หยวนชิงหลิงมองไปที่เขาแวบหนึ่ง “เจ้าช่างหยาบคายนัก!”
เจ้าห้ายิ่งนับวันก็ยิ่งไม่รู้ประสาเข้าไปทุกที กล้าล้อเลียนการแต่งหน้าของผู้หญิงต่อหน้าเจ้าตัวนั่นเป็นอะไรที่ทำร้ายความภาคภูมิใจในตนเองอย่างยิ่ง
“มันดูไม่สวยจริงๆ นี่” หยู่เหวินเห้าพึมพำ “ก่อนหน้านี้ดูสดชื่นผ่อนคลาย สบายตาขนาดนั้นแท้ๆ”
“หุบปาก!” หยวนชิงหลิงเอ็ดใส่ แล้วหันไปยิ้มให้เสี้ยวหงเฉิงในเชิงขอโทษ “เจ้าสำนักเสี้ยวอย่าได้ไปโต้เถียงกับคนไม่รู้ประสาเช่นเขาเลยนะ ผู้ชายทื่อๆ พรรค์นี้ไม่รู้ว่าอะไรคือความงามนักหรอก”
“มันดูไม่สวยรึ?” เสี้ยวหงเฉิงถามหยวนชิงหลิง พลางยกมือขึ้นลูบๆ ใบหน้า
“มันก็สวยอยู่หรอก…แต่ พูดตามจริงแล้วมันไม่ค่อยเหมาะกับเจ้าเท่าไหร่ การแต่งหน้านี้ดูหนาไปหน่อย ควรจะแต่งให้บางกว่านี้อีกนิด” หลังจากที่เห็นแววตาที่ถามอย่างจริงจังมองมา หยวนชิงหลิงลังเลไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดความจริง
“ดูปลอมมาก!” หยู่เหวินเห้าจ้องหน้านาง
หยู่เหวินเห้าถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง “คนที่อยู่ในสำนักของข้าบอกว่า แบบนี้มันดูดีมากนะ”
“ อย่าไปสนใจกับเรื่องแต่งหน้าแล้วสวยหรือไม่สวยพวกนี้เลย เจ้ามาจนค่ำขนาดนี้ คงมีข่าวอะไรมาแล้วใช่หรือไม่?” หยู่เหวินเห้าถาม
เสี้ยวหงเฉินสงบจิตใจ แล้วเหลือบสายตามองไปทางหยวนชิงหลิง “เอ่อ…. ให้พระชายารัชทายาทรู้ได้ใช่หรือไม่?”
“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องราวทั้งหมดนางรู้แล้ว ” หยู่เหวินเห้าพูด
เสี้ยวหงเฉิงรู้สึกโล่งใจ “เช่นนั้นก็ดี เรื่องที่เจ้าขอให้ข้าไปสอบถามมาก่อนนี้ ได้ข่าวมาแล้ว ผู้หญิงคนนั้นชื่อชินเหริน เป็นตัวเรียกแขกของหอจุ้ยชุน เป็นสาวงามอย่างไร้ที่ติ แน่นอนว่ารัชทายาทคงเคยได้เห็นเองกับตามาแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ละเอียดในประเด็นนี้ ไม่อย่างนั้น เจ้าคงจะไม่ขอให้ข้าส่งคนจากสำนักเหมยแดงไปสอบสวนเรื่องนี้
แต่อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่รัชทายาทไม่รู้ นั่นคือ หญิงสาวคนนี้มีเสน่ห์มาก ร่างกายของนางยืดหยุ่นอ่อนนุ่มอย่างยิ่ง นางสามารถงอขามาพาดบนบ่าของตัวเองได้ การทำท่วงท่าใดๆ ล้วนไม่มีปัญหาสำหรับนาง จึงเป็นสาเหตุให้นางได้กลายเป็นตัวเรียกแขกอันดับหนึ่งของหอจุ้ยชุน ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าหรือขุนนางใหญ่ ลูกหลานของตระกูลขุนนาง แม้แต่สมาชิกในราชวงศ์ เช่นรัชทายาทพระองค์ท่านเป็นต้น ต่างก็ฝันใฝ่อยากไปหานางสักครั้ง พร้อมจะหอบทองพันตำลึงไปประเคนให้ เพื่อจะได้ใช้เวลาร่วมกันกับนางเลยทีเดียว ”
หลังจากเสี้ยวหงเฉิงพูดจบ นางก็มองไปที่หยวนชิงหลิงด้วยความชื่นชม: “ผู้ชายคนนี้ ข้าไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับธรรมชาติเรื่องมองคนสวยคนงามของเขา เขาอาจไม่ชอบความงามราวบุพผาแรกแย้ม แต่ถ้าพูดถึงรูปร่างที่ยืดหยุ่นนุ่มนวลของหญิงสาว เขากลับรู้สึกตื่นเต้นสนใจขึ้นมาได้ แต่คาดไม่ถึงจริงๆ นะว่าพระชายารัชทายาทจะให้ความยินยอมแก่สามีถึงขนาดนี้ มันช่าง…..”
