“พ่อของลูกสาวของคุณคือนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก แถมเธอยังเป็นลูกสาวของนักวิทยาศาสตร์ คุณตาของเธอคือทหารกิตติมศักดิ์แห่งชาติ มีตำแหน่งที่มั่นคงในรัฐบาล และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือตอนนี้ลูกสาวของคุณเป็นบุคคลสาธารณะ เมื่อเธอมาถึงจะมีคนมาขอลายเซ็นเธอ เพราะว่าความรู้สึกทั้งหมดของเธอดังนั้นจึงต้องปรับอารมณ์ของตนเอง”
ติงต้าเฉินหลับตาลงด้วยความรู้สึกเจ็บปวดทรมาน ในใจยิ่งรู้สึกผิดกับลูกสาวของตนเองมากยิ่งขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะในตอนแรกตระกูลพวกเขาพาลูกไป ตอนนี้ติงยียีคงจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขกว่านี้แน่นอน
เย่เนี่ยนโม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร เขาก้าวมาข้างหน้าสองก้าว ทำให้เสียงของตนเองชัดเจนมากยิ่งขึ้น “ผมขอบคุณมากที่คุณเฝ้าคุ้มครองคนที่ผมคิดจะรักไปตลอดชีวิต ขอบคุณครับ”
คำพูดของเขาทำให้ขอบตาติงต้าเฉินร้อนผ่าว เขานึกถึงตอนที่ยียียังเด็กเธอนอนคว่ำอ่านคัมภีร์ตรีอักษร อยู่ใต้แสงไฟ ตอนนั้นเขากับภรรยายังเคยสาบานไว้ ลูกสามารถเรียนได้ไกลแค่ไหน ก็สนับให้เธอเรียนเท่านั้น
นานมากแล้ว ติงต้าเฉินในที่สุดก็หาเสียงของตนเองกลับมาได้ เสียงของเขามีร่องรอยของความมีอายุ ในความแหบแห้งเจือไปด้วยความจำใจ “คุณไปก่อนเถอะ ฉันอยากจะอยู่เงียบๆ”
เย่เนี่ยนโม่เดินมาตรงหน้าของเขา พูดอย่างนิ่งๆ “ผมคิดว่าคุณเข้าใจความรัก” เขาหมุนตัวไป คำพูดของเขาปรากฏอยู่ในสมองของติงต้าเฉิน
เขาคิดถึงแม่ของติงยียี คิดถึงความรักของตนเองในวัยหนุ่มสาว เขาเช็ดหน้า สูดลมหายใจเข้าลึกๆ รอจนอารมณ์กลับมาเป็นปกติสักหน่อยแล้วค่อยพูด “แต่ว่าในตอนแรกนั้นพวกเราไม่มีคนมาเป็นบุคคลที่3”
จริงๆ ยังเป็นเพราะเหตุผลนี้ เย่เนี่ยนโม่พูดอย่างอดทน “ผมกับอ้าวเสว่ไปมาหาสู่กันช่วงหนึ่งกันจริง แต่ว่าคนที่ผมรักในตอนนี้คือยียี ในอนาคตเองก็ด้วย”
“แล้วคุณจะมั่นใจได้ยังไงว่าตัดขาดกับผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้ว? คุณรู้มั้ยว่าพวกเขาเป็นพี่สาวน้องสาวกัน?!” ใจติงต้าเฉินไม่ง่ายเลยที่จะสงบลงกลับฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง
ลมหนาวพัดผ่านไป ทำให้แขนเสื้อของทั้งคู่ขยับ แขนเสื้อส่งเสียงดังขึ้นในทันที เย่เนี่ยนโม่ยืดตัวขึ้น “อ้าวเสว่เป็นความรับผิดชอบของผม เป็นความรับผิดชอบที่ทั้งชีวิตก็สลัดทิ้งไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญคุณไม่ต้องมาวุ่นวายกับชีวิตของพวกเราอีก” เสียงของติงยียีดังมาจากด้านหลังของเขาในทันที
ร่างของเขานิ่งไป หันไปอย่างเชื่องช้า ติงยียีดีใจที่ตนเองอยู่ห่างจากเขาอยู่ไกล จนเขาไม่สามารถมองเห็นความรู้สึกเจ็บปวดใจของตนเอง และจะไม่ถูกสายตาของเขาแผดเผา
“ผมเข้าใจความกังวลของคุณ” เย่เนี่ยนโม่ค่อยๆ พูด สายตาจ้องมองเธออยู่สักพัก
ในใจของติงยียีมีความแปลกใจเล็กน้อย เขารู้? เธอมองสายตาที่เยือกเย็นสุขุมของเขา รู้ว่าเขาไม่ได้โกหก เธอยิ้มออกมาอย่างเศร้าๆ “รู้แล้วเป็นยังไงล่ะ? อย่างน้อยที่สุดคุณก็ไม่สามารถเปลี่ยนเพื่อฉันได้ไม่ใช่หรือไง?”
