า พอคิดได้ว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็นการกระทำของตัวเอง จึงรีบพูด“อืม เหมือนว่าเอเลนจะสนใจชิวไป๋มากทีเดียว วันนี้ทั้งสองคนมองหน้ากันไปมาอยู่ตั้งนาน”
เห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีการตอบสนอง แต่ว่าติงยียีมีความรู้สึกแปลกๆว่าอีกฝ่ายนั้นพยายามผลักดันให้เธอพูดต่อ เธอจึงพูดต่อไป: “ที่จริงแล้วเอเลนนั้นดีทีเดียว เวลาสอนก็ตั้งอกตั้งใจ ละเอียดรอบคอบเป็นอย่างมาก แต่ว่าถ้าอยู่กับชิวไป๋จริงๆ ฉันรู้สึกแปลกๆอยู่”
“ติงยียี”โทรศัพท์มือถือก็มีเสียงเบาทุ้มดังออกมาทันทีทันใด ราวกับท่วงทำนองจากขลุ่ยไม้ไผ่จีน “อยู่ห่างๆจากเอเลนหน่อย”
น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา แต่ก็มีความน่าเกรงขามที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ติงยียีตกตะลึง “ทำไมละ เขาเป็นอาจารย์ของฉันนะ”
เสียงของทางต้นสายโทรศัพท์มือถือนั้นกลับมาเป็นเหมือนแต่ก่อนที่เป็นเสียงเรียบเฉยและเกียจคร้าน “เด็กดี เชื่อฟังนะ”
น้ำเสียงเกียจคร้านนี้ คล้ายกับน้ำเสียงปลอบโยนเบาๆ แก้มทั้งสองข้างของติงยียีแดงก่ำ อดไม่ได้ที่จะใช้มือพัดความร้อนที่แผ่กระจายบนแก้มอย่างไม่หยุดหย่อน ตอบรับเบาๆ “อือ”
วางสายโทรศัพท์ เธอกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง รู้สึกว่าตัวเองนั้นนอนไม่หลับ อุณหภูมิความร้อนบนใบหน้าไม่ลดลงเลย ขนาดใบหูเองก็ยังร้อนลวกไปด้วยเหมือนกัน
“แปลกจริง นี่ทำไมรู้สึกเหมือนกับว่ากินเหล้าจนเหมาแบบนี้ละ?”เธอพึมพำยิ้มเหมือนคนโง่มองโทรศัพท์มือถือที่เก็บเข้าไปแล้ว
ปลายสายโทรศัพท์มือถือ เย่เนี่ยนโม่พยายามจดจ่อไปที่รายงาน ผ่านไปสักพักใหญ่ถึงจะพบว่าที่ทำไปนั้นไม่มีประโยชน์ ไม่ว่าจะมองตัวอักษรหรือสัญลักษณ์อะไรก็ตามบนคอมพิวเตอร์ก็ทำให้เขาคิดถึงติงยียีได้ไปเสียทุกอย่าง
คิ้วของเขาขมวดแน่นทั้งๆที่ยังไม่ได้ยินอะไรเลย จากสัญชาตญาณของผู้ชายนั้น เอเลนคนนั้นน่าจะไม่ใช่สนใจในตัวของชิวไป๋ คนที่เขาต้องการจริงๆก็คือติงยียี ไอ้โง่นั้นทำให้เขาโมโหจริงๆ!
อ้าวเสว่ผลักประตูเข้ามา หลังจากมองเห็นท่าทางโหดเหี้ยมของเขาก็กลัวจนผงะถอยหลังไป เธอพูดอย่างระมัดระวัง: “ขอโทษ “ฉันกับคุณน้าเชี่ยจะไปซื้อเสื้อผ้าให้ลูก คุณอยากจะไปด้วยหรือเปล่า?”