เสี้ยวหงเฉิงได้รับคำเตือนจากสายตาอันเย็นชาของหยู่เหวินเห้า จึงลังเลไปครู่หนึ่งแล้วหยุดพูด แต่เมื่อครู่นี้ไม่ใช่บอกว่า เรื่องนี้สามารถพูดให้พระชายารัชทายาทฟังได้หรอกรึ?
สิ่งที่หยู่เหวินเห้ากลัวที่สุดคือบรรยากาศที่จู่ๆ ก็เงียบสงัดลงไปทันทีเช่นนี้ หยวนชิงหลิงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ใช้มือทั้งสองข้างลูบๆ หน้าท้องตัวเอง ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมาให้เห็น
เขาถูมือพลางมองหยวนชิงหลิงอย่างเก้อกระดากใจ “พูดไปเจ้าอาจจะไม่เชื่อ แต่จริงๆ แล้วข้าไปสืบข่าวของทางราชการเลยต้องไปสืบหาข้อมูลเท่านั้นเอง”
หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นมองเขา ริมฝีปากยกโค้งเป็นรอยยิ้มจางๆ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะไม่เชื่อ? ข้าเคยไม่เชื่อในสิ่งที่เจ้าพูดในอดีตหรือไม่ล่ะ?”
“จริงด้วย เรื่องนี้มีอะไรที่พูดไม่ได้ล่ะ? มันล้วนเป็นเรื่องของทางราชการ สิ่งที่รัชทายาทบอกข้าในเวลานั้น ก็บอกว่าเป็นเรื่องของทางราชการนี่ล่ะ!” เสี้ยวหงเฉิงรีบละล่ำละลักพูดเพื่อชดเชยความผิด แต่กลับรู้สึกว่ายิ่งอยากปกปิดซ่อนเร้นเท่าไหร่ ก็กลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้มากกว่าเดิม
หยู่เหวินเห้าหันไปส่งสายตาเหี้ยมๆ ใส่เสี้ยวหงเฉิงแวบหนึ่ง ยัยผู้หญิงปากมากเอ๊ย!
หยวนชิงหลิงกลับเพิกเฉยต่อหัวข้อนี้ แค่ถามเสี้ยวหงเฉิงว่า “ไม่ทราบว่ามีข่าวจากทางหนานเจียงกับหงเย่บ้างหรือไม่?”
เสี้ยวหงเฉิงแทบอดใจไม่ไหว อยากจะเปลี่ยนหัวข้อซักที “มี มี! วันนี้ที่มาก็เพราะมีข่าวนี้ที่จะมาบอกนี่ล่ะ หงเย่ไปที่ซีโจวแล้ว”
“ซีโจว?” หยู่เหวินเห้าแอบตกใจ ไปเยี่ยมชมเขาหมื่นพุทธกับทะเลสาบจิ้ง! ” เสี้ยวหงเฉิงพูดไปก็แอบ สงสัยไปด้วย “ไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรที่เขาหมื่นพุทธกันนะ?”
หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงหันมองหน้ากัน ดวงตาของพวกเขาดูหนักใจขึ้นมาเล็กน้อย พวกเขาพูดขึ้นมาพร้อมกันว่า: “เขาไปที่ทะเลสาบจิ้งรึ?”