“ยียี” เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว เธอโบกมืออย่างรีบร้อน เหมือนกำลังห้ามไม่ให้เขาพูดต่อไปอีกแล้วยังดูเหมือนว่าจะตัดขาดความสัมพันธ์ของทั้งคู่ด้วย
เธอหันหลังไป พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ฉันกับอ้าวเสว่คุณเลือกได้แค่คนเดียว”
ภาระหน้าที่กับความรักจะเลือกยังไง นี่เป็นปัญหาที่ยากที่สุดในศตวรรษ ดวงตาของเย่เนี่ยนโม่ลึกล้ำลง สีหน้าของเขาสงบนิ่ง
เขาหันไปพยักหน้าให้ติงต้าเฉิน ร่างของเขาผ่านตงยียีไป รู้สึกว่าร่างกายของเธอสั่นเทา เขาอยากจะโอบกอดเธอ กลับมองเห็นการปฏิเสธและการป้องกันในสายตาของเธอ
เย่ป๋อกับชิวไป๋มองหน้ากันอย่างรู้ทัน ในใจของทั้งคู่กังวลนิดหน่อย ใบไม้แห้งตกลงบนไหล่ของชิวไป๋ เย่ป๋อเอื้อมมือไปหยิบ เธอสะดุ้งเหมือนกับลูกแมวที่ตกใจ
“ขอโทษ ฉันแค่อยากจะช่วยเธอหยิบอันนี้นี่” ในมือของเย่ป๋อถือใบไม้อยู่ เขารู้ว่าเธอกลัว ในใจก็รู้สึกเจ็บ เธอกำลังหลบตนเองอยู่หรือ?
“ฉันไปขับรถ” ชิวไป๋พูดกับติงยียีอย่างรีบร้อน หลังจากนั้นหนีไปด้วยความงุนงง เย่ป๋อมองเธอจนลับสายตาไป
“คุณชอบชิวไป๋ใช่มั้ย?” ติงยียีจัดการอารมณ์ดีแล้ว แม้ว่าสีหน้ายังคงซ่อนความเศร้าไว้ไม่ได้ เธอมองตาของเขา อยากที่จะหาเบาะแสเล็กๆ จากในดวงตาของเขา
เย่ป๋อพยักหน้าอย่างฉับไว เธอโล่งออกไปทีหนึ่ง จากนั้นบอกว่า “เธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนไหวมากคนหนึ่ง คนในครอบครัวของคุณถือสาผู้หญิงที่ค่อนข้างอายุมากมั้ย?”