เย่เนี่ยนโม่มองท้องของเธอที่นูนขึ้นมาเล็กน้อยอย่างขำขัน ซื้อเสื้อผ้าตอนนี้นั้นเร็วเกินไปหน่อย แม้กระทั่งเป็นลูกชายหรือลูกสาวก็ยังไม่รู้

“เนี่ยนโม่ คุณอยากจะไปหรือเปล่า?”อ้าวเสว่มีสีหน้าแสดงความอ้อนวอน และมีความประหม่าอยู่บ้าง มือของเธอที่วางไว้ข้างกายทั้งสองข้าง ขยำเสื้อผ้าทั้งสองข้างของร่างกายอย่างไม่รู้ตัว
“ไปกันเถอะ”เย่เนี่ยนโม่ลุกขึ้นพูดด้วยเสียงเบา ทันทีทันใด เขาก็เห็นในสายตาของอ้าวเสว่นั้นมีชีวิตชีวาขึ้นมา เขาหยุดชะงักฝีเท้าทันที มีความสงสัย สงสัยว่าแผนการของตัวเองนั้นถูกต้องแล้วหรือไม่
“ไม่อยากจะไปแล้วเหรอ?”อ้าวเสว่เดินไปไม่กี่ก้าว ฟังแล้วว่าไม่มีเสียงตอบกลับมา เธอจึงรีบร้อนหันกลับไป ถามด้วยความเร่งรีบ
เย่เนี่ยนโม่คลายปากที่เม้มจนกลายเป็นเส้นตรง “ไปกันเถอะ”
ภายในร้านขายของเด็ก เย่เนี่ยนโม่เข็นรถเข็นเด็ก ถึงจะใส่เสื้อสูท แต่ว่าก็ไม่ได้รู้ว่าไม่เข้ากันเลยสักนิด พนักงานขายมองเขาและถกเถียงกันด้วยเสียงเบา
อ้าวเสว่ยิ้มอย่างอบอุ่น “คุณน้าเชี่ยมีธุระกะทันหันเลยมาไม่ได้น่าเสียดายจริงๆ”
เย่เนี่ยนโม่ตอบรับเสียงเบา กลลวงแบบนี้ยังจะเอามาหลอกเขา แต่ว่าอยากจะหลอกก็หลอกไปเถอะ ถือว่าเขาชดเชยให้เธอเล็กน้อยละกัน
อ้าวเสว่หยิบรองเท้าคู่เล็กขึ้นมาหนึ่งคู่ เธอเอาฝ่ามือใส่เข้าไปในรองเท้าคู่เล็ก ถามเขาด้วยรอยยิ้มสดใส “เนี่ยนโม่คุณอยากได้ลูกชายหรือว่าลูกสาว?”
เย่เนี่ยนโม่อึ้ง เขาไม่เคยคิดถึงคำถามนี้มาก่อน หรือจะพูดว่าเขานั้นไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนข้างหมอนจะไม่ใช่ติงยียี ลูกคนแรกของตัวเองไม่ได้เกิดจากเขากับติงยียี
ความเงียบของเขาทำให้อ้าวเสว่ตื่นตระหนก เธอรีบพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณน้าเชี่ยบอกว่าอยากจะได้เด็กผู้หญิง บอกว่าอยากจะแต่งตัวให้เด็กผู้หญิงกลายเป็นองค์หญิงที่สวยที่สุดในโลก”
เย่เนี่ยนโม่ตอบรับเบาๆ ความคิดนั้นได้ลอยไปที่ติงยียีอีกครั้ง ลูกของเขากับติงยียีจะเป็นอย่างไร?
ที่ทำงานในปารีส นางแบบโฆษณาประเทศจีนสองคนกำลังกระซิบกระซาบกัน “ได้ยินหรือเปล่า ส้งน่าเหมือนว่าจะเป็นนางแบบที่ได้ตอบรับเป็นคนสุดท้าย”

“เมื่อวานเธอไม่ได้กลับมาที่ห้อง ไปที่ไหนคงจะไม่ต้องให้ฉันพูดแล้วละ”นางแบบอีกคนตอบกลับเสียงเบา กลอกตาไปมา “ดูสิ เธอมาแล้ว”
ส้งน่ามาสาย เหมือนว่าจะไม่สนใจที่ตัวเองมาสายหนึ่งชั่วโมงเลย พอมาถึงก็เพียงแค่นั่งด้วยท่าทางสบายๆอยู่ด้านข้าง ความรู้พื้นฐานของเมื่อวานนั้นไม่ได้ฝึกซ้อมเลยแม้แต่น้อย
ติงยียีสนใจเอาแต่คิดถึงความรู้สึกที่อยู่บนเวทีเมื่อวานของตัวเองตอนนั้น เอเลนมาแล้ว เขาให้ทุกคนเดินบนเวทีรันเวย์ใหม่อีกครั้ง ส้งน่าเดินเพียงแค่รอบเดียว คนอื่นๆเดินไม่กี่รอบก็กลับไปพักเหมือนกัน
“ติงยียี คุณบนรันเวย์รู้สึกว่ามันจะแย่เกินไปแล้วนะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นนางแบบมืออาชีพ แต่ว่าร้ายดียังไงก็มาถ่ายโฆษณาเหมือนกัน ทำไมขนาดก้าวยังไม่เป็นจังหวะเลย?”