เสี้ยวหงเฉิงตอบว่า “ใช่ ตอนนี้ก็ยังอยู่ที่เขาหมื่นพุทธ สนทนากับนักพรตยู่ซวีเรื่องพระคัมภีร์และลัทธิเต๋า นอกจากนี้ เขายังถามหาปรมาจารย์อา แล้วพูดคุยกับท่านในเรือนตลอดทั้งคืนด้วย จนเช้าวันรุ่งขึ้นถึงค่อยออกไป”
ใบหน้าของหยวนชิงหลิงเปลี่ยนเป็นขาวซีด หันหน้าไปมองหยู่เหวินเห้าอย่างรวดเร็ว
หยู่เหวินเห้าก็ตกใจไปเฮือกหนึ่ง รีบพูดขึ้นว่า: “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? พวกเราเคยไปที่เขาหมื่นพุทธมาก่อน ยังเคยพบนักพรตยู่ซวีผู้นั้นด้วย ปรมาจารย์อาของเขาเสียสติจนกระโดดลงไปในทะเลสาบจิ้งเมื่อหลายปีก่อน จนจมน้ำตายไปแล้ว หงเย่คุยกับผีหรืออย่างไรกัน ?”
“ไม่นะ” เสี้ยวหงเฉิงตกตะลึงไปเล็กน้อย “หรือว่าจะสืบข้อมูลมาผิดพลาดแล้ว มิน่าล่ะ คนที่มารายงานถึงบอกว่าปรมาจารย์อาผู้นั้นดูอ่อนวัยกว่านักพรตยู่ซวีอยู่บ้าง บางทีข้อมูลอาจจะผิดได้ แต่คนของข้าได้ยินนักพรตยู่ซวีเรียกเขาว่าปรมาจารย์อาจริงๆ นะ ลูกศิษย์น่ะสามารถรับเข้ามาภายหลังได้ แต่ปรมาจารย์อาน่ะ ไม่น่าจะจำกันผิดได้หรอกกระมัง? เป็นไปได้หรือไม่ว่ายู่ซวีจะเปลี่ยนไปเป็นศิษย์สำนักอื่นแล้ว?”
“ไปสืบมาอีกครั้ง!” หยวนชิงหลิงคว้าที่พนักวางแขนของเก้าอี้ แสดงท่าทีว่ารู้สึกเคร่งเครียดมาก
เสี้ยวหงเฉินมองไปที่ใบหน้าของนาง “พระชายารัชทายาท ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ? สีหน้าของท่านดูไม่ดีเอามากๆ เลยนะ”
หยวนชิงหลิงกดที่หน้าอกของตัวเอง “ท้องใหญ่มากแล้ว หายใจลำบากนิดหน่อยน่ะ”
“โอ้!” เสี้ยวหงเฉิงมองนางอย่างเห็นอกเห็นใจ หันไปบ่นกับหยู่เหวินเห้าอีกครั้ง: “ตอนนี้พระชายารัชทายาทกำลังตั้งครรภ์ลูกของเจ้าอยู่นะ เจ้าก็อย่าออกไปหาพวกนางโลมนักเรียกแขกอันดับต้นๆ ที่ไหนอีกเลย รู้จักอยู่จวนเป็นเพื่อนนางเสียบ้าง”
“หุบปากสักทีเถอะน่า!” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ ก็บอกแล้วอย่างไรล่ะว่ามันเป็นเรื่องงาน เป็นเรื่องงาน เจ้าไม่มีหูหรืออย่างไร?”
เสี้ยวหงเฉิงกดมือของเขาลง “ได้ๆ ข้าไม่พูดแล้ว ดึกขนาดนี้แล้วข้าไม่รบกวนดีกว่า ขอตัวล่ะ”
นางยืนขึ้นพลางประสานมือ เดินออกไปจนถึงประตู จู่ๆ ก็หันกลับมามองหยวนชิงหลิง “การแต่งหน้าแบบนี้ของข้า…มันไม่ดีจริงๆน่ะรึ?”
หยวนชิงหลิงตอบอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “มันเข้มไปหน่อย ถ้าแต่งให้บางกว่านี้ได้จะเหมาะกว่า”
“ถ้าอย่างนั้น… ไม่ทราบว่าพระชายารัชทายาท พอจะให้ข้ายืมใช้โต๊ะเครื่องแป้งสักหน่อยได้หรือไม่? ข้าอยากแต่งหน้าใหม่อีกครั้ง”
“ดึกขนาดนี้แล้ว ยังจะแต่งหน้าไปทำอะไรอีกล่ะ? ” หยู่เหวินเห้ารีบออกมาขับไล่ไสส่งคนออกไป “รีบไปๆๆ”
เสี้ยวหงเฉิงพูดขึ้นว่า: “หลังจากนี้ข้ายังต้องไปพบคนคนหนึ่งอยู่!”
“ ดึกขนาดนี้แล้ว เจ้ายังจะไปพบใคร ? ทั้งยังแต่งตัวเสียหรูหราเช่นนี้ ” หยู่เหวินเห้าหรี่ตาลงพลางถามด้วยความสงสัย
“เกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วยล่ะ จะถามมากมายขนาดนี้ไปทำไม? แค่ยืมโต๊ะเครื่องแป้งกับแป้งใช้หน่อย เจ้าก็ไม่ได้ขาดทุนอะไรนี่!” เสี้ยวหงเฉิงจ้องมองเขาตาเขม็ง
หยู่เหวินเห้าเดินเข้าไปจ้องนางตอบ “เจ้าอย่าถูกหลอกง่ายๆ เลยน่า ผู้หญิงอายุขนาดนี้แล้วยังแต่งไม่ออกมักจะถูกหลอกได้ง่าย ต่อให้คนที่เจ้าชอบไม่เล่นด้วย เจ้าก็ไม่ควรจะสุ่มสี่สุ่มห้าคว้าใครที่ไหนก็ได้มาทำพันธุ์หรอกนะ”
“เจ้าห้า พูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้ากัน?” หยวนชิงหลิงเพิ่งจะหลุดออกจากภวังค์ ได้ยินเขาพูดคำพูดร้ายกาจแบบนั้น จึงรีบหยุดปากเขาไว้ทันที
เสี้ยวหงเฉิงสีหน้าเย็นเยียบ จ้องมองเขาครู่หนึ่ง ก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป “ช่างมันเถอะ!”
เมื่อมองเงาด้านหลังที่เดินจากไปด้วยความเดือดดาลของเสี้ยวหงเฉิง หยวนชิงหลิงจึงตีไปที่แขนของหยู่เหวินเห้าครั้งหนึ่ง พูดอย่างโกรธเคืองว่า: “ทำไมเจ้าถึงต้องพูดแบบนั้นกับนาง?”
“เพื่อประโยชน์ของตัวนางเอง แค่กลัวว่านางจะถูกหลอก” หยู่เหวินเห้าตอบ
“ เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางจะไปพบใคร พูดได้อย่างไรว่านางจะถูกหลอก ? มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้หญิงจะก้าวเท้าขึ้นไปอีกขั้น เจ้าอย่าได้โจมตีนางด้วยคำพูดอะไรแบบนี้อีกเป็นอันขาด”
เมื่อเห็นท่าทางบูดบึ้งของนาง หยู่เหวินเห้าก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก รีบกล่อมนางว่า: “ได้ ข้ารู้แล้ว วันพรุ่งนี้ถ้าได้พบนาง ข้าจะพูดกับนางอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ดีหรือไม่?”
“เรื่องของความรู้สึก ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่เจ้าจะเข้าไปจัดการเองได้โดยไม่ถามไถ่” หยวนชิงหลิงกลอกตา “ไม่ใช่ว่าข้าจะห้ามไม่ให้เจ้าสนใจเรื่องของเพื่อนๆ ของเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าไม่เข้าใจหัวอกของผู้หญิง ก็ไม่สมควรแสดงความคิดเห็นของตัวเอง แบบที่คิดเองเออเองฝ่ายเดียวชุ่ยๆ”
“ข้าเข้าใจหัวอกผู้หญิงนะ!” หยู่เหวินเห้าช่วยพยุงนางออกไป
“จริงรึ? ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ข้ากำลังคิดอะไรอยู่?” หยวนชิงหลิงผละออกจากมือของเขา
หยู่เหวินเห้าถึงกับชะงักค้างไปชั่วขณะ “มันเป็นเรื่องของทางราชการจริงๆ!”