เย่ป๋อแปลกใจเล็กน้อย “หรือว่าหล่อนกังวลเรื่องนี้?” เห็นติงยียีพยักหน้า เขารีบอธิบายอย่างรีบร้อน : “ผมไม่มีคนในครอบครัว ตอนผมยังเด็กก็ถูกตระกูลเย่รับมาเลี้ยงแล้ว ตระกูลเย่ก็คือครอบครัวของผม อีกทั้งผมเองก็ไม่สนใจเรื่องอายุเลยสักนิด”
ติงยียีรู้ว่าเขาไม่ได้โกหก เธอถอนหายใจออกมา “แต่ว่าผู้หญิงสนใจ”
คำพูดของเธอทำให้เย่ป๋องงงวยนิดหน่อย จากที่เขาพูด หรือว่ามีอะไรสำคัญไปกว่าความรักอีกหรือ ความปวดร้าวของคุณชายเขาเองไม่อยากจะสัมผัสมันสักครั้ง คนที่รักกันแต่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ เดี๋ยวนะ รักกัน?!
“หล่อนรักผมเหรอ?” เย่ป๋อแทบจะถามออกไปอย่างเร่งรีบ ติงยียีงงงวยเล็กน้อย หลังจากนั้นก็เผลอยิ้มออกมา “รักคุณหรือไม่รัก ฉันว่าให้เจ้าตัวมาบอกเองคงจะดีกว่านะ”
แล้วเย่ป๋อก็ก้มหัวขอโทษเล็กน้อย เขาก้มหัวไปทางเธอ “พ่อ พวกเราไปกันเถอะ”
ติงต้าเฉินพยักหน้า ใช้ไม้เท้าดันตัวให้ยืนขึ้นมาโดยไม่พูดไม่จา ทันใดนั้นพูดเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ : “เย่เนี่ยนโม่ไม่ได้ให้บ้านหลังนี้กับลูกใช่มั้ย”
ติงยียียิ้มพลางส่ายหน้า เหมือนกับต้องการขอร้อง หยิบสัญญาออกมาเหมือนอยากทำให้เขามีความสุข “อีก2วันเซ็นสัญญา พ่อ ในที่สุดพวกเราก็มีบ้านเป็นของตนเองแล้วนะ”
ชิวไป๋ขับรถมาหา รอให้คนทั้งสองคนขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ก็พูด : “มีงานใหม่ ถ่ายรูปนอกสถานที่”
ติงต้าเฉินคิดถึงสิ่งที่เย่เนี่ยนโม่พูดเมื่อสักครู่นี้ รู้สึกสงสัยต่องานของลูกสาวเล็กน้อย เขาแอบบันทึกสถานที่ทำงานที่ชิวไป๋พูดถึง
เมื่อถึงบ้านติง หลังจากจัดการที่นอนให้พ่อเรียบร้อยแล้ว ติงยียีกับชิวไป๋รีบออกไปข้างนอก ได้ยินเสียงของรถยนต์ไกลออกไปแล้วหลังจากนั้นติงต้าเฉินก็ยันไม้เท้าขึ้น แพนด้าตามก้นมา ทั้งคนทั้งหมาออกเดินทางไปยังจุดมุ่งหมาย
ในห้องอาหาร ผู้หญิงที่สวมชุดเดรสนั่งลงอย่างเรียบร้อย เธอแต่งหน้าด้วยเมคอัพอ่อนๆ ผมยาวสีดำนุ่มสลวยเป็นมันเงา มองก็ดูออกว่าเตรียมตัวมาอย่างดี
เธอสง่างาม สามารถใช้มารยาทในการรับประทานอาหารตะวันตกอย่างถูกต้อง แต่ในความเห็นของเย่เนี่ยนโม่ การกระทำเหล่านี้ก็เป็นเพียงตุ๊กตาที่มีหน้ากากเป็นผิวหนังมนุษย์ก็เท่านั้น
“ปู่ของฉัน กับย่าของคุณเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน” หญิงสาวพูด ดูเหมือนว่าต้องการกระตุ้นความสนใจในตัวของเย่เนี่ยนโม่
เย่เนี่ยนโม่หันไปยิ้มให้เธออย่างสุภาพ ในใจรู้สึกจำใจเล็กน้อย หลังจากเจอเจอกับติงยียีเดิมทีอารมณ์ก็แย่อยู่แล้ว ยังถูกคุณย่าสั่งให้มาดูตัวกับหลานของเพื่อนของเธออีก
คำพูดที่หญิงสาวพูดออกมาเขาไม่ได้ตั้งใจฟัง ในใจของเขาเต็มไปด้วยภาพด้านหลังที่อ้างว้างของติงยียีแล้วยังมีดวงตาที่เจ็บปวดและดื้อรั้นคู่นั้นอีก
หญิงสาวดูออกว่าสติของเขาไม่อยู่กับตัวเอง เธอยิ้มแล้วยืดตัวขึ้น “ขอโทษนะคะ ฉันไปห้องน้ำสักครู่”
เธอลุกขึ้นเดินผ่านเย่เนี่ยนโม่ไป แต่จู่ๆ ก็เซแล้วถลาไปข้างหน้า แต่มีแรงของมือใหญ่โอบเอวเธอไว้เบาๆ รอจนเธอยืนได้มั่นคงก็รีบปล่อยมืออย่างรวดเร็ว “ระวังหน่อย” เย่เนี่ยนโม่พูดเบาๆ
สีหน้าของเธอแดงเล็กน้อยพยักหน้าอย่างเขินอาย แล้วค่อยออกไป เย่เนี่ยนโม่ถือแก้วไวน์ บนใบหน้าที่ไร้อารมณ์เผยความรังเกียจออกมา เมื่อสักครู่ผู้หญิงคนนั้นจงใจสะดุดล้ม ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณย่า เขาคงไม่แม้แต่จะมองผู้หญิงที่เสแสร้งเช่นนี้
เขาหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง เพราะว่าย่านนี้เป็นย่านธุรกิจระดับไฮโซ โดยปกติจึงมีคนไม่เยอะ แต่วันนี้กลับมีกระแสคนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ท่ามกลางฝูงชนสุนัขทิเบตันแมสติฟฟ์ตัวหนึ่งดึงดูดความสนใจของคนอย่างมากแพนด้านี่! เขาใช้สายตาค้นหาเจ้าของของสุนัขทิเบตันแมสติฟฟ์อย่างเงียบๆ หลังมองเห็นติงต้าเฉินเขาก็ชะงัก ในใจคิดว่าคุณลุงมาทำอะไรที่นี่?
ติงต้าเฉินรู้สึกเจ็บปวดใจมาก เขาคิดมาตลอดว่าการถ่ายละครง่ายกว่าการทำงานหนักของเขามาก คิดไม่ถึงว่าลูกสาวของตนเองจะเหนื่อยยากจากงานขนาดนั้น
ประเด็นสำคัญของการถ่ายงานนอกสถานที่นี้คือวันที่หนาวให้เป็นฤดูร้อน ในตอนที่อุณหภูมิติดลบ ติงยียียังต้องแต่งตัวด้วยชุดของฤดูร้อนในการถ่ายภาพ
สุดท้ายก็สามารถพักได้ไม่กี่นาที ติงยียีกลับไปนั่งที่นั่งด้วยเนื้อตัวสั่นเทา ชิวไป๋รีบร้อนเอาเสื้อคลุมหนาๆ มาคลุมตัวเธอ
ติงต้าเฉินกล้าเพียงแค่มองลูกสาวของตนเองอยู่ท่ามกลางฝูงชน เขากลัวว่าถ้าเข้าไปทักทายลูกสาวจะทำให้เธอเสียหน้าได้ อย่างไรเสียก็ไม่มีใครหวังให้พ่อของตนเองเป็นคนขาพิการ
พักเพียงไม่กี่นาที ติงยียีก็ถอดเสื้อคลุมลง เตรียมตัวเริ่มงาน ลมหนาวเสียดกระดูก เธอกลับต้องรักษารอยยิ้มที่มีเสน่ห์เอาไว้ นิ้วมือแข็งจนขยับไม่ได้แล้ว เธอกลับต้องทำท่าทางที่ดูมีชีวิตชีวาออกมา
NGครั้งแล้วครั้งเล่า มีผู้ชมบางส่วนที่ทนดูต่อไปไม่ได้ มีการถกเถียงกันมากมายอยู่ข้างสนาม ทันใดนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งในเสื้อแจ็กเกตหนาๆ ก็วิ่งออกมาจากฝูงชน เธอถือขวดแก้วสีน้ำตาลอยู่ ผลักฝูงชนออกแล้วพุ่งตัวไปหาติงยียี ตะโกนออกมา “ติงยียี!”
