บางเรื่องยิ่งอธิบายก็ยิ่งไม่เข้าใจ หยางฉงที่เขินอายในทีแรกรู้สึกประหม่าขึ้นมา พลันยกมือขึ้นป้องหน้าอกของตนเองอย่างลำบากใจ ถลึงตาใส่ฉินวี่เฟย
“โถ่ เจริญพันธุ์เป็นรอบที่สอง ฉันเองก็ทำอะไรไม่ได้ พี่วี่เฟยหุ่นของพี่ดีกว่าฉันตั้งเยอะ รออีกหน่อยพี่มีลูกแล้ว ก็คงจะยิ่ง……”
“เธอนี่มันลามกจริงๆ ! รีบไปแต่งตัวสิ จะไม่ไปสนามบินแล้วใช่ไหม?”
ไม่รอให้เธอพูดจบ ฉินวี่เฟยก็รู้ว่าเธอจะพูดอะไรต่อ พลันเอื้อมมือดีดหน้าผากของเธอ เปลี่ยนบทสนทนา
แม้หยางฉงจะดูใสซื่อ พูดจาก็อ่อนหวานดูเรียบร้อย อันที่จริงสิ่งที่เธอเข้าใจไม่น้อยเลยล่ะ
ช่วงนี้ฉินวี่เฟยอยู่กับเธอ รู้สึกว่าตัวเธอเองก็ได้ความรู้ขึ้นมาก
“อืม ถ้างั้นฉันรีบไปแต่งตัว” เมื่อฉินวี่เฟยเตือน หางฉงถึงได้นึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ พลันเลิกหยอกล้อ รีบเข้าไปแต่งตัว
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่พริบตาเหล่าหลี่ฝางก็มาปรากฏตัวขึ้นที่สนามบินเมืองตงไห่
“เฮีย! ทางนี้!” เมื่อออกจากสนามบิน หลี่ฝางก็เห็นไท่ซางโบกมือใส่เขา
หลี่ฝางพยักหน้ากับไท่ซาง ก่อนที่จะสาวเท้าเข้าไป เขาเพิ่งจะเดินได้เพียงข้างรถ ก็ได้ยินเสียงอันดีอกดีใจของหยางฉง
“พี่หลี่ฝาง! ฉันคิดถึงพี่จะแย่!” มือทั้งสองข้างของหยางฉงฟุบกับหน้าต่าง พูดกับเขาด้วยดวงตาประกาย ฉินวี่เฟยที่นั่งอยู่ข้างในจ้องมองหลี่ฝางด้วยรอยยิ้ม
หลี่ฝางนิ่งไปสักพัก ใบหน้าที่เฉยชาในทีแรกเผยรอยยิ้มสดใส พลันหยีหัวของหยางฉงอย่างเอ็นดู ก้มหน้าลงจูบเธอ
“ข้างนอกลมแรง พวกเธอทำไมถึงได้มาด้วย?”
หยางฉงเลียริมฝีปากของตนเองอย่างอดไม่ได้ กล่าวตอบอย่างเขินอาย “ก็ฉันคิดถึงพี่”
เมื่อได้ยินหยางฉงบอกว่าคิดถึงตน หลี่หยางรู้สึกดีใจ เปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง อุ้มหยางฉงขึ้นมมาไว้ที่ตักของตนเอง
มือข้างหนึ่งโอบเอวของหยางฉงเอาไว้ มืออีกข้างประสานกับมือของฉินวี่เฟย “เสี่ยวฉง เธออ้วนขึ้นนะ”
หยางฉงที่โอบเอวหลี่ฝางฉีกยิ้มอย่างมีความสุขในคราแรก เมื่อได้ยินอย่างนั้นหุบรอยยิ้มทันที หยิกแขนของหลี่ฝางอย่างแรง
“พี่หลี่ฝาง ใจร้าย!”
แม้หลี่ฝางจะพูดความจริง แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากได้ยินคนอื่นบอกว่าคนอ้วนขึ้นหรอกนะ ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงคนนั้นยังเป็นคนรักของตนเองอีกต่างหาก
ยิ่งไปกว่านั้น ที่เธออ้วนขนาดนี้เพราะใครกัน? ก็เพราะผิงอันไม่ใช่หรือไง หลี่ฝางคนไร้จิตใจ กล้าหัวเราะเยาะเธอ!
โมโหจะแย่!
“ฮ่าฮ่า เสี่ยวฉงเธอน่ารักชะมัด” หลี่ฝางจ้องมองหยางฉงที่โมโหกระฟัดกระเฟียด พลันเอื้อมมือหยิกแก้มของเธอ หัวเราะลั่น
รอยยิ้มที่สะใจของหลี่ฝาง ทำให้หยางฉงไม่พอใจ มือทั้งสองข้างกำแน่น ต่อยลงกับอกของหลี่ฝาง
“ห้ามหัวเราะ พี่หัวเราะอีกฉันจะไม่สนใจพี่แล้ว! ที่ฉันอ้วนขึ้นก็เพราะลูกของพี่ไม่ใช่หรือไง แต่พี่ไม่นึกถึงหัวอกของฉันเลย ก่อนหน้านี้บอกว่าฉันผอมเกินไป บอกให้ฉันทานเยอะๆ หน่อย ตอนนี้ฉันเริ่มอ้วนพี่จะรังเกียจฉันแล้ว ใจร้าย!”
หยางฉงยิ่งพูดยิ่งเสียใจ หลังจากนั้นน้ำตาพลันไหลอาบ หลี่ฝางที่คิดจะแกล้งเธอในทีแรกเกิดทำอะไรไม่ถูก จึงรีบปลอบโยนเอาใจ
“โอ๊ย ผมหัวเราะเพราะมีความสุข ทำไมเธอถึงได้ร้องไห้ซะได้ อีกอย่าง ผมรักเธอจะตาย จะรังเกียจเธอได้ยังไง? เด็กดี เลิกร้องนะ เธอร้องไห้หัวใจผมจะสลาย”
หลี่ฝางใช้มือเช็ดน้ำตาให้กับหยางฉง พร้อมกับปลอบใจอย่างอ่อนโยน ฉินวี่เฟยที่อยู่อีกด้านก็ช่วยปลอบใจเธอ
“เสี่ยวฉง เลิกร้องได้แล้ว เขาไม่กล้ารังเกียจเธอหรอก ถ้าเขากล้ารังเกียจเธอ ฉันไม่ปล่อยเขาไว้แน่!”
ในที่สุด หลังผ่านการปลอบใจจากหลี่ฝางและฉินวี่เฟย หยางฉงถึงได้หยุดร้องไห้ สูดน้ำมูกบนตักของหลี่ฝาง พร้อมพึมพำ
“เหอะ พี่ระวังตัวไว้ให้ดี ตอนนี้ทุกคนในบ้านอยู่ข้างฉัน พ่อบอกแล้ว ถ้าพี่กล้าแกล้งฉัน พี่จะไม่ได้มรดกสักแดงเดียว”
เมื่อได้ยินประโยคของหยางฉง หลี่ฝางไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี ไม่คิดเลยว่าเขาไม่ได้กลับบ้านเพียงปีกว่า พ่อกับแม่ที่รักและเอ็นดูเขา ฉินวี่เฟยที่รักเขามากก็เข้าข้างหยางฉงเสียแล้ว
ดูเหมือนว่าสถานะในบ้านของเขาก็ลดลงเสียแล้ว
“โอเคๆ ตอนนี้เป็นคนที่ดีเด่นของตระกูลเรา ผมไม่กล้าทำให้คุณโกรธหรอก ร้องไห้มากไม่ดีต่อสุขภาพ ห้ามร้องไห้เด็ดขาด”
อันที่จริงต่อให้ไม่มีพ่อและแม่ของหลี่ฝางหนุนหลังหยางฉง หลี่ฝางก็ไม่อยากให้หยางฉงเสียน้ำตาแม้แต่น้อย
ผู้หญิงคนนี้เพื่อลูกแล้วสามารถสละได้กระทั่งชีวิต เขาจะมีเหตุผลอะไรที่จะทำร้ายเธอ?
เมื่อได้ยินประโยคของใจตนของหลี่ฝาง หยางฉงก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มอีกครั้ง เธอฟุบลงกับอกของหลี่ฝาง เริ่มพูดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้
“พี่หลี่ฝาง ลูกของเราฉลาดมากเลย เพียงแค่ครึ่งเดือน เขาก็จำฉันได้แล้ว ร่างกายก็แข็งแรงขึ้นมาก ตอนนี้อุ้มเขาออกมาจากตู้ได้วันละชั่วโมงสองชั่วโมงทุกวันเลย”
“สุขภาพของคุณแม่ก็ดีขึ้นมาก แม้ตอนนี้ยังต้องอาศัยสารฟื้นบำรุงแบบเหลวในการฟื้นฟูร่างกาย แต่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนก็ดีขึ้นมาก จะตื่นขึ้นมาประมาณห้าถึงหกชั่วโมงทุกวัน”
“ใช่สิ พี่ยังไม่ได้ตั้งชื่อลูกเลย ฉันกับพี่วี่เฟยและพ่อกับแม่คิดชื่อเอาไว้เยอะมากเลย แต่ก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ คราวนี้พี่กลับบ้าน ก็ตั้งชื่อลูกซะเลย”