อารมณ์ที่อ่อนโยนของเอเลนเปลี่ยนไป พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ทั้งยังให้ติงยียีเดินซ้ำไปซ้ำมา ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ถึงขนาดที่ชิวไป๋ยังไม่ให้ผ่านเข้าไปได้
เธอจ้องเขม็งไปที่เอเลน ในใจโมโหอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กลอุบายแบบนี้เขาที่อยู่ในวงการบันเทิงนั้นเห็นมาเยอะแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าอยากจะให้ติงยียีรู้จักถอยหนีเมื่อเผชิญหน้ากับความลำบาก สุดท้ายต้องถวายตัวอย่างนั้นเหรอ?
น่าสงสารติงยียีที่ซื่อบื้อคนนั้นยังฝึกซ้อมด้วยสีหน้ารู้สึกผิด เธอเองก็ไม่สามารถพูดออกไปอย่างหมดเปลือกได้ มันช่างหน้าโมโหจริงๆ!
ตอนกลางคืน ช่วงเวลาเดียวกัน โทรศัพท์มือถือของติงยียีดังขึ้นอย่างตรงเวลา ได้ยินติงยียีและเสียงเพลงเบาๆโดยรอบ เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วขึ้นมา “นี่คุณอยู่ที่ไหน?”
ติงยียีเดินอย่างเจ็บปวดทั้งขาและแขน และยังไม่รู้เลยว่าตัวเองนั้นทำผิดตรงไหน เธอพูดอย่างท้อแท้ “อยู่ที่นี่ฉันเป็นคนที่แย่ที่สุดในนี้ บางทีฉันอาจจะไม่เหมาะที่จะยืนอยู่ที่นี่ก็ได้”
เย่เนี่ยนโม่เม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง ภายในใจนั้นรู้ดีว่านั่นเป็นกลอุบายของผู้ชายชาวฝรั่งเศสที่ชื่อว่าเอเลนคนนั้น เขารู้สึกยังมีโชคดีอยู่บ้าง โชคดีที่ติงยียีนั้นเป็นคนซื่อบื้อคนหนึ่ง ดูไม่ออกว่าเอเลนนั้นจงใจทำ อย่างน้อยแบบนี้เธอก็จะไม่ผิดหวังกับสายอาชีพนี้ คิดว่าเป็นปัญหาของตัวเอง แบบนี้ก็จะเป็นแรงผลักดันตัวเองให้ก้าวไปข้างหน้า
“ตอนนี้แพนด้าอยู่ข้างๆผม” เขาพูดเสียงเบา ได้ฟังเสียงคนในสายที่เบิกบานใจเป็นอย่างมากทันทีทันใด สุดท้ายมุมปากของเขาก็เผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ
“แพนด้า! ฉันคิดถึงมันมาก ใช่แล้วคุณได้เล่านิทานให้มันฟังบ้างหรือเปล่า?”ความรู้สึกไม่ดีของติงยียีได้ถูกกวาดหายไปจนว่างเปล่า นั่งบนพื้นและพูดคุยกันทันที
“เล่นนิทาน?” เย่เนี่ยนโม่อึ้ง เขาหันไปมองทางสุนัขTibetan Mastiffที่นอนอยู่บนพรม ที่กล่าวด้านหลังนั้นเงยหน้าขึ้นมามองเขา
ติงยียีพูดต่อไป “คุณคงไม่รู้ มันนะหยิ่ง เหมือนกับเด็กเลยละ ทุกวันเวลานอนจะต้องคาบหนังสือนิทานมาให้ที่ข้างเตียงของฉัน ไม่เล่ามันก็จะนอนไม่หลับ!”
เย่เนี่ยนโม่ครุ่นคิดมองไปที่สุนัขTibetan Mastiffที่นอนอยู่บนพื้น มาอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้วเขาไม่เคยจะเห็นมันคาบกระดาษที่ไหนมาหาเขาเลย
ละสายตากลับมา เขาลุกขึ้นเดินไปด้านหน้าของชั้นหนังสือ “เขาชอบหนังสืออะไร?”
ติงยียีอึ้ง ในใจคิดว่าคนอย่างเย่เนี่ยนโม่นั้นสามารถอ่านนิทานเทพนิยายได้? น้ำเสียงเร่งรัดดังออกมาจากปลายสายเบาๆ “หือ?”
“หนังสือที่เขาชอบที่สุดคือเรื่องสาวน้อยเก็บเห็ด”ติงยียีรีบร้อนตอบ ในใจคิดว่าหนังสือเล่มนี้อีกฝ่ายน่าจะไม่มี
ได้ยินเสียงดังขึ้นมาเบาๆในโทรศัพท์มือถือ ติงยียีได้ยินเสียงของเก้าอี้ที่ค่อยๆยุบตัวลง จากนั้นก็เป็นเสียงพลิกหนังสือ เสียงแผ่วเบาดังขึ้นมาจากในโทรศัพท์มือถือ

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset