หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 358 เขามาแล้ว

หลังจากนั้น สายตาที่อวี๋หวั่นก็มองบุรุษชุดดำแปรเปลี่ยนไปเป็นเยียบเย็น
บุรุษชุดดำรู้สึกงุนงง “อะไรอีก?”
อวี๋หวั่นใบหน้าบูดบึ้ง “ชั่วช้า”
บุรุษชุดดำ “???”
บุรุษชุดดำ “!!!”
พวกเขาเดินทางต่อ บุรุษชุดดำไม่ได้หลอกลวงอวี๋หวั่น ระหว่างทางไม่พบหมู่บ้านหรือโรงเตี๊ยมอย่างแน่นอน พวกเขาแลดูประหนึ่งเดินเข้าไปในทุ่งหญ้ารกร้าง นอกจากพวกเขาแล้ว ก็ไม่มีเงาของผู้ใดอีก
อวี๋หวั่นเริ่มหิวแล้ว
บุรุษชุดดำให้ลูกน้องย่างกระต่ายป่าให้เธอ อวี๋หวั่นท้องไส้ไม่ปกติดังเคย อีกทั้งยังรู้สึกคลื่นไส้ กินน่องกระต่ายเข้าไปเพียงสองคำ ก็ฉีกส่วนที่นุ่มที่สุดให้ซิวหลัว
ตกดึก กลางทุ่งก็มีฝนตกหนัก
พวกเขานั่งหลบฝนอยู่บนรถม้า
นี่เป็นโอกาสทองที่จะหลบหนี สายฝนกระหน่ำสามารถกลบกลิ่นของพวกเขา และกลบเกลื่อนร่องรอยของพวกเขา อุปสรรคเพียงอย่างเดียวก็คืออวี๋หวั่นปวดท้องเหลือเกิน ไม่รู้ว่าประจำเดือนกำลังจะมาหรือเปล่า
หลายเดือนมานี้ประจำเดือนของเธอมาไม่ปกติ เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่ได้จดบันทึก แต่นี่ก็เป็นความเจ็บปวดที่แสนคุ้นเคย เห็นทีคงจะใกล้มาแล้ว
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง การหลบหนีก็คงไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดเท่าไร
อวี๋หวั่นพักความคิดที่จะหลบหนีไว้ก่อน
ความจริงเป็นประจักษ์แล้วว่าแผนการนี้ชาญฉลาดที่สุด เพราะว่าหลังจากผ่านไปเพียงครู่เดียว เธอก็ผล็อยหลับไป
บุรุษชุดดำได้กินเสียงกรนเบาๆ ของอวี๋หวั่น ก็อดยกยิ้มมุมปากไม่ได้ ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ ยังหลับได้อย่างสบายอารมณ์ เห็นจะไม่มีผู้ใดทำได้อีกแล้ว
ผู้ที่ดีใจเมื่อฝนตกหนักมิได้มีเพียงอวี๋หวั่น บุรุษชุดดำอยากจะโยนซิวหลัวทิ้งเสียจริง ถ้าหากไม่มีซิวหลัว สตรีคนนี้ก็คงไม่จองหองถึงเพียงนี้หรอก
เขาคิด จากนั้นก็ลงมือทำ
เขาอาศัยจังหวะที่อวี๋หวั่นไม่รู้ตัว ใช้ตาข่ายจับซิวหลัวออกมา มัดเขาไว้กับก้อนหินก้อนใหญ่ จากนั้นก็รีบฉวยโอกาสหนีออกมาในคืนฝนตก
ครั้นอวี๋หวั่นลืมตาตื่นขึ้นจากความฝัน ซิวหลัวก็กลับมาบนรถม้าแล้ว เนื้อตัวของเขาเปียกปอน กระนั้นท้องฟ้าก็สดใสแล้ว
อวี๋หวั่นโล่งใจ เธอยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของซิวหลัว “พวกเขาจับเจ้าโยนทิ้งอีกแล้วหรือ?”
“อื้ม” ซิวหลัวน้อยใจ ศีรษะของเขาขยับขึ้นลงใต้ฝ่ามือของอวี๋หวั่น
ครั้งนี้บุรุษชุดดำต้องการสลัดซิวหลัวให้หลุด จึงคิดจะทิ้งตาข่ายซิวหลัวไปพร้อมกัน จะเรียกว่าพวกเขาลงทุนไปมหาศาลก็ย่อมได้ ตราบจนวันนี้ ก็ยังไม่มีซิวหลัวคนใดที่สามารถเล็ดลอดออกมาจากตาข่ายซิวหลัวได้ แต่ซิวหลัวคนนี้กลับทำได้
เพียงแต่การดิ้นรนออกมาจากตาข่ายนั้นนำมาซึ่งความเจ็บปวด หลังจากที่ฝนตก เขาก็สัมผัสกลิ่นของอวี๋หวั่นไม่ได้อีกแล้ว ซิวหลัวตามหาอยู่หนึ่งคืนเต็มๆ จนในที่สุดก็ตามหารถม้าของพวกเขาจนพบ
อวี๋หวั่นหยิบเสื้อผ้าออกมา และให้ซิวหลัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่รถม้าฝั่งตรงข้าม ทั้งยังเปิดห่อยาสมุนไพรซึ่งซื้อมาระหว่างทางเพื่อรักษาบาดแผลภายนอกจากตาข่ายให้ซิวหลัว
“เจ็บไหม?” อวี๋หวั่นถาม
ซิวหลัวส่ายหน้า
ซิวหลัวไม่กลัวเจ็บ
ซิวหลัวกลัวถูกทิ้งมากกว่า
อวี๋หวั่นตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องพาซิวหลัวหนีไปให้ได้
ยามสนธยา ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงเชิงเขาแห่งหนึ่ง เป็นหุบเขาอันงดงาม เห็นได้ชัดว่าเป็นพื้นที่ห่างไกล แต่กลับมีผู้คนพลุกพล่าน จ้อกแจ้กจอแจ
“ลงจากรถได้แล้ว” บุรุษชุดดำบอก
อวี๋หวั่นคร้านจะสนใจเขา เธอจูงซิวหลัวลงจากรถม้า
หลังจากที่ออกจากหนานจ้าว สิ่งที่เปลี่ยนไปมิได้มีเพียงสภาพอากาศ แต่สำเนียงภาษาก็ยังแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด อวี๋หวั่นฟังผู้คนบนท้องถนนพูดไม่ค่อยออก ตอนนี้ถ้าหากคิดจะไปแอบฟังข้อมูลจากชาวบ้าน เกรงว่าคงจะทำได้ไม่ง่ายเสียแล้ว
อวี๋หวั่นมองไปยังป้ายหน้าสำนัก
“เขียนว่าอะไรน่ะ” อวี๋หวั่นถาม
บุรุษชุดดำเหลือบมองเธอ แล้วตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจว่า “สำนักเฟยอวี๋”
สำนักเฟยอวี๋?
ทำไมชื่อนี้คุ้นหูจังเลยนะ
‘เจียงไห่กับน้องสะใภ้เจ้าเป็นใครกันแน่?’
‘คนของสำนักเฟยอวี๋’
‘สำนักเฟยอวี๋? ไม่เคยได้ยิน’
‘ไม่เป็นไร ไม่นานเจ้าก็จะได้ไป’
บทสนทนากับราชครูครั้งก่อนผ่านเข้ามาในสมอง อวี๋หวั่นลูบคางคล้ายกับกำลังมีความคิด
สำนักเฟยอวี๋ที่พูดถึงคือสำนักเฟยอวี๋แห่งนี้หรือเปล่านะ?
ราชครูเดาออกหรือ? เธอมาถึงเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?
“เป็นถึงราชครูของอาณาจักรหนานจ้าว ต้องมีความสามารถบ้างแหละ” อวี๋หวั่นพึมพำ
“เจ้าพูดอะไร?” บุรุษชุดดำมองมา
อวี๋หวั่นทำสีหน้าเรียบเฉย “ข้าบอกว่าทำไมเจ้าไม่พาข้ามาที่นี่ตั้งแต่แรก ข้าหิวมาทั้งวันแล้ว!”
บุรุษชุดดำมุมปากกระตุก เจ้าพูดอย่างกับว่ากระต่ายกับเสี่ยวหลงเปาพวกนั้นลงไปอยู่ในท้องของคนอื่น
บุรุษชุดดำเดินนำอวี๋หวั่นเข้าไป
อวี๋หวั่นถือโอกาสลอบสังเกตกิริยาท่าทาง และพบว่าเขาไม่น่าจะมายังสำนักกลางหุบเขานี้เป็นครั้งแรก คนที่แลดูมีตำแหน่งในสำนักก็คล้ายกับว่าจะเกรงอกเกรงใจบุรุษชุดดำผู้นี้
มีลูกศิษย์เดินนำพวกเขาเข้าไปในเรือนเงียบสงัดหลังหนึ่ง
อวี๋หวั่นสั่งอาหารมาสามสี่อย่าง ระหว่างที่รออาหาร เธอก็เริ่มขบคิดว่าจะหลบหนีจากที่นี่อย่างไร
สำนักเฟยอวี๋กว้างใหญ่เพียงนี้ ลูกศิษย์ลูกหาหากไม่มีนับพันก็ต้องมีหลายร้อย เจียงไห่มีตำแหน่งเป็นอะไรที่นี่? มีสักกี่คนที่รู้จักเขา?
“ฮูหยิน อาหารเย็นของท่านเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” ทันใดนั้นก็มีเสียงของสาวใช้ดังมาจากด้านนอก
อวี๋หวั่นดวงตาเป็นประกาย “เข้ามา”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ยกอาหารเข้ามาด้านใน
อวี๋หวั่นถามนางว่า “เจ้าพูดภาษาหนานจ้าวได้หรือ?”
ภาษาหนานจ้าวคล้ายกับภาษาของจงหยวน เพียงแต่มีสำเนียงที่แตกต่างกัน ทว่าสาวใช้คนนี้มีสำเนียงของหนานจ้าว
สาวใช้ตอบว่า “ท่านแม่ของบ่าวเป็นคนหนานจ้าวเจ้าค่ะ”
“ที่นี่คือที่ไหนหรือ?”
“สำนักเฟยอวี๋เจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ
อันที่จริงอวี๋หวั่นอยากถามว่า ‘ข้าหมายความว่าที่นี่คือบ้านใคร’ คิดไปคิดมา คำถามนี้อาจทำให้นางเคลือบแคลงใจ เพราะฉะนั้นเธอจึงไปเบนสายไปมองอาหารที่สาวใช้กำลังจัดวางลงบนโต๊ะ “ข้าสั่งไปสามอย่าง ทำไมเจ้ายกมาตั้งมากมาย”
สาวใช้ตอบว่า “โอ้ วันนี้มีงานมงคลของสำนักเจ้าค่ะ อาหารเหล่านี้มีไว้ต้อนรับแขก! ไม่ได้ให้ฮูหยินเพียงคนเดียว แต่ยังให้แขกคนอื่นๆ ด้วยเจ้าค่ะ”
“ที่นี่มีแขกหลายคนหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
สาวใช้พยักหน้า “เจ้าค่ะ หนึ่งร้อยหลี่โดยรอบเป็นพื้นที่ของสำนักทั้งหมด พ่อค้าที่สัญจรไปมาสามารถเข้ามาพักได้ เจ้าสำนักเป็นคนโอบอ้อมอารี หากไม่ใช่โจรก็ล้วนแต่ต้อนรับทุกคนเจ้าค่ะ”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” แต่นางยังไม่ได้บอกเลยนี่ว่าอยู่ประเทศไหน ถึงเผ่าปีศาจแล้วหรือยัง อีกไกลไหม
อวี๋หวั่นนึกบางอย่างออก “ใช่สิ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าในสำนักมีงานมงคล งานมงคลอะไรหรือ?”
“เจ้าสำนักน้อยกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!” สาวใช้พูดด้วยความปีติยินดี
เจ้าสำนักน้อย?
อวี๋หวั่นไม่ได้นึกสนใจเจ้าสำนักน้อยของสำนักเฟยอวี๋ เธอแค่อยากรู้ว่าเจียงไห่อยู่ที่ไหน “เอ่อ เมื่อครู่ข้าไม่ทันระวัง เดินไปชนกับลูกศิษย์ของที่นี่คนหนึ่ง เขาชื่อเจียงไห่ วานเจ้าไปขอโทษเขาแทนข้าที”
“เจียงไห่?” สาวใช้เกาศีรษะ “ที่นี่มีคนชื่อเจียงไห่ด้วยหรือ? ฮูหยินได้ยินผิดไปหรือเปล่าเจ้าคะ? ข้ารู้จัดเจียงหยาง กับเจียงปิน ไม่เคยได้ยินชื่อเจียงไห่นะเจ้าคะ!”
เป็นไปได้ว่าสาวใช้คนนี้ไม่รู้จักเจียงไห่ หรือไม่ก็…เจียงไห่เป็นเพียงนามแฝง
น่าเสียดายที่ความสามารถในการวาดภาพของเธอไม่ดีนัก ไม่เช่นนั้นวาดภาพของเจียงไห่ให้นางดูก็ได้แล้ว
ระหว่างที่ใช้ความคิดอยู่นั้น ก็มีเสียงของสาวใช้อีกคนหนึ่งดังมาจากด้านนอก
สาวใช้บอกว่า “พวกนางเรียกข้าแล้วเจ้าค่ะ! เจ้าสำนักน้อยมาแล้ว! ข้าจะออกไปดูนะเจ้าคะ!”
“ข้าไปกับเจ้าได้ไหม?” ไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไม่แน่ว่าอาจได้ยินข่าวคราวมาบ้าง
“ได้สิเจ้าคะ” สาวใช้พาอวี๋หวั่นออกไป
“จะไปไหน?” บุรุษชุดดำถาม
อวี๋หวั่นตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไปดูผู้ชายรูปงามน่ะสิ ทำไม? ไม่ได้หรือ?”
บุุรุษชุดดำสีหน้าถมึงทึง “ไม่เป็นกุลสตรีเอาเสียเลย!”
อวี๋หวั่นกลอกตา
“ข้าจะดูแลฮูหยินให้ดี” สาวใช้บอก
การอารักขาในสำนักเฟยอวี๋นั้นเข้มงวด บุรุษชุดดำไม่กังวลว่าอวี๋หวั่นจะหลบหนี จึงปล่อยเธอไป
ฝูงชนที่มารอดูเจ้าสำนักน้อยนั้นมีมากเหลือเกิน ทั้งสองฟากถนนล้วนแต่แน่นขนัด
“ไอ้หยา พวกเรามาช้าเจ้าค่ะ!” สาวใช้เดินเบียดเสียดผู้คนเข้าไป พร้อมกับเขย่งปลายเท้าชะเง้อคอมองดู
อวี๋หวั่นสูงกว่านาง เธอเขย่งปลายเท้าก็มองเห็นชายหนุ่มบนหลังม้าแล้ว
เจียงไห่? นัยน์ตาของเธอกระตุกวูบ!
เจียงไห่ก็ยังคงเป็นเจียงไห่ แต่กลับมิได้มีท่าทางเหมือนเจียงไห่ในความทรงจำของเธอ เขาขี่อยู่บนหลังม้าด้วย
ท่วงท่าสง่างาม องคาพยพบนใบหน้าได้รูป แลดูหล่อเหลาเหลือเกิน
“เจียงไห่! ทางนี้!” อวี๋หวั่นร้องเรียก
“เจ้าสำนักน้อย! ทางนี้เจ้าค่ะ!”
“เป็นเจ้าสำนักน้อยจริงด้วย!”
“เจ้าสำนักน้อย ข้าคือไฉ่อวี้นะเจ้าคะ!”
“ข้าคือไฉ่เยี่ยนนะเจ้าคะ!”
เสียงของอวี๋หวั่นถูกเสียงของแม่นางสองคนกลบในทันใด
อวี๋หวั่นใบหน้าง้ำงอ “ศิษย์พี่ทั้งสอง ช่วยลดเสียงลงหน่อยได้หรือไม่?”
ลูกศิษย์ที่ร้องว่า ‘ข้าคือไฉ่อวี้’ หันมาแค่นเสียงขึ้นจมูก “เสียงของเจ้าเบากว่าข้าหรืออย่างไร?”
อวี๋หวั่น “…”
สาวใช้ดึงอวี๋หวั่นมาด้านข้าง แล้วกระซิบว่า “ฮูหยินอย่าได้ล่วงเกินพวกนางนะเจ้าคะ พวกนางเป็นศิษย์สายตรง สถานะในสำนักเฟยอวี๋สูงส่งยิ่งนัก”
อวี๋หวั่นพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “สูงขนาดไหนกันเชียว? สูงกว่าเจ้าสำนักน้อยของพวกเจ้าหรือเปล่า?”
เจ้าสำนักน้อยของพวกเจ้าถวายชีวิตให้พวกข้าแล้ว รู้หรือเปล่า?
สาวใช้รู้สึกขบขันกับปฏิกิริยาตอบสนองของอวี๋หวั่น คนนอกเมื่อได้ยินว่าศิษย์สายตรงของสำนักเฟยอวี๋มัก
จะอดรู้สึกริษยาไม่ได้ แต่ฮูหยินท่านนี้กลับกลอกตา จนนางหัวเราะออกมา “เอาละ เจ้าสำนักน้อยไปไกลแล้ว พวกเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ”
“ทำอย่างไรข้าถึงจะพบเจ้าสำนักน้อยของพวกเจ้า” อวี๋หวั่นถาม
สาวใช้คนนี้ยังคงอยู่ในห้วงความประทับใจเพราะเจ้าสำนักน้อย นางจึงไม่ทันได้ใส่ใจถึงความผิดปกติในคำพูดของสตรีแปลกหน้า นางตอบว่า “พบไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ แม้แต่ศิษย์พี่หญิงไฉ่อวี้กับศิษย์พี่หญิงไฉ่เยี่ยนก็เข้าพบไม่ได้”
อวี๋หวั่นเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เมื่อครู่เจ้าไม่ได้บอกหรอกหรือว่าพวกนางเป็นลูกศิษย์สายตรง สถานะสูงส่ง? ทำไมถึงเข้าพบเจ้าสำนักน้อยไม่ได้เล่า”
“เอ่อ…” สาวใช้ครุ่นคิด “เจ้าสำนักน้อยเย็นชาเหลือเกินเจ้าค่ะ เขาไม่ชอบพบหน้าผู้คน ไม่ชอบถูกรบกวน”
ไม่ชอบพบหน้าผู้คน? ไม่ชอบถูกรบกวน? อวี๋หวั่นนึกถึงเจียงไห่ซึ่งมักจะถูกชิงเหยียนแกล้งในชีสยาย่วน พลางทอดสายตามองขึ้นฟ้าด้วยความสงสัย
เจ้าสำนักน้อยที่พวกเขารู้จัก เป็นคนเดียวกับที่เธอรู้จักหรือเปล่านะ?
หลังจากกลับเรือนไป อวี๋หวั่นก็ปิดประตูห้อง
อาหารเย็นชืดเสียแล้ว ซิวหลัวมิได้แอบกิน เขายังคงนั่งรอเธออยู่
อวี๋หวั่นให้สาวใช้นำไปอุ่นให้ใหม่
ซิวหลัวจึงกินอย่างเอร็ดอร่อย
อวี๋หวั่นยังคงจมอยู่ในความตกใจที่รู้ว่าเจียงไห่เป็นเจ้าสำนักเฟยอวี๋
เธอรู้ว่าเจียงไห่นั้นไม่ธรรมดา เขามีที่มาที่ไป แต่ก็ไม่คาดคิดว่าที่มาที่ไปของเขาจะเป็นเช่นนี้ สามารถครอบครองพื้นที่กลางหุบเขาที่กว้างขวางเช่นนี้ ความมั่งคั่งและอำนาจที่เขามีนั้นเหนือจินตนาการจริงๆ
อวี๋หวั่นลูบคาง “คุณชายน้อยอย่างเขาหนีไปเป็นบ่าวในต้าโจวเนี่ยนะ”
มีเงินจะทำอะไรก็ได้สินะ!
ย่างเข้ายามดึก ทุกคนล้วนเข้านอน
อวี๋หวั่นนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ส่วนซิวหลัวนั่งสมาธิอยู่ที่พื้น
อวี๋หวั่นเรียกเขาเบาๆ ว่า “ซิวหลัว”
ซิวหลัวลืมตาสีโลหิตขึ้น
อวี๋หวั่นกวักมือเรียกเขา
ซิวหลัวเดินมายังข้างเตียง มองอวี๋หวั่นด้วยความสงสัย
อวี๋หวั่นถามว่า “วิชาตัวเบาของเจ้ายังใช้ได้ไหม?”
ซิวหลัวพยักหน้า
เขาสวมตรวนเพื่อกดวรยุทธ์ไว้ ใช้ได้ แต่ไม่มากนัก
อวี๋หวั่นกระซิบว่า “พวกเราไปหาเจียงไห่กัน”
ซิวหลัวเอียงคอมองเธอด้วยความงุนงง
อวี๋หวั่นเข้าใจทันที นิ้วชี้ชี้ลงพื้น “เจียงไห่ไม่ได้อยู่ในหนานจ้าว เขาอยู่ที่นี่พวกเราจะไปหาเขาตอนนี้เลย”
ซิวหลัวพยักหน้า
“เจ้ารอเดี๋ยว” อวี๋หวั่นหยุดเขาไว้ เธอเลิกผ้าห่มออกลงจากเตียง แล้วใช้ผ้าห่อตรวนของซิวหลัวไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้มันกระทบกับอะไรเข้าและส่งเสียงดัง
อวี๋หวั่นเปิดประตู ยื่นหน้าออกไปมองซ้ายมองขวา เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนจึงก้าวข้ามธรณีประตูออกไป แล้วโบกมือให้ซิวหลัว
ซิวหลัวมายังหน้าประตู ก้มลงแตะปลายเท้าเบาๆ อย่างทะมัดทะแมง ยื่นหน้าออกไปมองซ้ายขวาแล้วจึงก้าวออกไปนอกห้อง
“ไปไหนกัน”
ทั้งสองเดินลงบันไดมา บุรุษชุดดำก็ปรากฏตัวด้านหลังของพวกเขาพอดี
อวี๋หวั่นตัวสั่น เธอตั้งสติ แล้วหันไปด้วยสีหน้าไร้ความตื่นตระหนก “นอนไม่หลับ ออกมาเดินเล่น”
บุรุษชุดดำเหลือบมองปลายเท้าของซิวหลัว พร้อมกับกล่าวแดกดันว่า “ดึกป่านนี้ พวกเจ้าคงไม่ได้คิดหนีกระมัง?”
อวี๋หวั่นยิ้ม “จะหนีได้อย่างไร? วิชาตัวเบาของซิวหลัวใช้การไม่ได้!”
บุรุษชุดดำบอกว่า “รู้ตัวก็ดี! วรยุทธ์ของเขาถูกกดไว้ พาเจ้าหนีไปไม่ได้ไกลหรอก”
“ไม่ต้องให้เจ้ามาตอกย้ำหรอก!” อวี๋หวั่นดึงแขนเสื้อของซิวหลัว “ซิวหลัว ไปกันเถอะ!”
บุรุษชุดดำส่งสายตาให้ทูตแห่งความมืดด้านข้างสองคน ทั้งสองตามพวกอวี๋หวั่นไป
อวี๋หวั่นเห็นพวกเขาที่หางตา ตามก็ตามไปสิ ไม่ว่าอย่างไรก็เดาไม่ออกหรอกว่าเธอกับซิวหลัวกำลังตามหาเจียงไห่
……………………….

Related

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป… วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

Options

not work with dark mode
Reset