ผู้ชมหันกลับมามองเธอ ติงยียีเองก็แปลกใจมากๆ เพิ่งได้สติกลับมาผู้หญิงคนนั้นก็พุ่งมาถึงตรงหน้าเธอแล้ว มือของหญิงสาวแกว่งออกมา ของเหลวในขวดก็สาดเข้ามาทางศีรษะและใบหน้าของเธอ
กลิ่นที่กัดกร่อนปะปนไปในอากาศ รูม่านตาของติงยียีหดเล็กลงด้วยความหวาดกลัว เรื่องทั้งหมดนั้นเหมือนกับว่าเป็นการทำภาพสโลโมชั่น
เธอเห็นเงาสีดำวิ่งมาตรงหน้าของเธออย่างรวดเร็ว ตอนที่ของเหลวสาดเข้ามาใช้ร่างกายบังตนเองเอาไว้แล้ว
แขนที่แข็งแรงสองข้างโอบกอดเธอเอาไว้เงียบๆ รัดจนเธอใกล้จะหายใจไม่ออก เธอได้กลิ่นเหม็นของเส้นใยเสื้อผ้าที่ถูกไหม้ลอยมา เขามองเห็นว่ามีควันที่ไหม้อยู่ค่อยๆ ลอยขึ้นจากด้านหลังของเขา หลังจากนั้นก็ถูกลมพัดกระจายไป
มือทั้งสองข้างที่กำลังสั่นของเธอกุมเสื้อที่หน้าอกของคนที่กอดตนเองไว้แน่น ถามพลางสะอึกสะอื้น : “เย่เนี่ยนโม่ คุณเป็นยังไงบ้าง?”
เสียงของเธอเหมือนกับยุง แต่ว่าเย่เนี่ยนโม่กลับได้ยิน เขาปล่อยเธอออก ในสายตาเต็มไปด้วยความกังวลและรักใคร่ เขาพูดว่า : “ไม่ต้องกลัว โชคดีคนที่โดนสาดคือผม”
น้ำตาไหลรินจากเบ้าตาของเธอ ทำให้เครื่องสำอางเลอะแล้ว ผู้กำกับที่อยู่ด้านข้างและคนอื่นๆ ได้สติจากเรื่องไม่คาดฝันครั้งนี้ ตะโกนบอก “จับผู้หญิงคนนั้นไว้”
“ที่จริงมีหมาตัวหนึ่งวิ่งไล่ตามไปแล้ว เหมือนว่ายังมีคนอีกคนหนึ่งวิ่งตามไปด้วย” ในฝูงชนไม่รู้ว่าใครตะโกนออกมา
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าคนที่ตามไปคือใคร เขาถอดเสื้อคลุมที่โดนไหม้จนเสียหายออก สายตาอบอุ่น พูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ “เป็นเด็กดีรอผมตรงนี้โอเคมั้ย?”
ติงยียีส่ายหน้าอย่างรุนแรง “ไม่เอา ฉันไม่เอา!” เธอพบเจอกับการตกใจกลัวจนสุดขีด ตอนนี้เธอเป็นห่วงเขามากจริงๆ หมุนตัวอย่างกังวล พริบตาเดียวก็ไม่เห็นเขาแล้ว